Quantcast
Channel: ข่าว
Viewing all 20494 articles
Browse latest View live

'ณัฐพล ใจจริง'ปาฐกถาปรีดี พนมยงค์ประจำปี 56 "ชีวประวัติของพลเมืองไทยฯ"

$
0
0

บรรยากาศในการแสดงปาฐกถาปรีดี พนมยงค์ ประจำปี 2556 ที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ เมื่อ 24 มิ.ย. 56 ที่ผ่านมา

 

เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. ที่ผ่านมา เนื่องในโอกาสครบรอบ 81 ปี การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 ที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ ซอยทองหล่อ กรุงเทพมหานคร มีการแสดงปาฐกถาปรีดี พนมยงค์ ประจำปี 2556 โดย ดร. ณัฐพล ใจจริง อาจารย์ประจำสาขาวิชาการปกครองท้องถิ่น ภาควิชาสังคมศาสตร์ คณะ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา โดยกล่าวปาฐกถาหัวข้อ"ชีวประวัติของพลเมืองไทย : กำเนิดพัฒนาการและอุปสรรคกับภาระกิจการปกป้องประชาธิปไตย (2475 - ปัจจุบัน)"ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีประชาชนผู้สนใจ ตลอดจนทายาทของคณะราษฎรและเสรีไทยเข้าร่วมฟังปาฐกถาดังกล่าวจำนวนมาก

โดยณัฐพลระบุว่าเป้าหมายของบทความดังกล่าว คือ บททดลองการนำเสนอประวัติศาสตร์สามัญชน เพื่อคืนตำแหน่งแห่งที่ของสามัญชน กลับสู่ประวัติศาสตร์ไทย หรือคืนบทบาทพลเมืองกลับสู่ประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทย ด้วยการพยายามฉายภาพความเป็นมาของสถานะของผู้คนที่อาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้ ภายใต้การปกครองตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงปัจจุบันว่าเป็นเช่นไร ตลอดจนให้ภาพวิถีชีวิตของผู้คนในอดีตและความยากลำบากในการเปลี่ยนแปลงสถานะหนึ่งไปสู่อีกสถานะหนึ่ง เช่น "ไพร่""ราษฎร"ที่ต่ำต้อย มาสู่ "พลเมือง"ผู้ทรงคุณค่าเป็นผู้มีเสรีภาพและความเสมอภาคภายใต้ระบอบประชาธิปไตย รวมทั้งการเรียกร้องให้พลเมืองมีความตระหนักในการพิทักษ์ปกป้องประชาธิปไตย ซึ่งเป็นระบอบการปกครองที่อำนวยถึงความเป็นคนให้กับสมาชิกทุกคนในชุมชนทางการเมืองเหมือนดังคำกล่าวที่ว่า "พลเมืองเท่ากับความเป็นคน"

ณัฐพล ระบุในปาฐกถาว่า ในประเทศประชาธิปไตย การเขียนถึงประวัติศาสตร์สามัญชน ผู้มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เป็นเรื่องปกติ ขณะที่ของไทยนั้นยากจะปรากฏ ทั้งมีงานเขียนประวัติศาสตร์มหาบุรุษ เข้ามาครองพื้นที่ความรู้อย่างมากในสังคมไทย โดยงานเขียนชนิดนี้ถูกคนชั้นปกครองใช้ครอบงำผู้ถูกปกครองให้จำนนและเจียมตัวให้สมฐานะแห่งตน จนอาจเกิดคำถามถึงผลกระทบของความรู้เช่นนี้ที่มีต่อความมั่นคงและความยั่งยืนของประชาธิปไตยไทย

หากความมั่นคงและยั่งยินของระบอบประชาธิปไตยไทยตั้งอยู่บนความรู้ความเข้าใจ ความภูมิใจและการตระหนักในความสำคัญของคนทุกคนในฐานะผู้ที่ทรงไว้ซึ่งอำนาจอธิปไตย ที่มีสิทธิและหน้าที่แล้วไซร้ หน้าที่ประการหนึ่งที่พลเมืองในสังคมประชาธิปไตยทุกคนพึงมีคือการพิทักษ์ปกป้องระบอบประชาธิปไตย ดังนั้น หนึ่งในหนทางในการธำรงความมั่นคงให้กับระบอบการปกครองดังกล่าว คือ การส่งเสริมการสร้างความรู้ความเข้าใจในที่มาแห่งตน ความยากลำบากในการเปลี่ยนแปลงสถานะจากความต่ำต้อยสู่เสรีภาพและความเสมอภาคของผู้คนให้กับพลเมือง หรือการเขียนประวัติศาสตร์ไทยให้สอดคล้องกับสังคมประชาธิปไตยด้วย

ในวาระสำคัญแห่งการรำลึกถึง 8 ทศวรรษ 2475 และ 4 ทศวรรษ 14 ตุลาคม 2516 จึงดูเหมือนไม่มีหัวข้อใดที่เหมาะสมไปกว่าการกล่าวถึงชีวประวัติพลเมืองไทย ที่พยายามให้ภาพความเป็นมาของสามัญชนไทยผู้เคยเดินผ่านความขมขื่น ความเบิกบาน ความทุกข์ระทมที่แปรเปลี่ยนไปตามบริบทการเมืองการปกครองในแต่ละยุคสมัย

โดยของการปาฐกถาดังกล่าว ประชาไทจะนำเสนอต่อไป

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สภาเกษตรกรฯ ร้องคงราคาจำนำข้าว 15,000 บ. ชี้ลดกะทันหันผลักภาระให้ชาวนา

$
0
0

24 มิ.ย.56 เวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา ตัวแทนสภาเกษตรกรภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง นำโดยนายชลิต ทองมณี ประธานสภาเกษตรกร จ.นครนายก เข้ายื่นข้อเรียกร้องให้รัฐบาลคงราคารับจำนำข้างที่ตันละ 15,000 บาท และให้สภาเกษตรกรแห่งชาติเข้าไปมีส่วนร่วมหารือเพื่อนำไปสู่การปรับปรุงคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ให้มีสภาเกษตรกรฯ เข้าไปมีส่วนร่วม โดยมีนายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนรัฐบาลรับข้อเรียกร้องพร้อมรบฟังปัญหา

นายชลิต ระบุด้วยว่าหากรัฐบาลไม่รับข้อเสนอของสภาเกษตรกรฯ ก็จะเป็นกลไกที่ชาวนาเกษตรกรจะเคลื่อนไหวต่อ โดยในพรุ่งนี้จะมีชาวนาอีกส่วนหนึ่งหลายจังหวัดจะเดินทางมายื่นข้อเรียกร้องกับรัฐบาลด้วย ดังนั้นทางสภาฯ จึงเสนอต่อรัฐบาลไปว่าให้คงราคาไว้ที่ 15,000 บาทก่อน เพื่อลดกระแสการประท้วง แล้วให้ตัวแทนเกษตรกรอย่าง สภาเกษตรกรแห่งชาติที่ถูกจัดตั้งตาม พรบ.สภาเกษตรกรแห่งชาติ พ.ศ.2553 เข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนด กขช. และ พรบ.ดังกล่าวในมาตรา 11 ก็ระบุให้อำนาจหน้าที่ของสภาฯให้ความคิดเห็น คำปรึกษาและข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีในการแก้ปัญหาของเกษตรกรด้วย หากรัฐบาลใช้กลไกนี้ก็จะไม่บีบให้ชาวนาต้องเคลื่อนไหวตามท้องถนน

ประธานสภาเกษตรกร จ.นครนายก กล่าวด้วยว่าทั้งนี้สภาเกษตรกรแห่งชาติจะมีการประชุมในวันที่ 28 – 29 มิ.ย.นี้ แต่ทางสภาฯ ในส่วนของกลุ่มภาคกลางซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ปลูกข้าวมากที่สุดเห็นว่าหากรอมติการประชุมดังกล่าวอาจไม่ทันการจึงออกมาเรียกร้องต่อรัฐบาลก่อนให้ยุติการลดราคาจำนำ และหากในอนาคตจะมีการลดราคาจำนำข้าวนั้นความชื่นต้องเพิ่มขึ้นด้วย แต่อย่างไรก็ตามต้องการให้คงราคาที่ 15,000 บาท ไว้ก่อน

ประธานสภาเกษตรกร จ.สระบุรี กล่าวว่า การที่รัฐบาลประกาศลดราคาจำนำข้าวกะทันหัน ทำให้ชาวนาต้องแบบรับภาระเพราะมีการลงทุนไปแล้ว และการทำนาต่อรอบก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 – 5 เดือน บวกกับต้นทุนที่เพิ่มหลังมีการรับจำนำในราคานี้ ทั้งค่าจ้างรถไถ-รถเกี่ยวข้าว ค่าปุ๋ย ค่าเช่าที่และค่าแรง เป็นต้น  

สำหรับข้อกังวลกรณีการที่ชาวนาไม่ได้ประโยชน์จากโครงการจำนำข้าวอย่างเต็มที่นั้น ประธานสภาเกษตรกร จ.สระบุรี ชี้แจงว่าเรื่องนี้รัฐบาลมีมาตรการตรวจสอบควบคุมอยู่แล้วจึงไม่เป็นเรื่องที่น่ากังวล

กลุ่มชาวนา-เสื้อแดง เดินเท้าจากลานพระบรมรูปฯ 

นอกจากตัวแทนสภาเกษตรกรภาคกลางและภาคเหนือตอนล่างแล้ว ในเวลาเดียวกันกลุ่มชาวนาและเสื้อแดงจากหลายจังหวัดประมาณ 500 คน รวมตัวกันที่ลานพระบรมทรงม้าและเดินเท้าไปยังทำเนียบรัฐบาล ประตู 4 เพื่อให้กำลังใจนายกรัฐมนตรี ให้เดินหน้าโครงการรับจำนำข้าวที่ตันละ 15,000 บาทต่อไปด้วย

หน้าประตู 4 ทำเนียบรัฐบาล

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รัฐศาสตร์ชุมนุม เปิดหลากโจทย์เก่า-ใหม่ สังคมการเมืองไทย

$
0
0

 

24 มิ.ย.56  คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและนิตยสารวิภาษา จัดงาน รัฐศาสตร์ชุมนุม: สู่ทศวรรษที่เก้าประชาธิปไตยไทย โดยในช่วงบ่ายมีการอภิปรายเรื่อง“รัฐศาสตร์กับวิกฤตการเมืองไทย” ส่วนในช่วงเช้าเป็นงานชุมนุมทางวิชาการ ซึ่งมีการนำเสนองานศึกษาหลายชิ้นจากนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์สถาบันต่างๆ (อ่านหัวข้อทั้งหมดที่ด้านล่างสุด)

ในการอภิปรายเรื่องรัฐศาสตร์กับวิกฤตการเมืองไทย ยุทธพร อิสระชัยจากรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวถึงปัญหาหลายประการทั้งการเมืองในระบบและการเมืองนอกระบบ ไม่ว่าจะเป็นหลักการเรื่องนิติรัฐ สิทธิเสรีภาพที่ไม่ถูกนำมาปฏิบัติอย่างจริงจัง ความอ่อนแอของรัฐสภา ระบบตรวจสอบที่มีปัญหา การแทรกแซงอำนาจรัฐ ส่วนการเมืองนอกระบบก็ยังมีปัญหาการสร้างความเข้มแข็งของพลเมือง วัฒนธรรมที่จะเอื้ออำนวยต่อการสร้างประชาธิปไตยยังไม่ดีพอ ตอนนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็น ‘มวลชนาธิปไตย’ การเคลื่อนไหวการเมืองแบบมวลชนไม่ได้เป็นภาพเชิงบวกเสมอไป ถ้าประเด็นไม่สร้างสรรค์ต่อระบอบประชาธิปไตย เป็นการที่มวลชนพยายามแทรกตัวสู่อำนาจรัฐ ก็ไม่ต่างจากที่เคยกล่าวหาทุน

เขากล่าวอีกว่าองค์ความรู้ใหม่ของรัฐศาสตร์ที่จะทันต่อความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ก็ยังไม่ดีพอ ทำให้ถูกตั้งคำถามมากว่ารัฐศาสตร์มีบทบาทในการแก้ปัญหาทางการเมืองได้สักเท่าไร

วิโรจน์ อาลี จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ปัญหาสำคัญของระบบการเมืองไทยเป็นดังที่เบน แอนเดอร์สันเคยเขียนไว้ในหนังสือเมื่อหลายสิบปีก่อนว่า ในช่วงสร้างความเป็นชาติ เราสามารถแยกตัวเองออกจากอำนาจเด็ดขาด ( absolutism) ได้ ซึ่งอำนาจเด็ดขาดก็ความหมายหลากหลาย จนถึงวันนี้ปัญหานี้ก็ยังไม่จบ เหมือนเหตุการณ์พาเราไป แต่ทุกคนก็ต้องการคำตอบเดียวที่สุดโต่ง เช่น ความมั่นคงของชาติสำคัญที่สุด การรักษาไว้ซึ่งสถาบันสำคัญที่สุด เลือกไม่ได้ เชื่อว่าศาลไม่ว่าทำอะไรก็ถูกทั้งหมด เป็นต้น ถ้าไม่สามารถนิยามความเป็นชาติที่วางอยู่บนความเป็นประชาชาติหรือเอาประชาชนเป็นศูนย์กลางได้ก็ถือว่ายังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ส่วนการเรียนการสอนรัฐศาสตร์ ก็ยังไม่สามารถทำให้นักศึกษามองไกลและเท่าทันสถานการณ์การต่างๆ ในโลกได้  

พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า หากอ้างอิงถึงรัฐศาสตร์อเมริกัน ก็จะมีไว้เพื่อเชิดชูความเป็นอเมริกัน ความเป็นอเมริกันคือประชาธิปไตย รัฐศาสตร์อเมริกันเป็นหนึ่งเดียวกับประชาธิปไตย และอเมริกันก็ส่งออกประชาธิปไตย เรากต้องถามตัวเองว่าตัวตนของรัฐศาสตร์คืออะไร มันทำอะไรบ้าง ปัจจุบันนี้ดูเหมือนรัฐศาสตร์จะไม่มีที่ยืน ขณะที่ผู้คนหันศึกษากฎหมายหรือไม่ก็เศรษฐศาสตร์ซึ่งเป็นรูปธรรมมากกว่า แต่รัฐศาสตร์กลับเน้นตั้งคำถาม เคลื่อนตัวไปมาระหว่างปรัชญา เศรษฐศาสตร์ และศาสตร์อื่นๆ มีความหลากหลายที่ไม่คนอื่นอาจไม่เข้าใจ

 

ทำไมองค์อธิปัตย์ได้สิทธิตัดสินใจในสภาวะยกเว้น

เกษม เพ็ญภินันท์นำเสนอเรื่อง“อ่าน Carl Schmitt ในบริบททวิรัฐ” เป็นงานศึกษาที่ยังไม่เสร็จ เน้นศึกษาประโยคสำคัญของ Carl Schmitt ที่ว่า องค์ประชาธิปัตย์เป็นบุคคลสำคัญที่ตัดสินใจในสภาวะยกเว้น ชมิทพยายามเข้าใจองค์อธิปัตย์โดยอธิบายในแง่เทววิทยาทางการเมืองบนพื้นฐานของการเมืองสมัยใหม่ที่แปรสภาพมาจากความเข้าใจแบบเก่า องค์อธิปัตย์จึงเป็นบุคคลที่ได้รับเทวสิทธิบางอย่างในสร้างความชอบธรรมให้ตำแหน่งแห่งที่ของตัวเอง การตัดสินใจต่างๆ ขององค์อธิปัตย์ก็เสมือนภาวะ creation  เป็นสภาวะยกเว้นให้เฉพาะบางบุคคลที่จะได้รับสภาวะนั้น เป็นที่มาของ divine right มาสู่กษัตริย์ เป็นบุคคลที่ transcend body ของ God เป็น 2 กายา

สิ่งที่ชมิททำคือการทำให้เทววิทยาส่วนนี้มาบนพื้นฐานของรัฐสมัย รัฐเสรีนิยม องค์อธิปัตย์ไม่ใช่เพียงคนใช้อำนาจ แต่สามารถใช้อำนาจในสภาวะยกเว้น โดยมีสิ่งที่ตัดกันคือ กฎหมายกับสภาวะยกเว้น กฎหมายรองรับการตัดสินใจขององค์อธิปัตย์ และองค์อธิปัตย์ก็ตัดสินใจใช้อำนาจบนพื้นฐานของการได้รับกายกเว้น เป็น free act โดยชมิทเห็นว่าสภาวะยกเว้นนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ถ้าไม่มีสิ่งที่สร้างความชอบธรรมให้ตัวเองในลักษณะของบรรทัดฐาน (Norm) เดิมที่วางอยู่บนพื้นฐานของอภินิหาร (miracle) ชมิทอธิบายบนพื้นฐานของกฎเกณฑ์ที่รองรับการใช้อำนาจนั้น เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 3 ที่อนุญาตให้องค์อธิปัตย์ใช้อำนาจตรงนี้ได้ การอ่านชมิทตรงส่วนนี้จะทำให้เห็นอำนาจรัฐที่ซ้อนรัฐซึ่งเร้นตัวเองบนพื้นฐานของรัฐแบบ normative state และพยายามอธิบายลักษณะการทำงานนี้ซึ่งอาศัยการทำงานของ legal state ว่าเป็นอย่างไร

 

การเมืองวัฒนธรรมของ ลูกจีนกู้ชาติ VS หมู่บ้นเสื้อแดง

พิชญ์ พงศ์สวัสดิ์นำเสนอเรื่อง Politics of Multiculturalism in Thailand โดยระบุว่าข้อถกเถียงใหญ่ของโลกนี้ไม่ได้จบลงที่ประชาธิปไตยแต่เกี่ยวพันไปถึงการกำหนดตัวนโยบายด้วย การเมืองในวันนี้มีสองเรื่องที่เพิ่มขึ้นคือ สิทธิทางเศรษฐกิจ และ สิทธิทางวัฒนธรรม โดยในเรื่องเศรษฐกิจก็จะมีการพูดถึงสวัสดิการ และเนื่องจากยุโรปมีการเคลื่อนย้ายของคนทำให้ต้องมีการพูดเรื่องวัฒนธรรมอันหลากหลายของผู้คนด้วยเช่นกัน  

สำหรับสถานะของความรู้และการต่อสู้เรื่องนี้ในเมืองไทยไม่เด่นชัดนัก ที่ผ่านมาส่วนมากจะศึกษาเรื่องนโยบายชาวเขา แต่อยากจะนำเสนอมันในบริบททางการเมืองของเสื้อเหลืองและเสื้อแดง เนื่องจากทั้งสองกลุ่มมีการอธิบายประชาธิปไตยทางวัฒนธรรมในแบบของตัวเอง โดยจะเห็นผ่านปรากฏการณ์ ลูกจีนกู้ชาติ กับ หมู่บ้านเสื้อแดง ทั้งนี้ ขอไม่อธิบายในมุมของเศรษฐกิจ ชนชั้น เพราะเห็นว่ามีคนพูดแล้วและเชื่อว่าทั้งสองฝ่ายประกอบด้วยคนหลากชนชั้นทั้งคู่

จะเห็นว่าวิธีการต่อสู้ทั้งสองฝ่ายได้ดึงเอา moment บางอันในอดีตมาพยายามปรับใหม่ และเอาคอนเซ็ปท์คนกลุ่มน้อยมาเกี่ยวพัน เช่น การที่ลูกจีนนำปมในอดีตของตัวเองมาต่อสู้ แม้ปมนั้นจะจบไปแล้ว แต่ก็สร้างภาพนี้อีกครั้ง ในการ “กู้ชาติ” กรณีเสื้อแดงจุดสำคัญของการดึงความเป็นชนกลุ่มน้อยเป็นชั่วเวลาสั้นๆ ช่วงถูกปราบ ก่อนยิ่งลักษณ์เป็นรัฐบาล อย่างไรก็ตาม การเกิดหมู่บ้านเสื้อแดงจำนวนมากในขณะนี้เป็นการต่อสู้เชิงอุดมการณ์ เป็นการแข็งข้อกับรัฐในระดับรากฐาน ดังนั้นจะเห็นว่า การต่อสู้เรื่องประชาธิปไตยไม่ได้ใช้หลักเสรีภาพ ประชาธิปไตยแบบตะวันตกล้วนๆ แต่เชื่อมโยงกับมิติทางประวัติศาสตร์ที่อ้างว่าตัวเองถูกกดขี่ แล้วแปรเปลี่ยนมันเป็นพลังในการกู้ชาติ ในการต่อต้าน ทั้งสองฝ่ายนี้ล้วนแต่มีความเป็นพลเมือง (citizenship) เหมือนกัน แต่ดูเหมือนการเมืองปัจจุบันยังไม่ตอบคำถามของเขา

 

เสียงข้างน้อย อาจไม่ถูกเสมอไป

ศรัณย์ จิระพงษ์สุวรรณนำเสนอเรื่อง "เสียงข้างน้อยในสังคมประชาธิปไตย"กล่าวว่า รูปแบบของการพูดถึงสิทธิเสียงข้างน้อยที่เป็นรูปธรรมมากที่สุด คือช่วงก่อนที่จะรณรงค์รับรัฐธรรมนูญในอเมริกายุคต้นๆ federalist เขียนเพื่อจูงใจตัวแทนรัฐนิวยอร์กรับรัฐธรรมนูญของสหภาพ บทความสำคัญชิ้นหนึ่งเขียนโดย Alexander Hamilton ชี้ให้เห็นว่า เสียงข้างมากที่จนและขาดความรู้เป็นอันตราย จึงพยายามจะออกแบบสถาบันทางการเมืองรองรับเสียงข้างน้อยที่ฉลาด จึงเป็นที่มาของการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกในอเมริกา นี่เป็นหลักการที่สะท้อนให้เห็นว่าคำนึงถึงเสียงข้างน้อยอย่างเป็นรูปธรรม

ในเมืองไทย 5-6 ปีที่ผ่านมา มีการชุมนุมของทั้งสองฝั่ง ด้านหนึ่งการชุมนุมยืนบนสิทธิของเสียงข้างน้อย แต่มันต่างกับสังคมที่มีพัฒนาการทางสังคมที่มีประชาธิปไตยมายาวนาน เพราะการเคลื่อนไหวของเราพร้อมจะล้มรูปแบบการปกครองประชาธิปไตย ดูได้จากข้อเสนอของ พธม.ที่เสนอ ม.7 หรือกลุ่มที่สนามหลวงที่พยายามเสนอใช้ ม.3 ความน่าสนใจคือการกล่าวอ้างเสียงข้างน้อยในไทย โดยลำพังตัวมันเองไม่สามารถทำงานได้โดยหลักการโดดๆ แต่กลุ่มที่กล่าวอ้างเสียงข้างน้อยต้องผนวกกับปัจจัยอื่นๆ เช่น เรื่องความดี คนดี , การเคลื่อนไหวของกองทัพ ดังนั้น วัฒนธรรมแบบประชาธิปไตยตามหลักสากล จึงมีปัญหาอยู่ตลอดเวลาในสังคมการเมืองไทย

เรื่องเสียงข้างน้อยในมิติเศรษฐกิจนั้น เสียงข้างน้อยจะเป็นผู้มั่งคั่ง เป็นกลุ่มอภิชนที่เชื่อว่าตัวเองกำหนดทิศทางและหาทางออกของสังคมได้ โดยขอให้คนส่วนใหญ่วางใจและเชื่อใจกลุ่มตนเองเพื่อจะหาทางออกได้ร่วมกัน

ดังนั้นจึงมีสองคำถามที่จะชี้ชวนนักรัฐศาสตร์คือ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะต้องศึกษาเสียงข้างน้อยในสังคมไทยอย่างเป็นรูปธรรมจริงจัง และถึงเวลาหรือยังที่สังคมไทยต้องมาพูดเรื่องระบบเลือกตั้งในปัจจุบัน เพื่อกันไม่ให้เสียงข้างน้อยเข้ามาทำลายระบอบประชาธิปไตย

 

ชุมชนเข้มแข็ง การควบคุมแบบละเอียดของรัฐ

รัชนี ประดับนำเสนอเรื่อง“ชุมชนเข้มแข็ง: ปฏิบัติการทางอำนาจของรัฐไทยสมัยใหม่” โดยระบุว่านี่เป็นเทคนิควิทยาการของรัฐสมัยใหม่ เป็นวิธีควบคุมของรัฐแบบใหม่ ไม่ได้มีเป้าหมายจากการหลุดรอดจาการควบคุมอย่างที่เข้าใจ

ความเข้าใจต่อชุมชนเข้มแข็ง หลังพฤษภา 35 มักโยงกับการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง การพัฒนาที่ยั่งยืน ตัวอย่างที่ชัดเจน คือ กระบวนการร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8  การเผยตัวของคำนี้เป็นปฏิบัติการของวาทกรรมในการพัฒนาท่ามกลางการอุปถัมภ์ของนักวิชาการ

คำเช่น การพึ่งตนเอง ภูมิปัญญาชาวบ้าน วัฒนธรรมชุมชน เกิดขึ้นในทศวรรษ 2530 โดยอาศัยเครือข่ายอำนาจที่ทำงานใกล้ชิดชุมชนเป็นกลไกดำเนินการ จากที่เป็นกระแสทางเลือกก็เริ่มมาฮิตในทศวรรษ 2540 ร่วมไปกับเศรษฐกิจพอเพียง สิ่งเหล่านี้ไม่ต่างอะไรกับศิลปะของการปกครองของรัฐสมัยใหม่ เพียงแต่เน้นให้ประชาชนพึ่งตัวเองมากว่าพึ่งพิงรัฐ รัฐไม่ได้ใช้อำนาจกดบังคับ แต่คำนึงถึงการดูแลประชาชน โดยอาศัยประชาชนเองที่จะมีสำนึกในการดูแลตัวเอง จัดการชีวิตประจำวันกันเอง

หมอประเวศ วะสี ถือเป็นผู้ผลิตวาทกรรมเรื่องนี้ที่รัฐหยิบไปใช้มากที่สุดคนหนึ่ง และมีส่วนอย่างมากของการพัฒนาชุมชนเข้มแข็ง สร้างเครือข่ายชุมชนเข้มแข็งผ่านองค์กรอิสระ สสส. สกว. พอช. จัดการโปรแกรมพัฒนาที่มีเป้าหมายที่ชุมชน

อย่างไรก็ตาม ชุมชนเข้มแข็งมีลักษณะกำลังพัฒนาแต่ยังไม่สมบูรณ์นัก แต่ก็ไม่ได้โหยหาอดีตแบบเดิม หากแต่เป็นการก่อตัวชุมชนในแบบใหม่ บริหารจัดการชีวิตโดยอาศัยสำนึกคนในชุมชนเอง ปฏิบัติการเกิดจากการกระตุ้นในเงื่อนไขของความสัมพันธ์อำนาจที่หลากหลาย จึงกลายเป็นความเคลือบแคลงสงสัยต่อเสรีภาพที่เพิ่มขึ้นในกระบวนการสร้างตัวมัน เพราะไม่ได้ปราศจากอำนาจ แต่มองว่าเป็นการพัฒนาเทคนิคการใช้อำนาจอีกรูปแบบ เป็นการควบคุมอย่างละเอียดลออในเปลืองของเสรีภาพแบบที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

 

ขบวนการนักศึกษา..ที่ไม่ได้เข้าป่า

ภาคิไนย์ ชมสินทรัพย์มั่นนำเสนอเรื่อง "การเมืองของอุดมการณ์ของขบวนการนักศึกษา : อิทธิพลทางอุดมการณ์แบบ พคท. ต่อขบวนการนักศึกษาในเมืองหลัง 6 ตุลาคม 2519 ถึงยุคป่าแตก”  กล่าวว่า งานศึกษาชิ้นนี้สนใจศึกษาขบวนการนักศึกษา หลัง 6 ตุลา 19 จนถึงป่าแตก โดยมุ่งศึกษากลุ่มที่ปฏิบัติการอยู่ในเมือง ไม่ใช่กลุ่มที่เข้าป่า คำถามสำคัญคือ อุดมการณ์นักศึกษาคืออะไร, ความสัมพันธ์ของขบวนการนักศึกษายุคนั้นกับนโยบายและการเมืองในปัจจุบัน, ขบวนการซ้ายไทยในบริบทการเมืองเหลืองแดงยัง function อยู่หรือไม่ และมีส่วนกำหนดการเคลื่อนไหวเหลืองแดงไหม

แง่การเคลื่อนไหวด้านวัฒนธรรมอุดมการณ์ของนักศึกษา งานประจักษ์ ก้องกีรติ แบ่งเป็น 3 สาย คือ พวกเสรีนิยม, พวกซ้าย ไม่ใช่แบบ พคท.แต่เป็นแบบกุหลาบ สายประดิษฐ์, พวก new left บุปผาชนอเมริกัน หลัง 14 ตุลา 16 บริบทสังคมเริ่มเปิด ส่วน พคท.ก็เริ่มมามีอิทธิพลมากในยุคนี้ จนถูกปราบเมื่อ 6 ตุลา 19  นักศึกษาส่วนใหญ่ก็หนีเข้าป่า พวกที่หลงเหลือในเมืองหรือ “ผู้ปฏิบัติงานในเขตเมือง” นั้นจากหลักฐานต่างๆ การสัมภาษณ์ การอ่านเอกสาร พบว่า การขยายอิทธิพลเชิงอุดมการณ์มีนัยที่สำคัญ 2 อย่าง คือ เป็นการเคลื่อนไหวที่ออกมาจากยุทธศาสตร์ของ พคท.เอง ที่ประเมินแล้วว่าจะต้องขยายเขตงานการปฏิวัติเชื่อมเขตเมืองกับป่าเข้าด้วยกัน กับเป็นส่วนของขบวนการนักศึกษาเอง หากถามว่านักศึกษาสัมพันธ์กับ พคท.ได้อย่างไร เราจะพบว่าหลังการล้อมปราบก็เข้าสู่สถานการณ์ที่เปิดเผยตัวไม่ได้ ด้วยความที่ถูกรัฐไล่ขยี้ในทางการเมืองและต้องการแก้แค้น ทำให้ความต้องการทั้งสองส่วนมาบรรจบกัน จึงเกิดการรื้อฟื้นอุดมการณ์ภายใต้อิทธิพลพคท.ซึ่งอยู่ในช่วงสมัยธานินทร์ กรัยวิเชียร

ยุทศาสตร์ พคท. รูปธรรมนั้นจะมีหน่วยจัดตั้งพรรคที่อยู่ในเมือง ผู้ปฏิบัติงานทางการเมืองของพรรคแบ่งเป็น 2 พวก คือ พวกนักศึกษารุ่นพี่ที่มีสัมพันธ์กับ พคท.ก่อนหน้า 6 ตุลาอยู่แล้ว กับ ผู้ปฏิบัติงานของพรรคโดยตรง แต่ส่วนใหญ่ส่งรุ่นพี่มาเสียมากกว่า พคท.ออกทฤษฎี “กองหน้าสะพานเชื่อม” ถูกผลิตออกมาจากศูนย์การนำในช่วง 2520-2522  ตั้งอยู่บนพื้นฐานทฤษฎีกึ่งเมืองขึ้นกึ่งศักดินา แต่นักศึกษาที่เข้าไปในป่าก็เริ่มทะเลาะกับพรรคในป่าแล้วเกี่ยวกับการวิเคราะห์สังคมไทยตรงนี้ ส่วนในเมืองกลับเป็นหนังอีกม้วนหนึ่ง นักศึกษาในเมืองไม่ค่อยรู้สถานการณ์ในป่า จึงยอมรับอุดมการณ์ พคท.โดยตั้งคำถามน้อย

สำหรับกองหน้าสะพานเชื่อมนั้น พคท.อธิบายว่า ขบวนการนักศึกษาเป็นชนชั้นนายทุนน้อย ไม่ใช่ขบวนปฏิบัติโดยตัวเอง แต่เป็นกองหน้าในการเผยแพร่แนวคิดสังคมวิทยาศาสตร์ เชื่อมกรรมการแรงงาน นักศึกษาก็เชื่อว่าตัวเองเป็นสะพานเชื่อมไปสู่การปฏิวัติ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลต่อมาของเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ได้เปลี่ยนนโยบายเปิดกว้างทางการเมืองมากขึ้น ขบวนการนักศึกษาก็ฟื้นคืนมาภายใต้ยุทธศาสตร์แบบพคท. ขบวนการนักศึกษาในเมืองช่วงนั้นแทบจะเป็นสาขาหนึ่งของพรรคด้วยซ้ำ ภายใต้การชี้นำของ พคท.นี้ก็เกิดเครือข่ายนักศึกษาระหว่างสถาบัน มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองแบบลับลวงพราง นำไปสู่การประท้วงนโยบายเศรษฐกิจ เพราะพูดการเมืองตรงๆ ไม่ได้

 

ทั้งนี้ หัวข้อทั้งหมดที่มีการนำเสนอได้แก่ เกษม เพ็ญภินันท์ นำเสนอเรื่อง“อ่าน Carl Schmitt ในบริบททวิรัฐ” , พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ นำเสนอเรื่อง “politics of multiculturalism in thailand”, บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ นำเสนอเรื่อง “ทัศนียภาพของการต่อต้าน: สู่การเมืองทัศนา”, ณัฐพล ใจจริง นำเสนอเรื่อง “เขียนสามัญชนในสังคมประชาธิปไตยไทย”, ศุภชัย ศุภผล นำเสนอเรื่อง“รุสโซในระบอบปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2745-2490” , ศรัณย์ จิระพงษ์สุวรรณ นำเสนอเรื่อง "เสียงข้างน้อยในสังคมประชาธิปไตย", ชนุตร์ นาคทรานนท์ นำเสนอเรื่อง "เหตุผลทางการเมืองและเหตุผลทางตรรกศาสตร์ในการเมืองไทย", ศรัณย์ วงศ์ขจิตร นำเสนอเรื่อง “66/23 ใน ‘ไฟใต้’, ภาคิไนย์ ชมสินทรัพย์มั่น นำเสนอเรื่อง "การเมืองของอุดมการณ์ของขบวนการนักศึกษา : อิทธิพลทางอุดมการณ์แบบ พคท. ต่อขบวนการนักศึกษาในเมืองหลัง 6 ตุลาคม 2519 ถึงยุคป่าแตก”, อุเชนทร์ เชียงเสน นำเสนอเรื่อง “หลังการเมืองแบบฝ่ายซ้าย- พคท. (2524-2535): การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและความคิดของนักศึกษา-ปัญญาชนกลุ่มต่างๆ ยุคหลัง “ป่าแตก”, รัชนี ประดับ นำเสนอเรื่อง“ชุมชนเข้มแข็ง: ปฏิบัติการทางอำนาจของรัฐไทยสมัยใหม่” 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นายกฯ สั่ง กขช.ทบทวนลดวงเงินจำนำข้าว หลังตัวแทนชาวนาบุกยื่นหนังสือค้าน

$
0
0

ตัวแทนชาวนาเดินทางมาทำเนียบรัฐบาล ยื่นหนังสือค้านลดวงเงินจำนำข้าว ประกาศให้เวลารัฐบาล 7 วัน พร้อมเคลื่อนไหวต่อ ทางด้านนายกฯ ส่งเรื่องต่อให้ กขช.ทบทวน

25 มิ.ย.56 ตัวแทนชาวนา 3 สมาคม ประกอบด้วย นายประสิทธิ์ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาข้าวไทย นายวิเชียร พวงลำเจียก นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย นายภูติ ศรีสมุทรนาค นายกสมาคมส่งเสริมชาวนาไทย ตัวแทนศูนย์ข้าวชุมชม และชาวนาจาก 15 จังหวัด เดินทางมายังทำเนียบรัฐบาลเพื่อยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ขอให้ทบทวนมติการลดวงเงินรับจำนำข้าวจาก 15,000 บาท เหลือ 12,000 บาท โดยขอให้ใช้วงเงินเดิมจนกว่าจะสิ้นสุดฤดูนาปรัง ปี 2556 และในเดือนพฤศจิกายนสำหรับนาปรังพื้นที่ภาคใต้ โดยมีนายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ออกมารับหนังสือร้องเรียน

แกนนำกล่าวว่าจะให้เวลารัฐบาลในการพิจารณาข้อเรียกร้องดังกล่าว 7 วัน ซึ่งหากไม่มีคำตอบหรือได้รับคำตอบที่ไม่น่าพอใจ กลุ่มชาวนาจะประชุมกำหนดท่าทีการเคลื่อนไหวอีกครั้ง จากนั้นจึงแยกย้ายกันกลับภูมิลำเนา

ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ครม.รับทราบข้อเรียกร้องดังกล่าวแล้ว และจะมอบหมายให้ กขช.นำไปพิจารณาต่อไปตามขั้นตอนกฎหมายจึงจะออกมาเป็นมติได้ และยืนยันว่ารัฐบาลต้องการเห็นความเป็นอยู่ของชาวนาดีขึ้น ซึ่งถ้าพบว่าขาดทุนจริงก็ต้องดูแล แต่ถ้าเป็นการขาดทุนกำไร จะต้องนำเรื่องความสมดุลใน 4 เรื่องมาพิจารณาประกอบกัน ได้แก่ ความเป็นอยู่ของชาวนา ความสัมพันธ์กับพันธุ์ข้าวและคุณภาพข้าว ราคาตลาดโลก และการรักษาวินัยการเงินการคลัง

ส่วนกรณีที่มีข้าวหายไปจากโกดัง นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ได้สั่งให้ กขช.นำระเบียบต่างๆ ไปดูเพื่อให้เกิดความรอบคอบ และดูว่าปฏิบัติถูกขั้นตอนหรือไม่ ทั้งนี้ที่ประชุม ครม.สั่งให้ตั้งบริษัทเซอร์เวย์เยอร์ เพื่อให้มีคนกลางมาตรวจร่วมกับคณะกรรมการระบายข้าวและสำนักงานตำรวจแห่งชาติลงพื้นที่ตรวจสอบทั่วประเทศ กรณีที่โรงสีใน จ.พิจิตรถูกขึ้นบัญชีดำ แต่ยังได้เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวก็ต้องไปตรวจสอบในรายละเอียด และสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นปัญหาทั้งระบบ แต่เป็นปัญหาเฉพาะจุด ซึ่งคณะกรรมการข้าว สตช. และผู้ว่าราชการจังหวัดจะต้องสรุปผลการตรวจสอบมา

ที่มา 1, 2

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไต่สวนการตาย ‘ถวิล’ ศพแรก 19 พ.ค. ‘3นายพัน’ เบิกยันไม่มีการใช้กระสุนจริง

$
0
0

24 มิ.ย.56 ที่ห้องพิจารณาคดี 909 ศาลอาญา รัชดา นัดไต่สวนคำร้องชันสูตรพลิกศพเพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิต คดีหมายเลขดำที่ อช.3/2556 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 ยื่นคำร้องขอให้ไต่สวนการเสียชีวิตของ นายถวิล คำมูล อายุ 38 ปี อาชีพรับจ้าง แนวร่วมกลุ่มประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ถูกกระสุนปืนลูกโดดที่ศีรษะทะลุเข้ากะโหลกศีรษะทำให้เนื้อสมองฉีกขาดมากชีวิตบริเวณแยกสารสิน ถนนราชดำริ เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553  ในเหตุการณ์ขอคืนพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ทหาร สมัยรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี

 โดยในวันนี้อัยการได้นำพยานจำนวน 3 ปาก ประกอบด้วย พ.อ.โกญจนาท ธูปเทียนรัตน์ เสนาธิการกรมทหารม้าที่ 5 รักษาพระองค์, พ.ท.ณัฐพงศ์ บัวจันทร์ รองเสนาธิการ กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์, พ.ท.จิรภัทร เศวตเศรณี หัวหน้าฝ่ายส่งกำลังบำรุง กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ขึ้นเบิกความสรุปว่า  เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 53 ขณะนั้นพยานทั้งสามซึ่งเป็นผู้นำหน่วยทหาร ได้นำกำลังทหารขอคือพื้นที่จากกลุ่ม นปช. บริเวณถนนวิทยุและอาคารเคี่ยนหงวน ตามคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. ซึ่งจากการตรวจสอบภายในอาคารเคี่ยนหงวนพบกลุ่มผู้ต้องสงสัยประมาณ 10-20 คน จึงได้ตรวจค้นภายในตัวไม่พบอาวุธ แต่จากการตรวจสอบภายในอาคารพบอาวุธปืนเอ็ม 16 และ HK ประมาณ 3 กระบอก จึงได้นำตัวผู้ต้องสงสัยส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลุมพินี จากนั้นเป็นเรื่องของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการ

พยานเบิกความด้วยว่าทราบว่ามีกองกำลังติดอาวุธ แต่ไม่ทราบฝ่ายอยู่ในพื้นที่บริเวณสวนลุมพินีด้วย ทั้งนี้จุดที่พยานได้นำกองกำลังทหารเคลื่อนพลนั้นไม่ได้มีเหตุการณ์ปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุมแต่อย่างใด  และยืนยันว่าการปฏิบัติการดังกล่าวทหารใช้เพียงอาวุธปืนลูกซองและกระสุนยางโดยการยิงขึ้นฟ้าขู่ผู้ชุมนุมเท่านั้น  ไม่มีการใช้กระสุนปืนจริงแต่อย่างใด อีกทั้งการใช้กระสุนจริงจะต้องขออนุญาตจากผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นก่อน ส่วนปฏิบัติการกระชับพื้นที่ 19 พ.ค. นั้น พยานไม่ทราบว่ามีผู้เสียชีวิต แต่ได้รับทราบจากข่าวสารในเวลาต่อมา

ภายหลังพยานเบิกความแล้วเสร็จ ศาลนัดไต่สวนครั้งต่อไปในวันที่ 29 ก.ค. นี้ เวลา 09.00 น.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศภายในห้องพิจารณาคดี มีเจ้าหน้าที่ทหารกว่า 20 นาย ได้เข้าร่วมรับฟังการไต่สวนและมาให้กำลังใจผู้บังคับบัญชา แต่ไม่มีญาติฝ่ายผู้เสียชีวิตเข้าฟังการไต่สวนแต่อย่างใด

ด้านนายโชคชัย อ่างแก้ว ทนายความญาติผู้เสียชีวิต กล่าวว่า สำหรับการไต่สวนนัดนี้เป็นนัดที่ 2 ซึ่งอัยการได้นำเจ้าหน้าที่ทหารผู้นำหน่วยในการกระชับพื้นที่บริเวณถนนวิทยุและอาคารเคี่ยนหงวน ขึ้นเบิกความ แต่พยานไม่ได้อยู่บนถนนสารสินจึงไม่เห็นผู้ตายและไม่ทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงไม่ค่อยมีผลต่อรูปคดีมากเท่าใด

(ดู Google Map จุดดังกล่าว)

สำหรับถวิล คำมูล เขาถูกยิงเวลาประมาณ 7.30 น. วันที่ 19 พ.ค.53 บริเวณป้ายแท็กซี่อัจฉริยะ ใกล้สี่แยกศาลาแดงถนนราชดำริ ถือเป็นศพแรกของวันที่ 19 พ.ค.53 โดยผู้ที่เข้าไปช่วยเหลือหลายคนถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส(คลิกดูอัลบั้มภาพชุดเหตุการณ์ต่อเนื่องที่ “หงส์ศาลาแดง” และ คลิกดูภาพเคลื่อนไหว ) แต่ก็ไม่มีใครนำร่างถวิลไปส่งโรงพยาบาลได้ จนกระทั่งถูกหน่วยกู้ชีพที่มากับเจ้าหน้าที่ทหารที่เข้ามาทางศาลลาแดงนำร่างไป พร้อมกับร่างของชายไม่ทราบชื่อถอดเสื้อนอนเสียชีวิตจากการถูกยิงที่ศีรษะบริเวณเต๊นท์ผู้ชุมนุมใกล้ร่างของถวิล (คลิกอ่านเรื่องของชายไม่ทราบชื่อ) โดยขณะเกิดเหตุทหารกำลังเข้าพื้นที่ดังกล่าวอย่างน้อย 2 ทาง คือ บริเวณแยกศาลาแดง ซึ่งอยู่ไม่ไกลไปทางด้านหลังป้ายแท็กซี่อัจฉริยะนั้น และทางด้านสวนลุมพินี ซึ่งอยู่ทางซ้ายของภาพ

ภาพ : ถวิล คำมูลก่อนและหลังถูกยิง ภาพโดย หงส์ศาลาแดง 

ทั้งนี้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2554 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ขณะนั้น ได้ชี้แจงต่อรัฐสภากรณีการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ในวันที่ 19 พ.ค.53 ว่าชายดังกล่าวเสียชีวิตก่อนหน้าการปฏิบัติการของทหารเนื่องจากเลือดได้แห้งหมดแล้ว โดยนายสุเทพ ระบุว่า “.. มีคนเสียชีวิตจริงๆ 6 คน นับรวมคนที่เสียชีวิตมาก่อนตอนที่เราเข้าไปถึงตอน 7-8 โมงเช้า เห็นนอนอยู่แล้ว ที่ข้างเต๊นท์ที่สวนลุมพินีเลือดแห้งหมดแล้ว 2 คนด้วย.."(คลิกดูวิดีโอคลิปอภิปรายดังกล่าวในนาทีที่ 1.25.12 ประกอบ)

ถวิล ถูกยิงก่อนหน้าที่นายฟาบิโอ โปเลนกี ช่างภาพชาวอิตาลี จะถูกยิงเสียชีวิตในบริเวณใกล้เคียงกัน ซึ่งในคดีนายฟาบิโอนั้น เมื่อวันที่ 29 พ.ค.ที่ผ่านมา ศาลอาญากรุงเทพใต้ มีคำสังว่าเขาเสียชีวิตจากกระสุนที่มาจากฝั่งทหาร อย่างไรก็ตาม ศาลระบุว่า ยังไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ลงมือกระทำ (คลิกคำสั่งชันสูตรพลิกศพ นายฟาบิโอ โปเลงกีคดีหมายเลขดำที่ ช.10/2555)

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

24 มิถุนายน 2475 : ไทยสปริงครั้งแรก

$
0
0

ในที่สุดวันที่ 24 มิถุนายนก็ได้เวียนบรรจบมาอีกครั้งในปีที่ 81 นับตั้งแต่เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบประชาธิปไตยของไทย และครั้งนี้ก็เป็นปีที่ 53 นับตั้งแต่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ได้เปลี่ยนวันชาติจากวันที่  24 มิถุนายนไปเป็นวันอื่นเมื่อปี 2503 อันส่งผลให้คนไทยยุคใหม่มองว่าวันที่  24 มิถุนายนเป็นวันปกติทั่วไป (Just one of those days)  ไม่มีการเฉลิมฉลอง ไม่มีอนุสาวรีย์หรือสัญลักษณ์ใดในการระลึกถึงหรือสรรเสริญคณะราษฎร แม้แต่      สารคดีในสื่อกระแสหลักก็อาจมีแบบเสียไม่ได้คือมีแบบสั้นๆ เน้นการตัดต่อเช่นเดียวกับบทเรียนสำหรับนักเรียนโดยมุ่งเทิดพระเกียรติพระมหากษัตริย์มากกว่าคณะราษฎร ทั้งที่วันที่ 24 มิถุนายน2475 ได้ส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อสังคมไทย ประวัติศาสตร์เช่นนี้ย่อมทำให้มีคนจำนวนไม่น้อยที่เห็นว่าการกระทำของคณะราษฎรเป็นเพียงการการถ่ายอำนาจจากคนหนึ่งไปยังบุคคลอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งบทความต่อไปนี้จะเป็นการแสดงให้เห็นว่าวันที่ 24 มิถุนายนที่จริงเป็นวันที่สำคัญที่สุดในวันสำคัญทั้งหลายในรอบปีเพราะวันดังกล่าวในปี 2475  คือวันที่เกิดการปฏิวัติของไทยหรือไทยสปริงครั้งแรกในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ก็ว่าได้      

ขีดจำกัดของการปฏิวัติ

นิยามของการปฏิวัติซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไปคือ  "การเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากถอนโคนต่อโครงสร้างของรัฐและสังคมโดยเฉียบพลันอันได้รับการสนับสนุนหรือมีส่วนร่วมโดยมวลชนและมีเป้าหมายเพื่อมวลชน “  ดังนั้นประวัติศาสตร์แบบดัดแปลงพันธุกรรมดังข้างบนจึงทำให้คนส่วนใหญ่มองว่า 24 มิถุนายน 2475 ไม่ใช่การปฏิวัติหากเป็นเพียงการแย่งชิงอำนาจจากบุคคลๆ หนึ่งไปยังกลุ่มบุคคลหนึ่ง คำพูดเช่นนี้ดูแยบยล แต่ถ้าพิจารณาดูให้ดีแล้วการปฏิวัติทั้งหลายในโลกก็ล้วนเข้าข่ายนี้ทั้งนั้นเช่นการปฏิวัติอเมริกา ในปี 1776  ก็คือการที่ชาวอาณานิคมปลดแอกจากอังกฤษมาอยู่ภายใต้อำนาจของผู้ปกครองที่ตัวเองเลือกคือประธานาธิบดีและรัฐสภา (ซึ่งมีหลายครั้งที่ทำตัวเป็นเผด็จการไม่ต่างจากอดีตเจ้าอาณานิคมเลย) เท่านั้นเอง   การปฏิวัติโดยทั่วไปต้องใช้เวลาในการถ่ายโอนอำนาจ เมื่อมีการก่อการแล้วใช่ว่าอำนาจจะลงมาสู่ประชาชนเลยทันทีโดยไม่มองว่าสถาบัน องค์กรหรือโครงสร้างต่างๆ ของระบอบเดิมก็ยังคงมีอิทธิพลหลงเหลืออยู่  นอกจากนี้กลุ่มอำนาจเก่ายังคงมีอำนาจในการกลับมาทวงอำนาจคืนหรือทำลายล้างผลการปฏิวัติ (Counter-revolution) จึงนำไปสู่การชะลอตัวของการปฏิวัติ คณะปฏิวัติต้องกระทำการที่เป็นปฏิบัตินิยมคือยืดหยุ่นไปกว่าอุดมการณ์เดิมเพื่อปกป้องระบอบใหม่และตัวเอง ด้วยตระหนักว่าถ้าทำไม่สำเร็จ คณะปฏิวัติเองก็ต้องประสบความล้มเหลวหรือพบจุดจบในที่สุด  ปรากฏการณ์เช่นนี้มีมากมายในอดีตแม้แต่การปฏิวัติที่เกิดจากประชาชนรากหญ้าก็ตาม แต่เมื่อโค่นรัฐบาลชุดเก่าได้แล้วก็ต้องสนับสนุนคนที่เห็นว่าเหมาะสมมาปกครองต่อซึ่งผู้นำอาจทรยศต่ออุดมการณ์เก่าหรือว่าไร้ประสิทธิภาพจนทำให้เกิดการปฏิวัติหรือทำรัฐประหารซ้อนอีกก็ได้ดังเช่นการปฏิวัติฝรั่งเศสที่สิ้นสุดลงเพราะการขึ้นมามีอำนาจของพระเจ้านโปเลียน

24 มิถุนายน 2475  และมวลชน

การเห็นว่า24 มิถุนายน 2475  เป็นเรื่องของชนชั้นปกครองเพียงประการเดียวไม่เกี่ยวกับมวลชนหรือชนชั้นล่างย่อมมองข้ามธรรมชาติของการปฏิวัติในประเทศต่างๆ ว่าล้วนมีแตกต่างกันออกไปโดยเฉพาะสัดส่วนของการมีส่วนร่วมของมวลชนอันขึ้นอยู่กับว่าเราจะตีความว่ามวลชนที่ร่วมทำการปฏิวัติหรือสปริงอยู่กับชนชั้นไหนว่ามีบทบาทมากที่สุด เพราะเป็นไปได้ยากที่จะมีการลุกฮือกันของทุกคนในประเทศ อย่างเช่นในอาหรับสปริง ชนชั้นกลางจะมีส่วนร่วมกันมากในการโค่นล้มรัฐบาลโดยเฉพาะอียิปต์  การปฏิวัติสีส้ม (Orange Revolution) ในยูเครนเมื่อปี 2004 หรือแม้แต่เหตุการณ์ประท้วงรัฐบาลของตุรกีและบราซิลที่กำลังดำเนินอยู่นี้  แต่สำหรับสปริงในหลายๆ ประเทศ  เช่นในอเมริกาใต้หรือแอฟริกาช่วงสงครามเย็น ชาวนาชาวไร่มีส่วนในการร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ในการปฏิวัติหรือโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการซึ่งก็สำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง  และหลังจากมีการปฏิวัติแล้ว อำนาจก็มาอยู่กับบุคคลอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งอาจจะเป็นประชาธิปไตยหรือเผด็จการอำนาจนิยมก็ได้แล้วแต่ปัจจัยของประเทศนั้น

สำหรับไทยนั้นหนังสือประวัติศาสตร์หลายเล่มได้แสดงให้เห็นว่าชนชั้นกลางใหม่ (และยังเป็นที่น่าสนใจว่ารวมไปถึงเชื้อพระวงศ์ระดับล่างๆ อีกหลายพระองค์) มีส่วนในการสนับสนุนไทยสปริงครั้งแรกนี้อย่างมากมายไม่ว่า นักกฎหมาย ปัญญาชน นักคิดนักเขียนหรือแม้แต่พ่อค้าซึ่งได้วิพากษ์ระบอบ  สมบูรณาญาสิทธิราชและให้การสนับสนุนคณะราษฎรภายหลังจากยึดอำนาจแล้วเพราะพวกเขาเห็นว่ารัฐบาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวขาดประสิทธิภาพในการบริหารประเทศ  ส่วนชนชั้นรากหญ้านั้นแน่นอนว่าเสียงของคนเหล่านั้นอาจไม่ได้ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรได้มากนักเพราะคนไทยในยุคนั้นส่วนใหญ่มีการศึกษาน้อยอ่านออกเขียนไม่ได้จึงไม่สามารถแสดงเจตจำนงของเขาได้ชัดเจน อย่างไรก็ตามเราไม่สามารถด่วนสรุปได้ว่าการที่คณะราษฎรสามารถทำการปฏิวัติได้สำเร็จก็เพราะเกิดจากการที่มีประชาชนทั้งหมดสนับสนุนการปฏิวัติ เช่นเป็นไปได้ว่ามีประชาชนจำนวนหนึ่งที่ไม่พอใจการปฏิวัติแต่ไม่กล้าประท้วงต่อต้าน เช่นขุนนางระบอบเก่า ข้าราชการและประชาชนที่หัวนิยมเจ้า หรืออาจมีประชาชนอีกจำนวนหนึ่งที่ขาดความสนใจเรื่องการเมือง ไม่ใส่ใจว่าใครจะมาปกครองเพราะอยู่ในพื้นที่ห่างไกลเช่นหัวเมืองที่มีสำนึกความเป็นท้องถิ่นสูงและการสื่อสารและการขนส่งก็ไม่ดีพอหรืออีกกลุ่มหนึ่งที่มีความจงรักภักดีต่อกษัตริย์และให้การยอมรับต่อคณะราษฎรเมื่อฝ่ายหลังได้ยืนยันว่าจะให้ประมุขของประเทศคือกษัตริย์แต่รัฐบาลได้รับการบริหารโดยคณะราษฎร

แต่ถ้าเราศึกษาดูประวัติศาสตร์ในช่วงตั้งแต่การก่อตั้งรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชคือสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นนั้นจะพบว่าประชาชนมีความกระตือรือร้นทางการเมืองสูงมากโดยเฉพาะการแสดงความไม่พอใจต่อรัฐบาลกลางเป็นอย่างมากเช่นมีตามภูมิภาคต่างๆ มีการถวายฏีกาโดยผู้นำชุมชนต่อรัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราช แต่รัฐบาลไม่สามารถตอบสนองได้เป็นจำนวนมาก รวมไปถึงการขบถแยกดินแดน การประท้วงการเก็บภาษีและกฎหมายหลายประการที่ไม่เป็นธรรม อยู่เนืองๆ  ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกับประเทศตะวันออกหลายประเทศก่อนจะเกิดอาหรับสปริง  สาเหตุสำคัญก็เพราะรัชกาลที่ 5 ทรงไม่สามารถปฏิรูปประเทศเพื่อส่งประโยชน์ถึงประชาชนในระดับล่างๆ ได้อย่างแท้จริง ประเทศจึงประสบปัญหาด้านการเกษตรกรรมและเศรษฐกิจอย่างมากในช่วงปลายรัชสมัยของพระองค์ และยังถูกซ้ำเติมโดยความด้อยประสิทธิภาพในการบริหารประเทศของรัฐบาลในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว [ii]จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้รัฐบาลของรัชกาลที่ 7 ถูกยึดอำนาจไปอย่างง่ายดาย สาเหตุประการหนึ่งที่พระองค์และเหล่าอภิรัฐมนตรีไม่คิดขัดขืนฝ่ายคณะราษฎรก็ด้วยความตระหนักว่าระบอบเก่าได้ถึงกาลอวสานแล้ว เพราะความไร้ศักยภาพของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกในทศวรรษที่ 30 ผสมกับกระแสการล่มสลายของสถาบันกษัตริย์ในประเทศต่าง ๆ อันมีสาเหตุสำคัญเพราะสงครามโลกครั้งที่ 1

ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่สันนิฐานได้ว่าประชาชนระดับล่างๆ อยู่เป็นจำนวนมากที่ให้การสนับสนุนคณะราษฎรภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วถึงแม้จะไม่ได้ออกมาเดินประท้วงเหมือนกับการปฏิวัติทั่วไปโดยเฉพาะในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามคนเหล่านั้นไม่ได้ตั้งใจให้ทำลายสถาบันกษัตริย์แต่ต้องการให้ประเทศมีการปกครองแบบกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญโดยประชาชนมีการควบคุมชะตากรรมของตน อันนำไปสู่การการแบ่งผลประโยชน์ต่อประชาชนภายในชาติอย่างเป็นธรรม  ด้วยจิตสำนึกของความเป็นชาติ (Nation) ที่ถูกปลูกฝังเสริมสร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6[iii]พวกเขาและชนชั้นอื่นล้วนแต่มีส่วนร่วมในการปฏิวัติหรือเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ (Paradigm) เกี่ยวกับการเมืองการปกครองไปโดยปริยาย     

 

คณะราษฎรเพื่อมวลชน

การที่มีความเชื่อว่าว่าคณะราษฎรทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของตัวเองก็เพราะภาพลักษณ์ของคณะราษฎรถูกนำเสนอผ่านประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยมในการลดคุณค่าของคณะราษฎรเพื่อเพิ่มความสำคัญแก่สถาบันกษัตริย์ โดยมองข้ามข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ไปเป็นจำนวนมาก แท้ที่จริงแล้วคณะราษฎรได้กระทำในสิ่งที่เรียกว่าการปฏิวัติคือเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของประเทศอย่างมากมาย เช่นการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานก็คือจากการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชไปสู่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ  (Constitutional Monarchy) อันถือได้ว่าเป็นการเปลี่ยนรูปแบบการปกครองไม่ใช่เปลี่ยนรัฐบาลเพียงประการเดียวเหมือนการทำรัฐประหาร             (Coup d'etat) สิ่งนี้นำไปสู่การจัดวางอำนาจของสถาบันกษัตริย์ในสังคมไทยที่เป็นแกนหลักของระบบราชการและกฎหมายเสียใหม่ และยังนำไปสู่การเลื่อนไหลของกระบวนทัศน์เกี่ยวกับความเท่าเทียมกันของชนชั้น (ข้ามาเทียบชั้นกับเจ้า)  รวมไปถึงรูปแบบการปกครองแบบประชาธิปไตยเช่นมีนายกรัฐมนตรี มีรัฐสภา มีการผลักดันให้รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด มีการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญที่ให้สิทธิและเสรีภาพแก่ปวงชนชาวไทยไปทั่วประเทศอันแตกต่างจากรัชกาลที่ 7 ที่ทรงเคยดำริจะนำรัฐธรรมนูญออกมาด้วยวัตถุประสงค์คือเพื่อเอื้อต่อการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชเช่นให้มีนายกรัฐมนตรีเพื่อช่วยทำงานแทนพระองค์[iv]

นอกจากนี้คณะราษฎรยังได้ประกาศปณิธาน 6 ประการอันสร้างประโยชน์ให้แก่ราษฎรด้วยทั่วหน้า ถึงแม้จะมีผู้โจมตีว่าไม่สำเร็จ แต่ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงการปกครอง ประเทศก็คงจะถูกขับเคลื่อนต่อไปด้วย ปณิธานของพวกเจ้าต่อไป  นอกจากการการแก้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรมระหว่างประชาชนธรรมดากับพวกเจ้าแล้ว นายปรีดี  พนมยงค์ยังมีส่วนสำคัญในการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้ไทยเป็นเอกราชทางศาลเมื่อ พ.ศ. 2481  มีการออกพ.ร.บ.จัดระเบียบเทศบาล เมื่อ พ.ศ.2476 เพื่อการกระจายอำนาจที่เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองมากกว่าระบอบเก่า  ที่สำคัญยังมีการเปิดให้มีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรเป็นครั้งแรก เมื่อพ.ศ.2476 และผู้แทนซึ่งถึงแม้จะมาจากทางอ้อมก็มีความตื่นตัวทางการเมืองในการเป็นปากเป็น เสียงแก่ท้องถิ่น ของตน จนมีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรทางตรงใน ปี 2480 (มีประชาชนไปใช้สิทธิกว่าร้อยละ 40)  ที่ทำให้มีตัวแทนของประชาชนเข้ามาสะท้อนความคิดของประชาชนได้ อันเป็นสิ่งที่ไม่อาจเกิดขึ้นในช่วงสมบูรณาญาสิทธิราช ซึ่งสะท้อนว่าไทยสปริงครั้งแรกประสบความสำเร็จไปได้ระดับหนึ่ง ก่อนจะมาสะดุดเพราะเงื่อนไขหลายประการ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการทำรัฐประหารโดยกลุ่มนายทหารนอกราชการเมื่อ พ.ศ. 2490  ซึ่งสมาชิกโดยส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นสมาชิกของคณะราษฎรหรือเลื่อมใสในระบอบประชาธิปไตยเลยแม้แต่น้อย

หลังการทำปฏิวัติแล้วผู้เขียนก็ไม่ปฏิเสธว่าในบรรดานักปฏิวัติจะมีการแย่งชิงอำนาจกันเพราะเกิดจากการรวมตัวกันของกลุ่มบุคคลหลายกลุ่มที่มีวัตถุประสงค์ร่วมกันแบบหลวม ๆ  แต่อาจจะมีผลประโยชน์ส่วนบุคคลหรือเฉพาะกลุ่มแอบแฝง หรือมีการตีความในการบริหารรัฐกิจไม่ตรงกัน แต่เป็นที่น่าสนใจว่าประวัติศาสตร์กระแสหลักมักจะมุ่งเน้นตรงจุดนี้มากไป โดยไม่กล่าวถึงการช่วงชิงอำนาจกลับของพวกภักดีเจ้าอย่างเช่นพระยามโนปกรณ์นิติธาดาซึ่งคณะราษฏรมุ่งหวังจะให้มาประนีประนอมกับรัชกาลที่ 7 กลับพยายามทำรัฐประหารโดยการปิดสภา งดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรารวมไปถึงการยุยงให้สมาชิกของคณะราษฎรขัดแย้งกันเองดังเช่นพระยาทรงสุรเดช หรือแม้แต่ขบฏบวรเดชซึ่งเกือบทำให้เกิดสงครามกลางเมืองเมื่อ 2476 ก็เกิดจากการที่กลุ่มภักดีเจ้าต้องการถวายอำนาจส่วนหนึ่งคืนให้กษัตริย์[v] มีผลให้แผนของคณะราษฎรในการกระจายอำนาจสู่ประชาชนต้องชะงักงัน แม้แต่สำหรับจอมพล ป.พิบูลสงครามในยุคแรก (2481-2487)   มักมีผู้เห็นว่านายกรัฐมนตรีผู้นี้มีความประพฤติเป็นเผด็จการ ฝักใฝ่ในลัทธิทหาร มีการสร้างลัทธิเชิดชูบุคคลเช่นคำขวัญที่ว่า "เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย"สาเหตุสำคัญนอกจากสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วก็เพราะเขาต้องการป้องกันไม่ให้พวกนิยมเจ้ากลับมามีอิทธิพลอีก[vi]    อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสนใจว่าจอมพล ป. ได้เปลี่ยนแปลงรัฐไทยไปสู่โฉมหน้าใหม่เช่นยกเลิกบรรดาศักดิ์หรือตอกย้ำลัทธิชาตินิยมที่มีรัฐเป็นศูนย์กลางไม่ใช่สถาบันกษัตริย์ และในท้ายสุดเขาได้พ้นตำแหน่งจากนายกรัฐมนตรี โดยการแพ้เสียงมติไม่ไว้วางใจจากรัฐสภาตามแบบประชาธิปไตย           

สุดท้ายนี้หากมีการเห็นว่าเมื่อประชาชนถวายการต้อนรับรัชกาลที่ 8 และพระอนุชาเมื่อเสด็จนิวัติพระนครอย่างล้มหลามด้วยความปีติ เป็นตัวสะท้อนว่า 24 มิถุนายน 2475   ไม่ใช่การปฏิวัติแล้วการเปลี่ยนแปลงการปกครองของฝรั่งเศสเมื่อปี 1789 ก็ไม่ใช่การปฏิวัติเพราะหลังจากนั้นก็มีการรื้อฟื้้น ระบอบกษัตริย์ขึ้นมาอีกเรื่อย ๆ  สำหรับเมืองไทยผู้เขียนคิดว่าคณะราษฎรรวมไปถึงประชาชนจำนวนมากไม่ได้ต้องการล้มล้างระบอบกษัตริย์และไม่ได้ต้องการให้คนไทยเลิกรักหรือเชิดชูพระมหากษัตริย์ แต่ว่าต้องการให้พระราชอำนาจของพระองค์ถูกจำกัดภายใต้รัฐธรรมนูญและถ่ายโอนมาให้ประชาชนได้บริหารประเทศกันเอง ส่วนการถวายการต้อนรับของประชาชนต่อกษัตริย์เกิดจากความรู้สึกชื่นชมของประชาชนต่อบารมีหรือบุคลิกส่วนพระองค์ของกษัตริย์เองไม่ใช่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของกษัตริย์เหมือนเมื่ออยู่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช

ปรากฏการณ์ทั้งหมดนี้ผู้เขียนคิดว่าเป็นมรดกของปรากฏการณ์ไทยสปริงครั้งแรกอันเกิดจากคณะราษฎรและประชาชนไทยอย่างแท้จริง  ส่วนความล้มเหลวของหลายส่วนของการปฏิวัติในภายหลังอันทำให้ประชาธิปไตยของไทยล้มลุกคลุกคลานเป็นเวลากว่า 80  ปี ผู้เขียนมีความเห็นว่าไม่สามารถโทษคณะราษฎรได้เพียงประการเดียว หากมีกลุ่มผลประโยชน์อื่นรวมไปถึงบริบททางสังคมและการเมืองเข้ามาเป็นตัวจำกัดอีกด้วย

 




[i]ผู้ก่อการไม่ได้เรียกการกระทำของตนว่า “ปฏิวัติ”  มีแต่เรียกว่า “การเปลี่ยนแปลงการปกครอง”  หรือ “การยึดอำนาจ”  และนายปรีดี พนมยงค์ในภายหลังต้องการเรียกว่าเป็นการอภิวัฒน์   แต่ในบทความนี้ขอเรียกว่าการปฏิวัติตามความนิยมในปัจจุบันเช่นเดียวกับคำว่าสปริง

 

[ii]อัจฉราพร กมุทพิสมัย. (2524). กบฏ ร.ศ. 130 : ศึกษากรณีการปฏิรูปทางการปกครองและ กลุ่ม "ทหารใหม่". วิทยานิพนธ์ดุษฎีบัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, บัณฑิตวิทยาลัย, สาขา ประวัติศาสตร์

 

[iii] Craig J. Renolds   http://www.academia.edu/557749/Thai_Revolution_1932_Thai Revolution (1932)

 

[iv]ถึงแม้ว่าร่างรัฐธรรมนูญหลายฉบับดังกล่าวจะไม่ได้เป็นการนำประชาธิปไตยแก่สยามอย่างแท้ จริงแต่ต้องตกไปอย่างง่ายดายเพียงเพราะการทัดทานจากอภิรัฐมนตรีสภาอันประกอบด้วยบรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่หัวอนุรักษ์นิยมสามารถสะท้อนว่าพระองค์นั้นทรงขาดความตั้งพระทัยในการพระราชทานรัฐธรรมนูญด้วยข้ออ้างว่าคนไทยยังไม่พร้อม     ด้วยท่าทีเช่นนี้ย่อมทำให้บรรดาคณะราษฎรถือว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่ชัดเจนเพียงพอที่จะต้อง รอ  ดังนั้นคำอธิบายที่บอกว่า "คณะราษฎรใจร้อน ด่วนได้"เป็นการให้ความหมายของคนใน ภายหลังที่ไม่เข้าใจขีดบริบทที่เหล่านักปฏิวัติกำลังเผชิญอยู่

 

[v]มีการแจกใบปลิวเพื่อโฆษณาชวนเชื่อว่าตนอยู่ฝ่ายเดียวกับพระมหากษัตริย์ ถึงแม้รัชกาลที่ 7 จะทรงปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับฝ่ายขบฎ แต่ศาลพิเศษที่ถูกจัดตั้งโดยรัฐบาลได้ ตัดสินว่าพระองค์มีส่วนสนับสนุนทางการเงินต่อบุคคลเหล่านั้น    ยังเป็นที่น่าสนใจที่ สุธาชัย  ยิ้มประเสริฐได้เล่าว่า ภายหลังการทำรัฐประหารไม่สำเร็จ ชาวบ้านซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่งได้พบเห็นฝ่ายขบฏกำลังล่าถอนก็ได้พร้อมใจกันแจ้งให้กับทางราชการทราบถึงทิศทางของการเคลี่อนย้ายของฝ่ายขบฏ 

 

[vi] Kobkua Suwannathat-Pian.Thailand's durable  Premier: Phibun through three decades, 1932-1957

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กวีประชาไท: รากยัง

$
0
0
 

๐ เวลาศตวรรษคลุ้ง.........คราบฝัน
 
กาลผ่านมีใดผัน..............เรื่องพ้น
 
คงเวียนแต่ทางตัน...........จนตรอก
 
อธิปไตยพสกค้น.............คิดคว้าคือเหลว
 
 
๐ เปลวประกายปะทุเชื้อ....ชนยืน
 
ยุดสิทธิ์ปกครองขืน..........กี่ครั้ง
 
สำเร็จ ผงาด ครืน............ลงคว่ำ
 
มือมืดใดฉุดรั้ง................ชักเร้าบังเหียน
 
 
 
๐ เวียนหมุนสุมสาดซ้ำ......วิบัติสา
 
กบฏ ปฏิวัติ คณา............กระหน่ำกลุ้ม
 
เกยการณ์อยู่คงคา...........เขาครอบ
 
กรงกักคือกดคุ้ม.............ทาสคู้เคียงสถาน
 
 
 
๐ คณะคนคณะราษฎร์__หาญประกาศสิทธิชน
 
สั่นรื้อระบอบล้น__อำนาจล้ำที่กุมเกิน
 
 
๐ เพียงหวังจะยังสิทธิ์__ทุกชีวิต ณ ดินเดิน
 
เทียมบ่าประชาเชิญ__ดำรงข้าคือคนคืน
 
 
๐ ต้นไม้คณะราษฎร์__ชูผงาดลำต้นยืน
 
กิ่งใบอุดมดื่น__และดอกพร้อมจะผลิบาน
 
 
๐ งามนั้นสำคัญหนา__มหิทธาจึ่งรอนราน
 
ลิดใบและดอกก้าน__สกัดกั้นอย่าฝันไกล
 
 
๐ รากลึกผนึกดิน__มิสร่างสิ้นถวิลไชย
 
เสียดยอดชูไสว__เพื่อสานก่ออุดมการณ์
 
 
๐ ชนยังและยังชน__จะฝ่าด้นฮึดแรงหาญ
 
โหมสู้กรูรึคลาน__ก็กำซาบควรกราบใคร
 
 

*****************************************

 

หมายเหตุ: กวีบทนี้อ่านเมื่อย่ำรุ่งวันที่ 24 มิถุนา ที่หมุดคณะราษฎร

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เสื้อแดงเชียงใหม่คดียังไม่จบ ส่งฟ้องอดีตการ์ดกรณีปะทะเดือดปี 51 เพิ่มอีกคดี

$
0
0

 

เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.56 ศาลจังหวัดเชียงใหม่นัดพร้อมเพื่อกำหนดนัดวันสืบพยานคดีอาญาหมายเลข อ.2421/56 ซึ่งมีนายแดง  ปวนมูล อายุ 42 ปีอดีตการ์ดเสื้อแดงกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 เป็นจำเลยในข้อหาร่วมกันฆ่า  จากกรณีเหตุปะทะเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2551  ที่บริเวณหน้าหมู่บ้านระมิงค์ ต.หายยา อ.เมือง จ.เชียงใหม่  อันเป็นที่ตั้งของสถานีวิทยุวิหคเรดิโอ 89 MHz โดยเหตุการณ์นี้มีผู้เสียชีวิต 1 รายคือนายเศรษฐา เจียมกิจวัฒนาบิดาของเทิดศักดิ์  เจียมกิจวัฒนาหรือโต้ง วิหค  แกนนำของกลุ่มทหารเสือพระราชา หรือพันธมิตรเชียงใหม่  (อ่านที่ รักเชียงใหม่ 51 ปะทะเดือดเจ็บ 2 ฝ่าย พ่อแกนนำทหารเสือพระราชาดับ)

นายแดงให้การปฏิเสธและขอต่อสู้คดี  ศาลจังหวัดเชียงใหม่ยังไม่กำหนดวันนัดสืบพยานโดยเลื่อนไปฟังคำสั่งวันที่ 19 ส.ค.56 เวลา 13.30 น. อีกครั้ง

นายแดงตกเป็นจำเลยรายที่ 6 ในข้อกล่าวหาจากเหตุการณ์นี้ซึ่งเป็นกรณีเดียวกันที่มีนายนพรัตน์ แสงเพชร นายประยุทธ บุญวิจิตร นายบุญรัตน์ ไชยมโน นายสมศักดิ์ อ่อนไสว และนายพยอม ดวงแก้ว ทั้ง 5 คนเป็นจำเลยร่วมกันอยู่ก่อนหน้า (อ่านที่ ผู้ต้องขังเสื้อแดงเชียงใหม่ร่ำไห้วอนแกนนำช่วยประกันตัว) กรณีดังกล่าวศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยทั้ง 5 คนคนละ 20 ปี  ส่วนชั้นอุทธรณ์ศาลพิพากษาแก้โทษเป็นจำคุก 12 ปี  ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างรอฟังคำพิพากษาศาลฎีกา  และจำเลยทั้งหมดเพิ่งได้รับสิทธิปล่อยตัวชั่วคราวเมื่อวันที่ 17 ก.พ.55  หลังจากที่แต่ละรายถูกคุมขังเป็นเวลาเกือบ 3 ปี  (อ่านที่ ศาลฎีกาสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยคดีเสื้อแดงเชียงใหม่ 5 ราย)

ทนายความกลุ่มยุติธรรมล้านนาซึ่งเข้ามาดูแลคดีในชั้นฎีกาของคดีดังกล่าวและช่วยเหลือคดีนายแดงด้วยระบุว่า  ได้ยื่นคำให้การปฏิเสธต่อศาลแล้ว  ศาลจึงส่งเรื่องไปยังศูนย์สมานฉันท์ตามระเบียบวิธีปฏิบัติ  เพื่อให้ญาติผู้ตายที่ยื่นคำร้องเข้ามามีเนื้อหาโดยสรุปว่าไม่ติดใจเรียกร้องเอาความทั้งทางแพ่งและอาญาได้เข้ามาให้การประกอบ

นายแดง ปวนมูล อยู่ระหว่างรับโทษจำคุก 5 ปี 6 เดือนที่เรือนจำกลางจังหวัดเชียงใหม่จากคดีอาวุธปืนและพยายามฆ่านางสาวอัจจิมา ศรีกัลยานิวาท อายุ 43 ปีการ์ดเสื้อเหลืองในเหตุการณ์ช่วงบ่ายวันเดียวกัน (26 พ.ย. 51)  ทำให้นางสาวอัจจิมาได้รับบาดเจ็บที่หัวไหล่ข้างขวา  คดีดังกล่าวนายแดงรับสารภาพในชั้นศาล  (อ่านที่ พิพากษาเสื้อแดงเชียงใหม่ จำคุก 5 ปี 6 เดือน จากเหตุปะทะกลุ่มพันธมิตรปี 51)โดยนายแดงเพิ่งจะทราบว่าตนตกเป็นจำเลยร่วมในกรณีนี้ขณะที่ดำเนินการขอพักโทษ  (อ่านกรณีนายแดง ปวนมูลขอพักโทษได้ท้ายข่าวนี้  http://prachatai.com/journal/2012/10/42951) ตามสิทธิของผู้ต้องขังที่รับโทษจำคุกตามคำพิพากษามาแล้ว 2 ใน 3 ประกอบกับมีเหตุพิเศษเกี่ยวกับสุขภาพที่นายแดงเป็นผู้ติดเชื้อ HIV ตามหลักเกณฑ์ของกรมราชทัณฑ์   แต่เมื่อมีการตรวจสอบข้อมูลทะเบียนประวัติอาชญากรรม  นายแดงก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจอายัดตัวนำมาเป็นจำเลยในคดีนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางบัวจันทร์ ปวนมูล  มารดาของนายแดง  (อ่านที่ เรื่องของแม่คนหนึ่ง กับการฟื้นฟูเยียวยาที่ยังมาไม่ถึง)ร่วมกับกลุ่มครอบครัวคดีเสื้อแดงเชียงใหม่  และมีนายนพรัตน์ แสงเพชร นายสมศักดิ์ อ่อนไสว และนายพยอม ดวงแก้ว จำเลยจากกรณีเดียวกัน  ได้มาร่วมให้กำลังใจนายแดงในวันนี้ด้วย  ทั้งนี้ไม่มีแกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 หรือแกนนำเสื้อแดงเชียงใหม่กลุ่มอื่นๆ มาร่วมฟังการพิจารณาแต่อย่างใด

นางบัวจันทร์เล่าว่านายแดงเป็นกำลังหลักในการหาเลี้ยงครอบครัวเนื่องจากตนอายุมากแล้ว  ไปขายของข้างทางไม่ได้บ่อยนักเพราะมีปัญหาสุขภาพ  ขณะนี้มีความช่วยเหลือทางด้านการเงินอยู่บ้างจากกลุ่มปฏิญญาหน้าศาล  มีมวลชนที่ทราบข่าวเข้ามาช่วยเหลือเล็กน้อย  ดีใจที่ได้เจอกับนายแดงอย่างใกล้ชิด  ทางเรือนจำกลางจังหวัดเชียงใหม่ได้เปลี่ยนระเบียบเข้าเยี่ยมนักโทษแต่ละแดนทำให้เข้าเยี่ยมนายแดงได้เพียงสัปดาห์ละครั้งคือเฉพาะวันอังคารเท่านั้น  และทุกครั้งก็จะเตรียมอาหารที่นายแดงชอบฝากเข้าเยี่ยมเสมอ.

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ กับบทบาททีดีอาร์ไอในกระแสประชานิยม

$
0
0

“นโยบายประชานิยม” กลายเป็นกระแสใหญ่ในสังคมประชาธิปไตย  ในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมาประชานิยมถูกนำมาใช้หาเสียงในการเมืองไทยอย่างแพร่หลายโดยหลายพรรคการเมืองท่ามกลางความคิดเห็นต่างขั้ว   ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายซึ่งพยายามท้วงติงจึงถูกแขวนป้ายผลักให้ไปอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล   ไม่เว้นแม้การแสดงความเห็นทางวิชาการของสถาบันทางวิชาการต่าง ๆ

ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) กล่าวในการเสวนาสาธารณะ “เศรษฐกิจแห่งวันพรุ่งนี้”(Economy of Tomorrow) เรื่อง “คิดใหม่ประชานิยม: จากรัฐบาลทักษิณถึงยิ่งลักษณ์ เราเรียนรู้อะไรบ้าง”  ซึ่งทีดีอาร์ไอร่วมกับมูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท (FES)จัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้  โดยได้แสดงมุมมองเกี่ยวกับนโยบายประชานิยมและบทบาทของทีดีอาร์ไอในฐานะสถาบันทางวิชาการ

ดร.สมเกียรติ   กล่าวว่า ประชานิยมในทางเศรษฐกิจ เป็นนโยบายซึ่งหวังผลให้ได้การสนับสนุนทางการเมือง โดยเน้นการล้วงกระเป๋าคนกลุ่มหนึ่งไปให้คนอีกกลุ่ม หรือแทรกแซงกลไกตลาด ซึ่งโดยตัวมันเองไม่ใช่เรื่องผิดอะไร  ถ้าสามารถช่วยสร้างขีดความสามารถในระยะยาวของประชาชนและภาคธุรกิจปัญหาก็คือนโยบายประชานิยมส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในช่วงหลัง นอกจากไม่ช่วยสร้างความเข้มแข็งของประชาชนหรือภาคธุรกิจแล้ว ยังสร้างภาระทางการคลังต่อประเทศมาก

หากเปรียบประชานิยมยุครัฐบาลทักษิณเป็นประชานิยมรุ่นแรก และยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นรุ่นที่สอง นโยบายรุ่นแรกเช่น 30 บาทรักษาทุกโรคช่วยสร้างขีดความสามารถประชาชนอย่างมาก เพราะสุขภาพเป็นรากฐานของมนุษย์    นโยบายโอท็อปก็เป็นความพยายามสร้างความสามารถให้แก่ธุรกิจชุมชน แม้จะมีปัญหาหลายอย่างก็ตาม แต่นโยบายประชานิยมในรุ่นที่สองจำนวนมากไม่เข้าข่ายนี้เลยเช่น นโยบายรถคันแรก เกิดจากการล็อบบี้โดยนักลงทุนข้ามชาติในอุตสาหกรรมยานยนต์ นโยบายนี้จึงออกมาเพื่อเอาใจนักลงทุนต่างประเทศแล้วผู้ซื้อรถคนไทยเป็นผลพลอยได้ ตอนนี้ก็เห็นชัดว่ามีคนไม่สามารถรับรถได้มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยบางยี่ห้อสูงถึง 70-80%

นโยบายรถคันแรกเป็นตัวอย่างนโยบายประชานิยมในเชิง ลด-แลก-แจก-แถม ที่มีปัญหามาก  และสวนทางกับแนวทางการพัฒนาที่ควรจะเป็น ซึ่งควรทำให้คนทุกกลุ่มใช้บริการขนส่งสาธารณะมากขึ้น   นโยบายประชานิยมส่วนใหญ่ยังไม่มีการติดป้ายราคาบอกผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งว่ามีต้นทุนเท่าไร นโยบายประชานิยมในช่วงหลัง ๆ ยังเริ่มเข้าไปหากลุ่มเฉพาะมากขึ้น เช่น เรื่องรถ แรงงาน ข้าว แต่ละกลุ่มก็มีกลุ่มผลประโยชน์อยู่ในแต่ละเรื่องการกระจายผลประโยชน์ที่แคบลงทำให้นโยบายประชานิยมเหล่านี้มีคุณภาพที่ด้อยลงไปด้วย

ต่อข้อเสนอจากบางฝ่ายให้นักวิชาการรวมทั้งทีดีอาร์ไอมาทำหน้าที่ฝ่ายค้านนั้น  ดร.สมเกียรติ   เห็นว่า การที่เรามีพรรคฝ่ายค้านที่ไม่ค่อยเข้มแข็งไม่ควรจะเป็นเหตุให้สถาบันทางวิชาการต้องไปทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านแทน ทีดีอาร์ไอและนักวิชาการควรวิพากษ์วิจารณ์นโยบายแต่ละเรื่องมากกว่าที่จะไปวิพากษ์วิจารณ์ตัวระบบการเมือง ซึ่งเลี่ยงได้ยากที่จะเข้าไปพัวพันกับการเมืองทั้งนี้ การวิจารณ์ต้องอยู่บนหลักวิชาการและข้อมูลว่านโยบายเหล่านั้นมีข้อดีและข้อเสียที่ควรปรับปรุงอย่างไรภาควิชาการควรเป็นตัวแทนของภาคประชาสังคม ภาคประชาชน คนเล็กคนน้อยที่ไม่มีปากมีเสียงในสังคมมากกว่าที่จะเข้าไปต่อสู้ในเวทีทางการเมืองโดยตรง เพราะในระบบการเมืองแบบประชาธิปไตยมีกลไกตัดสินใจอยู่แล้ว

จากประสบการณ์ที่มีนักวิชาการจากทีดีอาร์ไอเข้าไปร่วมในตำแหน่งที่สำคัญในรัฐบาลในอดีตและได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์มาก   เราได้ทบทวนบทเรียนและได้ข้อสรุปว่า  ต่อไปเราไม่ควรจะเดินเส้นทางนั้นอีก  เราอยากเห็นการเมืองประชาธิปไตยแบบรัฐสภาที่มีความสมดุลมากยิ่งขึ้น เป็นการเมืองที่นอกจากจะเป็นตัวแทนของเสียงข้างมากแล้ว ยังคุ้มครองเสียงข้างน้อยที่ไม่มีปากมีเสียงในสังคม ไปจนถึงรุ่นลูกหลานที่ไม่สามารถออกเสียงเลือกตั้งในวันนี้ด้วย 

“ด้วยแนวคิดอย่างนี้เราจึงวิตกทุกข์ร้อนกับนโยบายประชานิยม ไม่ใช่ว่าเพราะเราเป็นพวกเสรีนิยมใหม่ ซึ่งมีแนวคิดต่างจากนักวิจัยส่วนใหญ่ในทีดีอาร์ไอมาก แต่เพราะพวกเราเห็นว่าถ้าปล่อยให้ดำเนินนโยบายประชานิยมแบบนี้ต่อไป มันจะพาเราไปสู่วิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ ซึ่งคนที่รับภาระก็คือคนรุ่นลูกรุ่นหลานของเราในฐานะที่เป็นหน่วยงานทางวิชาการเราอยากมีส่วนช่วยทำให้การเมืองในระบบรัฐสภามีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น   งานหนึ่งที่เราทำกันอยู่ในปัจจุบันคือการร่วมกับสถาบันพระปกเกล้าจัดตั้งหน่วยวิเคราะห์งบประมาณของรัฐสภา เพื่อช่วยให้รัฐสภาซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนมีความเข้มแข็งมากขึ้น”

ดร.สมเกียรติ กล่าวว่า  นโยบายด้านเศรษฐกิจและสังคมที่อยากเห็น คือ นโยบายที่มีความรับผิดชอบทางการคลัง  ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมีกติกาที่ทำให้การเมืองในระบอบประชาธิปไตยไม่แข่งขันกันจนทำลายตัวเอง หรือทำลายเศรษฐกิจจนเกิดวิกฤติกฎกติกาบางอย่างอาจต้องไปแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย โดยต้องแก้ให้มีวินัยทางการคลังที่จำกัดการใช้เงิน ไม่ใช่ปล่อยให้ขาดดุลทางการคลังต่อเนื่องไปนานๆ

ตั้งแต่เกิดวิกฤติการณ์ในปี 2540 จนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยขาดดุลการคลังมาทุกปี ยกเว้นปี 2548 ปีเดียว และถ้าเกิดแข่งขันกันทางนโยบายแบบนี้ต่อไป ก็จะมีแนวโน้มขาดดุลเพิ่มขึ้น แม้ว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะของไทยอยู่ที่ระดับ 44-45% ของจีดีพี ซึ่งยังไม่ใช่ระดับที่สูง แต่ถ้าเกิดวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ มีแรงกระแทกจากภายนอกก็ทำให้หนี้สาธารณะสามารถกระโดดขึ้นได้ เช่นที่เคยเกิดหลังวิกฤติในปี 2540 ซึ่งหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นจาก 16%เป็น 61% ของจีดีพีในเวลาเพียง 2-3  ปีดังนั้น เราจึงไม่ควรประมาท 

ประธานทีดีอาร์ไอ  เรียกร้องให้ทุกฝ่ายในสังคมช่วยกันกำหนดกติกาให้การแข่งขันทางการเมืองไม่นำไปสู่การทำลายระบอบประชาธิปไตยและระบอบเศรษฐกิจ  นั่นคือ  วินัยทางการคลัง  ซึ่งสังคมควรมาช่วยกันคิดส่วนตัวเห็นว่า รัฐธรรมนูญควรจะคุมเพดานการขาดดุลการคลังในช่วงภาวะเศรษฐกิจปรกติ โดยไม่ต้องไปกำหนดแนวนโยบายแห่งรัฐในรายละเอียดเหมือนรัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550   แต่ควรปล่อยให้พรรคการเมืองกำหนดนโยบายเพื่อหาเสียงเลือกตั้งได้โดยอิสระภายใต้กรอบวินัยทางการคลัง.

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เปิดโผ ครม.ยิ่งลักษณ์ ปรับใหญ่ กว่า 20 ตำแหน่ง ดึงบ้านเลขที่ 111 เสริมทัพ

$
0
0

ยิ่งลักษณ์นั่ง รมว.กลาโหมเอง ดึงบ้านเลขที่ 111 เสริมความแข็งแกร่ง ปรับยุทธศาสตร์สู่การเลือกตั้งใหม่ในอีก 2 ปี เปิดโผ ครม.ยิ่งลักษณ์ ปรับใหญ่ กว่า 20 ตำแหน่ง เตรียมศึกหนัก การเสนอ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และรับมือการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เปิดสภา 1 ส.ค.นี้

26 มิ.ย.56 เนชั่นแชลแนลรายงาน  โผการปรับ ครม.ยิ่งลักษณ์ ครั้งนี้เป็นการปรับใหญ่ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นของรัฐบาล กับการบริหารประเทศ ในช่วงเวลา 2 ปีที่เหลือ โดยการดึงบ้านเลขที่ 111 ที่เพิ่งพ้นโทษแบน ทั้งจากพรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาล เข้าเสริมความแข็งแกร่ง และปรับยุทธศาสตร์สู่การเลือกตั้งใหม่ในอีก 2 ปีข้างหน้า และมีการประเมินว่ารัฐบาลต้องเตรียมศึกหนัก การเสนอร่างพ.ร.บ.ปรองดอง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และรับมือการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังเปิดสภาในวันที่ 1 สิงหาคมนี้

สำหรับรัฐมนตรี ที่คาดว่าจะถูกโยกย้ายสลับตำแหน่ง ปรากฏว่ามีชื่อ รองนายกฯ กิตติรัตน์ ณ ระนอง ที่คาดว่าจะไปเป็นรมว.พาณิชย์ /รมว.กลาโหม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต /รมว.พาณิชย์ บุญทรง เตริยาภิรมย์ /รมช.พาณิชย์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ

นอกจากนี้ ยังมีรัฐมนตรีที่คาดว่าจะถูกปรับออกตามสัญญาใจ ประกอบด้วย รมว.มหาดไทย จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ / รมช.มหาดไทย พล.ต.ท.ชัชจ์ กุลดิลก / รมว.ยุติธรรม พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก / รมว.แรงงาน เผดิมชัย สะสมทรัพย์ / รมว.ทรัพย์ฯ ปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข / รมว.พัฒนาสังคมฯ สันติ พร้อมพัฒน์ / รมช.คมนาคม ประเสริฐ จันทรรวงทอง / รมช.อุตสาหกรรม ฐานิสร์ เทียนทอง / รมว.วิทยาศาสตร์ วรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล และ รมต.ประจำสำนักนายกฯ ศันสนีย์ นาคพงศ์ ซึ่งคาดว่าจะสลับนายณัฐวุฒิ มาเป็นรัฐมนตรี ประจำสำนักนายกฯ แทน

มีรายงานว่า สำหรับโควตา รัฐมนตรีที่จะเข้ารับตำแหน่งใน ครม.ครั้งนี้ ปรากฏว่ามีรายชื่อของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ (โควต้า คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์) / พล.ต.ท.ชิดชัย วรรณสถิตย์ (กลุ่มตำรวจเพื่อนทักษิณ สายจันทร์ส่องหล้า) / นายจาตุรนต์ ฉายแสง (อดีตบ้านเลขที่ 111) / นายไชยา พรหมา (แกนนำกลุ่มอีสาน) / นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ (กลุ่มอ้ายยงยุทธ) มีชื่อของแกนนำ นปช. นายจตุพร พรหมพันธุ์ / นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี ที่จะเข้ามาเป็น รมช.คมนาคม / นางสิริกรณ์ มณีรินทร์ เข้ามาเป็นรัฐมนตรีศึกษาธิการ / นายสรวงศ์ เทียนทอง ลูกชายป๋าเหนาะ เสนาะ เทียนทอง แกนนำพรรค เข้ามาเป็นรมช.อุตสาหกรรม และที่น่าสนใจมีชื่อของ พล.อ.พฤณท์ สุวรรณทัต เข้ามาเป็นรัฐมนตรีกลาโหม ซึ่งมีศักดิ์เป็นพ่อของแฟนสาว ของพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายอดีตนายกฯ พ.ต.ท.ทักษิณ / นายโภคิน พลกุล มือกฎหมายของพรรคเพื่อไทย และจะเข้ามาช่วยงานกฎหมายทั้งหมด โดยรายชื่อทั้งหมดได้เข้ากรอกประวัติ เรียบร้อยแล้ว

มีรายงานด้วยว่า ในส่วนของโควตาพรรคร่วมรัฐบาล มีชื่อของ นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ขอเก้าอี้รัฐมนตรีอุตสาหกรรม และมีชื่อของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มมัชฌิมา จากพรรคภูมิใจ หลังมีสัญญาใจกับ เจ๊แดง เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ในการเข้าร่วมรัฐบาล เพื่อปรับครม.ครั้งล่าสุด ติดโผเข้ามาด้วย 

เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่ามีรายงานข่าวแจ้งว่า ในช่วงดึก การจัดโผ ครม. “ปู 5” ลงตัวแล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามและเตรียมนำขึ้นทูลเกล้าฯ แล้ว ตำแหน่งที่มีการปรับเปลี่ยน อาทิ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นั่งควบ รมว.กลาโหม พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา เป็น รมช.กลาโหม นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล เป็น รมว.พาณิชย์ นายจาตุรนต์ ฉายแสง เป็น รมว.ศึกษาธิการ นายชัยเกษม นิติศิริ อดีตอัยการสุงสุด เป็น รมว.ยุติธรรม พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก เป็นรองนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็น รมว.แรงงาน นางปวีณา หงสกุล เป็น รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายสันติ พร้อมพัฒน์ เป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นางเบญจา หลุยเจริญ รมช.คลัง นายสรวงศ์ เทียนทอง เป็น รมช.สาธารณสุข ส่วนนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา พ้นจาก รมว.ศึกษาธิการ คงเหลือรองนายกรัฐมนตรีตำแหน่งเดียว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เสวนา: ก้าวต่อไปเสรีภาพในการชุมนุมมองผ่านคำพิพากษา

$
0
0

จันทจิรา เอี่ยมมยุรา ชี้การชุมนุม แม้สงบ-ปราศจากอาวุธ ก็อาจผิดกฎหมายอื่นๆ ตุลาการต้องชั่งน้ำหนักคุณค่าของเสรีภาพตาม รธน.กับ กฎหมายระดับ พ.ร.บ. สมชาย ปรีชาศิลปกุล แนะชุมนุมขัดแย้งระหว่างประชาชนต่างขั้วมีมากขึ้น ต้องอดทนฟังฝ่ายเห็นต่าง กิตติศักดิ์ ปรกติ รับมหาวิทยาลัยยังบกพร่อง ไม่สร้างองค์ความรู้ให้ศาล

(26 มิ.ย.56) สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน ร่วมกับมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม จัดเสวนาเรื่อง “ก้าวต่อไปเสรีภาพในการชุมนุมมองผ่านคำพิพากษา” ณ ห้อง 222 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์  ผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย กิตติศักดิ์ ปรกติ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จันทจิรา เอี่ยมมยุรา อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสมชาย ปรีชาศิลปกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

จันทจิรา เอี่ยมมยุรา อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การชุมนุมที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญนั้นจะต้องเป็นการชุมนุมโดยสงบ และปราศจากอาวุธ คำว่า "โดยสงบ"นั้น ต้องตีความอย่างกว้าง แม้จะมีการใช้เครื่องเสียง หรือก่อความเดือดร้อนให้ผู้อยู่อาศัย ถ้าสุจริตและได้สัดส่วนกับวัตถุประสงค์ ก็ถือว่ายังเป็นการชุมนุมโดยสงบ พร้อมยกตัวอย่างคำสั่งศาลปกครองกลาง กรณีการชุมนุมหน้ารัฐสภาของกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อ 7 ต.ค.51 ที่ว่า ในการชุมนุมที่บริเวณรัฐสภา ซึ่งผู้ชุมนุมใช้รั้วลวดหนาม ยางรถยนต์กั้นทางเข้าไว้ ทำให้ ส.ส.กลัว ไม่กล้าเข้าสภา เป็นการกระทบต่อสิทธิเสรีภาพบุคคลอื่น จึงไม่ใช่่การชุมนุมโดยสงบ ตามมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญ ขณะเดียวกัน ศาลระบุต่อว่า แม้การชุมนุมไม่สงบ ซึ่งจะทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมีอำนาจสลายการชุมนุม เพื่อป้องกันเหตุอันตราย การสลายการชุมนุมนั้นก็ต้องเป็นไปอย่างได้สัดส่วนด้วย คือจากเบาไปสู่หนัก แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ประกาศล่วงหน้าว่าจะใช้มาตรการใด จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายทั้งคู่

กรณี "ปราศจากอาวุธ"นั้น อาวุธแบ่งเป็นสองชนิด คือ หนึ่ง อาวุธโดยสภาพ เช่น ปืน มีด  ในที่ชุมนุมทุกแห่ง โดยเฉพาะที่สาธารณะ มักพบอาวุธเสมอ  กรณีคดีคัดค้านท่อก๊าซ ศาลปกครองสงขลา ตุลาการผู้แถลงคดีนี้ ระบุว่า ผู้ชุมนุม มีปืน มีดสปาต้า หนังสติ๊กสามง่าม แต่เมื่อเทียบสัดส่วนกับปริมาณผู้ชุมนุม ถือว่า มีน้อย จึงเชื่อว่าเป็นเจตนาของบุคคลผู้พกพาอาวุธ ไม่ถือเป็นการกระทำร่วมของผู้ชุมนุม สอง อาวุธโดยการใช้ ซึ่งโดยตัวมันเอง ไม่ได้มีเพื่อทำอันตรายบุคคล เช่น ไม้คันธงเหลาปลายแหลม กรรไกร กรณีนี้ศาลปกครองสงขลา ให้ความเห็นว่า ไม่ถือเป็นอาวุธโดยสภาพ แต่เมื่อถูกสลายการชุมนุมโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงหยิบฉวยเครื่องมือมาใช้ป้องกันตัวเอง ถือเป็นเจตนาแต่ละบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้ช่วงต้นการนัดแนะ ผู้ชุมนุมไม่ได้มีเจตนากำหนดให้ใช้อุปกรณ์เหล่านั้นเป็นอาวุธ จึงไม่ถือเป็นเจตนามีอาวุธในการชุมนุม

จันทจิรา กล่าวต่อว่า แม้ว่าการชุมนุมจะเป็นการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ แต่บางกรณี ก็ยังอาจผิดกฎหมายบางอย่างของบ้านเมืองบ้าง เช่น พ.ร.บ.จราจร กฎหมายอาญา เรื่องการมั่วสุมตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายฯ หรือการบุกรุกสถานที่ราชการ เรื่องนี้เป็นเรื่องท้าทายพัฒนาการวุฒิภาวะของสังคมที่จะเรียนรู้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะเสรีภาพการชุมนุม ซึ่งเป็นเสรีภาพการแสดงความเห็นของประชาชนที่ไม่มีความสามารถต่อรองกับผู้มีอำนาจ ดังนั้น ผู้บังคับใช้กฎหมาย คือ องค์กรตุลาการ ต้องชั่งน้ำหนักคุณค่าของเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญกับคุณค่าที่กฎหมายระดับ พ.ร.บ. มุ่งคุ้มครอง และสร้างสมดุลว่า คุณค่าใดต้องรักษาไว้มากกว่ากัน

สำหรับการเข้าไปคัดค้าน ขัดขวางการตรากฎหมายของ สนช. จันทจิรา ระบุว่า องค์กรตุลาการต้องพิจารณาถึงบริบทการใช้เสรีภาพในการชุมนุมให้มาก โดยกรณีนี้ สนช. เป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหาร ทั้งรูปแบบและเนื้อหา จึงไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยหลายประการ นอกจากนี้  จำเลยก็ได้แสดงวัตถุประสงค์ชัดเจนว่ามีมาตรการโต้แย้งการใช้อำนาจ สนช. ซึ่งไม่ชอบด้วยประชาธิปไตยและไม่ชอบธรรม เนื่องจากกำลังจะมีการเลือกตั้ง และกฎหมายที่จะออกจะกระทบเสรีภาพประชาชนในอนาคต แต่ทุกมาตรการไม่เป็นผล จึงเป็นเหตุให้ผู้ชุมนุมกระทำการเสี่ยงผิดกฎหมายอาญา


มองผ่านคำพิพากษา: ศาลให้น้ำหนักรูปแบบ-วิธีชุมนุม มากกว่าเหตุแห่งการชุมนุม
สมชาย ปรีชาศิลปกุล กล่าวว่า นิยามของการชุมนุมโดยสงบนั้นเป็นพื้นที่เทาๆ  มองแง่ลบคือ ขึ้นกับทัศนคติหรือความเห็นของผู้พิพากษาแต่ละคนต่อการชุมนุม แต่มองแง่บวก คือ เปิดให้คนในสังคมเข้าไปสร้างความหมายได้ด้วย ผ่านการสู้คดี การให้เหตุผลของจำเลย

ทั้งนี้ การชุมนุมโดยสงบ มักขัดกับกฎหมายอื่นๆ ซึ่งในการตีความเรื่องนี้ เขาเห็นว่ามีสองทาง คือ หนึ่ง ฝ่ายโปรรัฐ คือให้ความสำคัญกับอำนาจรัฐเป็นหลัก และ สอง ฝ่ายโปร right ให้ความสำคัญกับสิทธิเสรีภาพ โดยแม้จะเห็นการตีความแบบแรกสูง แต่แบบที่สอง ก็เริ่มมีมากขึ้น

สมชาย แสดงความเห็นว่า  เสรีภาพในการชุมนุมนั้นย่อมส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของคนอื่น อย่างไรก็ตาม ปัญหาไม่ใช่เรื่องว่าทำอย่างไรให้การชุมนุมไม่มีผลกระทบ แต่คือเราจะจัดลำดับความสำคัญของเสรีภาพอย่างไร ซึ่งเขามองว่า จะต้องจัดลำดับการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญให้เหนือกว่าอย่างอื่น 

ทั้งนี้ คำพิพากษาของศาลไทยเท่าที่อ่าน คิดว่าศาลจะพิจารณาถึงรูปแบบและวิธีการของการชุมนุม แต่ไม่ให้ความสำคัญกับสาเหตุที่นำมาซึ่งการชุมนุมมากเท่าไหร่ ทั้งที่เมื่อดูคดีต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่า คดีท่อก๊าซ คดีปีนสภา คดีจินตนา แก้วขาว ข้อพิพาทอื่นๆ ล้วนเกิดจากความไม่ชอบธรรมบางอย่างเป็นปัจจัยทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม ถึงที่สุดแล้ว มองว่าคำตอบสุดท้ายไม่ได้อยู่ที่ศาล โดยยกตัวอย่างกรณีศาลสูงอเมริกา ที่ช่วงหนึ่งมีคำพิพากษาซึ่งมีความป็นอนุรักษนิยมมาก ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเพราะการผลักดันและวิจารณ์ของสาธารณะ

สมชาย กล่าวเสริมว่า พลังของเสรีภาพในการชุมนุม ไม่ใช่แค่จำนวนคนหรือจำนวนวันชุมนุม แต่อยู่ที่เหตุผลของการชุมนุมว่าชอบธรรมเพียงใด กรณีคดีปีนสภานั้น ในความเห็นของตัวเอง ต่อให้ครบองค์ประชุมก็ควรปีน เพราะมีความชอบธรรมที่อธิบายได้ นอกจากนี้ ควรมีการฟ้องคดีเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อกดดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในภาพรวม กรณีการปีนสภา เดินขบวนเรื่องท่อก๊าซ  หรือกรณีจินตนา  ไม่ใช่ความผิดฐานกบฏ ซึ่งต้องการเปลี่ยนรัฐบาล เพียงแต่ทำให้ความไม่ชอบธรรมบางอย่างถูกแก้ไข ในการสู้คดี หากชนะในชั้นศาล คือการสร้าง-ขยายเสรีภาพของการชุมนุมให้ชอบด้วยกฎหมาย แต่หากแพ้ ก็ต้องยอมรับโทษนั้น ซึ่งอาจเป็นปัจจัยให้เกิดสำนึกแห่งความยุติธรรมขึ้นในสังคมได้

นอกจากนี้ สมชายกล่าวถึงอนาคตของเสรีภาพการชุมนุมในสังคมไทยว่า ปัจจุบันการชุมนุมที่เกิดขึ้นไม่ใช่เกิดระหว่างรัฐกับประชาชนเท่านั้น หลายกรณีเป็นระหว่างประชาชนที่เห็นต่าง สิ่งที่ต้องทำ คือ ต้องยอมรับความเห็นที่แตกต่างระหว่างประชาชน แม้ฝ่ายที่ตนไม่เห็นด้วย เพราะเสรีภาพในการแสดงความเห็นไม่ได้มีไว้สำหรับพวกเดียวกัน แต่มีไว้สำหรับคนที่พูดไม่เหมือนกับเรา พร้อมย้ำว่า ขันติธรรมหรือความอดทนที่จะรับฟังฝ่ายที่เห็นต่างจากตนนั้นเป็นวัฒนธรรมการเมืองชนิดหนึ่งที่จำเป็น 


ชี้ 'มหาวิทยาลัย'บกพร่องหน้าที่ ไม่สร้างองค์ความรู้ให้ศาล
กิตติศักดิ์ กล่าวว่า เมื่อพูดถึงเสรีภาพในการชุมนุม ยังมีความสับสนของผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งฝ่ายตำรวจ ว่าจะใช้อำนาจรักษาความสงบอย่างไร เนื่องจากไม่มีกฎหมายที่ให้อำนาจตำรวจจำกัดการชุมนุมได้ โดยมีมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญให้สิทธิการชุมนุมไว้ หากจะทำได้ก็ด้วยกฎหมายเฉพาะเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างคำพิพากษาที่ออกมา เช่น คดีสลายการชุมนุมชาวบ้านที่ต้านท่อก๊าซไทย-มาเลเซีย ที่มีการปรับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สลายการชุมนุม และคดีสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อ 7 ต.ค.51 ที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติถูกชี้มูลจาก ป.ป.ช.ว่าประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ฝ่ายผู้ชุมนุมเอง ตราบใดยังไม่มีกฎหมายระบุ ก็ดูเหมือนจะคิดว่าจะชุมนุมที่ไหนก็ได้ ในมหาวิทยาลัยที่ทำการสอนกฎหมาย องค์ความรู้เรื่องนี้ก็ยังคลาดเคลื่อน ไม่ตรงกันหลายประการ

กิตติศักดิ์ ตั้งคำถามว่า แม้จะมีรัฐธรรมนูญมาหลายฉบับแล้ว ซึ่งเนื้อหาก็ไม่ได้แตกต่างกันมาก เหตุใดจึงยังไม่มีคำอธิบายรัฐธรรมนูญที่ครอบคลุมเสียที แม้แต่อาจารย์มหาวิทยาลัยที่เขียนตำราโดยละเอียดก็ยังไม่มี ถ้าเป็นแบบนี้ ศาลจะอ่านหนังสือที่ไหน จะสร้างสำนึกขึ้นจากที่ไหน ในวงการศาลมีแต่แนวคำพิพากษา และเมื่อถูกเร่งรัดคดี ก็ต้องอาศัยลอกแนวคำพิพากษาเก่าๆ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ถูกและคับแคบ ควรได้รับการวิจารณ์ แต่ก็ยอมรับว่าพวกตนเองในฐานะอาจารย์มหาวิทยาลัย ก็บกพร่องต่อหน้าที่ด้วย ดังนั้น จึงต้องตั้งคำถามว่ามหาวิทยาลัยได้ให้ความรู้ ตั้งคำถาม มีตัวอย่างเปรียบเทียบเพียงพอหรือไม่

กรณีคดีปีนสภา เพื่อยับยั้งการออกกฎหมายของ สนช. กิตติศักดิ์ เสนอว่า จำเลยอาจอ้างได้ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นสิทธิในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญตามมาตรา 68 เพราะการออกกฎหมาย ทั้งที่รู้หรือควรรู้ว่าขาดองค์ประชุม อาจถือเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองที่ขัดรัฐธรรมนูญ

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

“การเมือง” ในชื่อมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง

$
0
0

เมื่อเรากล่าวคำว่า “ฉันรักธรรมศาสตร์เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชน” เราไม่สามารถแยกแยะได้ใช่หรือไม่ว่า คณะไหนควรจะเป็นคนสอน นิติศาสตร์  รัฐศาสตร์  สายวิทยาศาสตร์หรือ สาธารณสุขศาสตร์ ? หากแต่น่าจะเป็นภารกิจของทุกคณะในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  เช่นเดียวกับที่เราต้องการจะปลูกฝังคุณลักษณะของบัณฑิตธรรมศาสตร์ให้มี “จิตวิญญาณธรรมศาตร์” เราก็ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะใคร หรือคณะไหน หากแต่ควรเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่กอปรขึ้นเป็นธรรมศาสตร์ได้หล่อหลอมจิตวิญญาณนี้ให้กับชาวธรรมศาตร์

การออกมาคัดค้านการเปลี่ยนชื่อมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไปเป็นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง ด้วยเหตุผลว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไม่ได้จัดการสอนเฉพาะด้านสังคมศาสตร์อีกต่อไปแล้ว ทำให้คณะอื่นๆ จะรู้สึกถึงการเลือกปฏิบัติ   และ คำว่า “การเมือง” อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด เกิดผลกระทบต่อมหาวิทยาลัยเมื่อมีสถานการณ์ทางการเมือง และทำให้มหาวิทยาลัยอื่นที่เปิดสอนด้านรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์โดดเดี่ยวมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เพราะประกาศเป็นมหาวิทยาลัยที่โดดเด่นอยู่เพียงแห่งเดียว

โดยความเห็นส่วนตัวผมคิดว่า ข้อเสนอข้างต้นยกเหตุผลที่จำกัดอยู่กับถ้อยคำของภาษา มองภาษาแบบหยุดนิ่งตายตัวและไม่เชื่อมโยงกับความหมายทางสังคมอยู่มาก

ประการแรก  “การเมือง” ไม่ใช่เรื่องเฉพาะจำกัด แต่ในคณะรัฐศาสตร์ หรือนิติศาสตร์เท่านั้น หากแต่การเมืองเป็นสิ่งที่อยู่ในชีวิตประจำวัน  เป็นเรื่องของคนทุกคนทั้งในฐานะผู้แสดง และผู้ร่วมในสถานการณ์  จะเห็นได้ว่าการออกมาให้ความเห็นต่อสาธารณะในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเมืองของคนธรรมศาสตร์ ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะคณะ   เช่น อาจารย์สมศักดิ์ คณะศิลปศาสตร์ที่เรียกร้องการปฏิรูปสถาบัน    กลุ่มอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ที่ลงชื่อไม่เห็นด้วยกับโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล   อาจารย์ธีรยุทธ บุญมี อดีตอาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ที่เคยออกมาวิจารณ์รัฐบาลเป็นประจำทุกปี  ศิษย์เก่าของคณะวารสารศาสตร์ ที่คัดค้านการใช้สถานที่มหาวิทยาลัยเคลื่อนไหวเกี่ยวกับมาตรา 112  หรือแม้แต่ตอนเหตุการณ์ขับไล่รัฐบาลทักษิณก็มีรายชื่อคณาจารย์คณะแพทย์ศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยธรรมศาตร์ร่วมอยู่ด้วย (ดู  การประท้วงขับทักษิณ ชินวัตรออกจากตำแหน่ง http://th.wikipedia.org/wiki) การเมืองในความหมายปัจจุบันถูกทำให้กลายเป็นเรื่องผลประโยชน์ และจำกัดอยู่กับเฉพาะการเมืองในระบบรัฐสภา ทำให้การเมืองเป็นเรื่องสกปรกไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้อง ทำให้เสียภาพลักษณ์ วิธีคิดแบบนี้นอกจากจะทำให้เกิดความเฉยชาทางการเมืองแล้ว ยังลดทอนการทำหน้าที่ของอาจารย์มหาวิทยาลัยเหลือเพียงการสอนตามตัวชี้วัดที่จะได้คะแนนตามเกณฑ์การประกันคุณภาพการศึกษา และเพิกเฉยต่อความเป็นไปของบ้านเมือง

ประการที่สองชื่อ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ชื่อ และความหมายของถ้อยคำที่ใช้ประกอบกันเป็นรูประโยค แต่ชื่อหมายถึงเอกลัษณ์ ที่ต่างจากมหาวิทยาลัยอื่น เป็นความเหมือนกันในความแตกต่างของคนธรรมศาสตร์  ชื่อจึงเป็นระบบสัญญะที่เมื่อเอ่ยชื่อแล้วทำให้เห็นภาพเสมือนของเรื่องราวมากมายที่มีประวัติศาสตร์ มีรากเหง้าของความคิด วัฒนธรรม บุคลิกลักษณะของคนที่รวมกันเป็นประชาคมธรรมศาสตร์ ฉะนั้นความหมายของชื่อจึงไม่ได้ประกอบสร้างขึ้นจากถ้อยคำ หากแต่มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวโยงสืบเนื่อง กับความทรงจำร่วมกันของสังคม ทั้งความสัมพันธ์ของคนในธรรมศาสตร์ที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทางการเมือง 14 ตุลา  6 ตุลา  เหตุการณ์เดือนพฤษภา 35 และ53 ทั้งปรีดี ป๋วย สัญญา  หรือแม้แต่อธิการบดีอีกหลายคนของธรรมศาสตร์ทั้งอดีตและปัจจุบัน กระทั่งถึง “คณะราษฏร์”  “คณะนิติราษฏร์”   “สมศักดิ์ เจียม” เหล่านี้มันเชื่อมโยงกับความทรงจำร่วมที่มีต่อประวัติศาสตร์ของคำว่า “การเมือง” ของคนธรรมศาสตร์ และกลายเป็นบุคคลิกเฉพาะของมหาวิทยาลัยที่ยืนอยู่เคียงข้างประชาชนในเหตุการณ์ทางการเมือง ซึ่งกำลังค่อยๆ เสื่อมถอยลงในปัจจุบัน

ประการที่สาม  การผลิตสร้าง ความเป็นธรรมศาสตร์ หรือจิตวิญญาณธรรมศาสตร์ จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากเราไม่รื้อฟื้น กระตุ้นเตือน “ความทรงจำร่วมกัน”  ให้เกิดต่อสถานที่  ต่อแบบแผนการประพฤติปฏิบัติของคนในธรรมศาตร์  ตลอดจนซึมซับเข้าไปในการเรียนการสอน ของอาจารย์- นักศึกษาธรรมศาสตร์  ความทรงจำร่วมกันจะเกิดขึ้นได้เมื่อมันผูกโยงเข้ากับระบบสัญลักษณ์ ที่ผลิตสร้างความหมายผ่านการกระทำของคนในธรรมศาสตร์ ถ้าระบบสัญลัษณ์เหล่านี้ถูกทำลายลงไปเรื่อย ๆ ความเป็นธรรมศาสตร์ หรือจิตวิญญาณธรรมศาสตร์ ย่อมสูญสลาย การสูญสลายนี้ไม่ได้หมายถึงสัญลักษณ์ความเป็นธรรมศาตร์สูญสลาย แต่มันหมายถึง จิตวิญญาณ ที่มันมีความทรงจำร่วมกัน  ดังคำกล่าวของ เปลื้อง วรรณศรีที่ว่า  “หากขาดโดมเจ้าพระยา ท่าพระจันทร์ ก็เหมือนขาดสัญลักษณ์พิทักษ์ธรรม”  ด้วยเหตุนี้  จึงต้องตัดคำว่าการเมืองออกจากชื่อมหาวิทยาลัย ในสมัยเผด็จการทหาร หรือแม้แต่  เพลงประจำมหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ทำนองมอญดูดาว)ที่มีเนื้อความว่า   "ไทยจะเฟื่อง ไทยจะรุ่งเรือง ก็เพราะการเมืองดี"  ก็ถูกแทนที่ด้วย เพลงพระราชนิพนธ์ยูงทอง  การกลับมาใช้ชื่อมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากต่อการสร้าง สำนึกร่วมกันของคนในธรรมศาสตร์ สืบทอดผลิตซ้ำอุดมการณ์ของคณะราษฏร์ ของผู้ประศาสน์การ ปรีดี พนมยงค์ให้สังคมรับรู้

เหตุผลของการคัดค้านการเปลี่ยนชื่อมหาวิทยาลัยเป็น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง ของกลุ่มที่เรียกตนเองว่า “ผู้แทนประชาคม มหาวิทยาลัยธรรมศาตร์”  จึงลดทอน และเปลี่ยนความหมายของคำว่า “การเมือง” ซึ่งเดิมเป็นการเมืองที่ยึดโยงอยู่กับประชาชน  ยึดโยงอยู่กับคนเล็กคนน้อยในสังคม  อันเป็นเอกลักษณ์ของมหาวิทยาลัย ให้เหลือเพียงการเมืองในระบบภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้ง และทำให้ความหมายของมหาวิทยาลัยเป็นเพียงสถาบันที่ทำหน้าที่สอน ผลิตงานวิชาการ ที่มีลักษณะแข็งทื่อตายตัว เกาะกุมอยู่กับความหมายองค์กร สถาบัน และภาพลักษณ์ที่ตื้นขืนภายใต้ความขลาดกลัวผลกระทบอันอาจจะเกิดขึ้นจากคำว่า “การเมือง” 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

การเมืองของเมกะโปรเจกต์ยุค “สยามใหม่”

$
0
0

ข้อคัดค้านต่อเรื่องเมกะโปรเจกต์ระบบขนส่ง 2 ล้านล้านบาท และการจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาทของรัฐบาลยิ่งลักษณ์มีหลากหลายประการ นอกจากความไม่ไว้วางใจในเรื่องการทุจริตแล้ว อาจมีสองประเด็นที่เสียงค้านมีความสำคัญ คือ หนึ่ง ผลพวงต่อหนี้สาธารณะในอนาคต สอง การเรียงลำดับความสำคัญของแต่ละโครงการย่อย ทั้งสองประเด็นนี้เอาเข้าจริงก็เป็นเรื่องเดียวกัน คือ หากสามารถเลือกทำเฉพาะโครงการที่มีผลตอบแทนคุ้มการลงทุน ซึ่งก็คือการเลือกเรียงลำดับความสำคัญที่เหมาะสมนั่นเองแล้ว ปัญหาหนี้สาธารณะก็จะไม่เป็นปัญหานัก คำถามหลักคือ ผู้มีอำนาจตัดสินใจจะใช้ผลประโยชน์ของใครในการเรียงลำดับ

ในยุคการเปลี่ยนสยามเก่าสู่ความทันสมัยของรัชกาลที่ 5 นั้น รัฐกรุงเทพฯ ซึ่งก็มีงบประมาณจำกัดไม่ได้แตกต่างจากยุคไหนๆ ก็ต้องเลือกว่าจะลงทุนใน “เมกะโปรเจกต์” ใดบ้างเช่นกัน ในยุคนั้นมีสองทางเลือกใหญ่ คือ หนึ่ง ลงทุนก่อสร้างทางรถไฟและกองทัพ เพื่อ “ความมั่นคง” ของรัฐกรุงเทพฯ สอง ลงทุนสร้างระบบชลประทานเพื่อเพิ่มผลิตภาพการปลูกข้าว ซึ่งเป็นหัวใจของเศรษฐกิจส่งออกในยุคนั้น

หลังจากที่สยามทำสัญญาการค้าเสรีกับตะวันตก (สนธิสัญญาเบาว์ริง) ในปี 2398 แล้ว ราคาข้าวในตลาดโลกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้สยามเพิ่มการปลูกข้าวเพื่อส่งออกอย่างมาก ซึ่งทำให้ราคาผืนนาเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ที่ดินผืนใหม่ๆ จึงถูกหักร้างถางพง รวมทั้งขุดคลองเพื่อเปิดผืนนาใหม่จำนวนมาก ตัวอย่างคือทุ่งรังสิต ซึ่งเดิมเป็นทุ่งรกร้างใช้งานไม่ได้ จึงถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัทขุดคลองแลคูนาสยาม ซึ่งได้รับสัมปทานขุดคลองรังสิตจากรัฐ ทำให้เปิดพื้นที่ใหม่ๆ ได้ประมาณ 800,000-1,500,000 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ 5 จังหวัด พื้นนาที่ถูกบุกเบิกใหม่นี้ขยายตัวเร็วกว่าจำนวนแรงงานที่จะมาทำนามาก จนกระทั่งทำให้อัตราส่วนระหว่างแรงงานต่อที่นาลดลง

การที่ผืนนาใหม่ๆ ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำกว่าที่นาดั้งเดิม ถูกเอามาใช้ปลูกข้าวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และการที่จำนวนแรงงานเพิ่มช้ากว่าที่นานั้น ย่อมทำให้ผลผลิตต่อไร่ลดลง David Feeny ซึ่งเป็นนักประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย คำนวณว่าในภาคกลางนั้น ผลผลิตข้าวต่อเฮกตาร์ลดลง 0.93% ต่อปีในช่วง พ.ศ. 2463/2464–2484 แต่สาเหตุทั้งสองข้างต้น รวมทั้งภัยแล้งและน้ำท่วมอธิบายอัตราการลดลงของผลผลิตข้าวต่อพื้นที่ได้ประมาณครึ่งหนึ่งเท่านั้น ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนั้น Feeny เห็นว่าเป็นความล้มเหลวของรัฐกรุงเทพฯ ที่ไม่ยอมลงทุนในระบบชลประทานที่เหมาะสมและทันท่วงทีเพื่อหยุดยั้งการลดลงของผลผลิตต่อพื้นที่ ดังรายละเอียดต่อไปนี้

คลองรังสิตที่ถูกขุดขึ้นนั้นตื้นเขินอย่างรวดเร็ว เพราะผู้รับสัมปทานไม่ขุดลอกตามสัญญาที่ให้ไว้กับรัฐ รัฐบาล ร.5 จึงให้ที่ปรึกษาฝรั่งชาวดัตช์—เทคโนแครตของสมัยนั้น—ร่างแผนจัดการน้ำขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2445 ซึ่งหนึ่งในข้อเสนอหลักของแผนคือการสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำเจ้าพระยาที่จังหวัดชัยนาท แผนการนี้จะทำให้ส่วนใหญ่ของพื้นที่ภาคกลางมีน้ำชลประทานใช้ ซึ่งจะเพิ่มผลผลิตต่อไร่ได้มาก โดยไม่นับผลประโยชน์สืบเนื่องอื่นๆ เช่น การคมนาคมขนส่ง

อย่างไรก็ตาม แผนการนี้ถูกปฎิเสธโดยรัฐบาล จนกระทั่งเมื่อเกิดภัยแล้งขึ้นในเก้าปีถัดมา รัฐบาลจึงจ้างให้ที่ปรึกษาคนใหม่ร่างแผนอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ที่ปรึกษาเสนอให้สร้างโครงการสุพรรณ ซึ่งจะเป็นการเปิดพื้นที่ใหม่ๆ จำนวนมาก เช่น ในจังหวัดสุพรรณบุรี ก่อนการก่อสร้างโครงการป่าสัก ซึ่งจะเป็นการดึงน้ำจากแม่น้ำป่าสักมาเติมให้กับคลองรังสิต แต่รัฐบาลกลับตัดสินใจสร้างโครงการป่าสักก่อนในปี 2458 กว่าที่โครงการสุพรรณจะได้รับการก่อสร้างก็ล่วงเข้าทศวรรษที่ 2473 แล้ว ส่วนโครงการของที่ปรึกษาคนแรก เช่น เขื่อนชัยนาท ก็ต้องรอจนกระทั่งทศวรรษที่ 2493 และ 2503 จึงจะได้ก่อสร้าง

คำถามคือ รัฐบาลในยุคสยามใหม่เรียงลำดับความสำคัญของโครงการตามเกณฑ์อะไร หากคิดในแง่ของผลประโยชน์และต้นทุนทางเศรษฐกิจ (cost-benefit analysis) แล้ว โครงการของที่ปรึกษาชาวดัตช์มีผลตอบแทนดีกว่าการลงทุนสร้างทางรถไฟ แต่รัชการที่ 5 กลับเลือกสร้างทางรถไฟและลงทุนสร้างกองทัพก่อน ด้วยเหตุว่า ในยุคนั้นรัฐสยามต้องการแข่งขันกับเจ้าอาณานิคมฝรั่งในการแย่งยึดบรรดาประเทศราชในเขตอิทธิพลของรัฐกรุงเทพฯ เช่น เชียงใหม่และเขมร มาอยู่ภายใต้เขตแดนที่แน่นอนของรัฐชาติสมัยใหม่

พูดอีกแบบคือ กรุงเทพฯ ต้องการยึด-เปลี่ยนรัฐล้านนาให้มาเป็นจังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น ภายใต้เงินที่มีจำกัด รัชกาลที่ 5 จึงเลือกที่จะยึดล้านนาก่อนการสร้างเขื่อนชัยนาท เช่นเดียวกัน ทั้งๆ ที่โครงการสุพรรณจะให้ประโยชน์มากกว่าโครงการป่าสัก แต่รัฐในยุครัชกาลที่ 6 เลือกที่จะสร้างโครงการป่าสักก่อน เพราะโครงการป่าสักซึ่งเป็นประโยชน์ต่อย่านรังสิตนั้นทำให้เจ้าที่ดินภายใต้โครงการนี้รวยขึ้น เนื่องจากที่ดินมีราคาแพงขึ้นถึง 84% หลังการก่อสร้าง

ตั้งแต่การขุดคลองรังสิต ที่ดินผืนใหญ่ๆ ย่านนี้ได้กลายเป็นของชนชั้นเจ้าและนายของกรุงเทพฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตระกูลสนิทวงศ์ ซึ่งหาประโยชน์โดยให้ชาวนาเช่าที่ดินเพื่อปลูกข้าว ราชสกุลสายนี้ได้ที่ดินจากการร่วมทุนกับฝรั่งในการลงทุนรับสัมปทานขุดคลองรังสิตและคลองซอยในนาม “บริษัทขุดคลองแลคูนาสยาม” โดยได้ที่ดินสองฝั่งคลองที่ขุดขึ้นเป็นผลตอบแทนการลงทุน ในขณะที่รับสัมปทานจากรัฐ คนในตระกูลนี้ก็ยังรับราชการในกองทัพเรือ กระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตร กระทรวงยุติธรรม รวมทั้งเป็นแพทย์ประจำพระราชวังอีกด้วย ดังนั้นจึงอาจพูดอีกแบบได้ว่า อิทธิพลของตระกูลนี้ต่อการตัดสินใจของรัฐบาลนั้นอาจไม่เป็นสองรองใครในกรุงเทพฯ

แต่ถ้าหากรัฐลงทุนสร้างโครงการสุพรรณ เมื่อสร้างแล้วก็จะมีผลให้เปิดที่ดินใหม่จำนวนมากเพื่อการปลูกข้าว เช่น ที่ดินในจังหวัดสุพรรณบุรี ที่ดินใหม่ๆ เหล่านี้ย่อมเป็นโอกาสทองของชาวนาที่จับจองได้อย่างฟรีๆ สิ่งเหล่านี้ย่อมจะชักจูงให้ชาวนาเช่าในย่านรังสิตย้ายออกจำนวนมาก แน่นอนว่าการนี้จะทำให้เจ้าที่ของรังสิต ซึ่งเป็นชนชั้นเจ้าและนายของกรุงเทพฯ เสียประโยชน์อย่างมาก มันจึงสมเหตุสมผลมากเมื่อมองจากมุมมองของผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจในยุคนั้นที่จะสร้างโครงการป่าสัก แต่เลือกที่จะไม่สร้างโครงการสุพรรณ สรุปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจลงทุนในทางรถไฟหรือโครงการป่าสัก รัฐสยามใหม่ได้เลือกจัดลำดับความสำคัญของโครงการตามผลประโยชน์ของชนชั้นเจ้าและนายของกรุงเทพฯ ก่อนผลประโยชน์รวมของระบบเศรษฐกิจ

ดังนั้น คำถามสำคัญต่อการตัดสินใจสร้างเมกะโปรเจกต์ทั้งหลายไม่ว่าในยุคสยามใหม่ หรือในยุคยิ่งลักษณ์นั้น ก็คือผู้ตัดสินใจจะเลือกเกณฑ์ผลประโยชน์ใดและของใคร ในการเรียงลำดับความสำคัญของโครงการ

 

 

หมายเหตุ: ผู้สนใจอ่านเพิ่มเติมได้ใน Feeny, D. (1979) “Competing Hypothesis of Underdevelopment: A Thai Case Study” Journal of Economic History, Vol. 39, No 1. pp. 113-127

 

 

ที่มา:  thaipublica  

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ปาฐกถา เกษียร เตชะพีระ: โจทย์ใหม่ เหลือง-แดง และการเมืองแบบศีลธรรม

$
0
0

 

26 มิ.ย.56 ที่ห้องสัญญา ธรรมศักดิ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ มีพิธีมอบรางวัลกีรตยาจารย์แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประจำปี 2555 แก่ ศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยรางวัลดังกล่าวมีการมอบเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนแห่งการสถาปนามหาวิทยาลัย และจะมีปาฐกถาจากกีรตยาจารย์ ในปีนี้มีขึ้นในหัวข้อ โจทย์การเมืองไทยที่เปลี่ยนไปสองทศวรรษจากพฤษภาฯ 2535 ถึงปัจจุบัน

เกษียร กล่าวว่าปาฐกถานี้จะนำเสนอว่า ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา โจทย์การเมืองไทยเปลี่ยนไปอย่างไร มีความพยายามหาคำตอบอย่างไรบ้าง หรือไม่หา ไม่เห็นโจทย์นั้นอย่างไรบ้าง โดยแบ่งหัวข้อออกเป็น 4 ข้อหลัก คือ  1.บริบทความคิดการเมืองหลังพฤษภา 35 -45 อะไรคือโจทย์หลัก ความพยายามหาคำตอบเป็นอย่างไร 2) อะไรคือโจทย์ใหญ่ทางการเมืองของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) หรือกลุ่มเสื้อเหลือง 3)อะไรคือโจทย์ใหญ่ทางการเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดงและแนวร่วม 4) ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองและศีลธรรม

เขาอธิบายด้วยว่า การพูดครั้งนี้ไม่ใช่ original research แต่เป็นการนำข้อค้นพบทางวิชาการที่ค่อนข้างใหม่ในช่วง 2-3 ปีนี้จำนวนหนึ่งนำมาสังเคราะห์ โดยชิ้นที่สำคัญ คือ 1. งานศึกษา ความคิดทางสังคมการเมืองของเสกสรรค์ ประเสริฐกุล โดย พัชราภา ตันตราจิน อาจายร์จากม.บูรพา เนื่องจากเห็นว่า ความคิดของเสกสรรค์สะท้อนโจทย์การเมืองในทศวรรษหลัง 2535 ได้ดีที่สุด 2) วิทยานิพนธ์ของ อุเชนทร์ เชียงเสน เรื่อง ประวัติศาสตร์การเมืองภาคประชาชน : ความคิดและปฏิบัติการของนักกิจกรรมทางการเมืองปัจจุบัน โดยเน้นที่ระบบคิด วิธีคิดของกลุ่มคนที่เรียกว่า พธม.  3) งานวิจัยชื่อ ทบทวนภูมิทัศน์การเมืองไทย เป็นการวิจัยที่เกิดขึ้นหลังเห็นความขัดแย้งทางเมืองอย่างดุดเดือนในช่วงหลัง โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เรียกว่า คนเสื้อแดง อาจารย์จากหลายสถาบันได้มารวมกันเป็นทีมวิจัยเพื่อวิเคราะห์ว่า ภูมิทัศน์ของการเมืองไทยเปลี่ยนไปอย่างไร 4) งานนักวิชาการชาวออสเตรเลีย Andrew Walker ในงานชื่อว่า Thailand’s Political Peasants : Power in the Modern Rural Economy

โดยสรุป เกษียรกล่าวถึงโจทย์ในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากพรรคไทยรักไทยเข้ามาเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การเมืองไทย โดยเริ่มนโยบายที่ให้ประโยชน์รูปธรรมกับประชาชนรากหญ้า หลังจากเกิดรัฐประหารและเกิดการเมืองสองขั้วอย่างชัดเจน ฝ่ายเสื้อเหลืองชูปัญหาใหญ่ของทุน แต่คำตอบของกลุ่มนี้ยังคงวนไปที่เผด็จการทหาร พระบารมี ขณะที่เสื้อแดงไม่ให้ความสำคัญของปัญหาทุน ทั้งที่เป็นปัญหาที่สำคัญและเป็นเนื้อเดียวกับการเมืองมากขึ้น กลุ่มวิชาการที่มีอิทธิพลต่อขบวนการเสื้อแดงอย่างนิติราษฎร์เองก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม แนวทางของกลุ่มเสื้อเหลืองก็เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าไม่ใช่คำตอบ นอกจากไม่แก้ไขปัญหาเก่ายังสร้างปัญหาใหม่ เพราะการในสถานการณ์ที่ชนบทเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก (ไม่โง่ ไม่จน ไม่เจ็บ) เราไม่สามารถหดประชาธิปไตยให้เล็กลงได้ มีแต่ต้องขยายออก หากหดหรือลดทอนอำนาจผู้เลือกตั้งก็จะเกิดปัญหาความขัดแย้งรุนแรงทางการเมือง นอกจากนี้เขายังพูดถึงข้อถกเถียงร่วมสมัยเกี่ยวกับการเมืองกับศีลธรรมด้วย โดยให้ความเห็นว่า ทั้งสองสิ่งเป็นไปด้วยกันได้ในเงื่อนไขของสังคมเปิด และการยอมรับความหลากหลายของแนวคิดทางศีลธรรม เพื่อสร้างสังคมการเมืองที่แข็งแรง แต่สังคมการเมืองไทยดูเหมือนไม่อยู่ในสภาพเช่นนั้น
 

สำหรับรายละเอียดของปาฐกถา มีดังนี้

 

2535-2545: ปัญหาอยู่ที่นักเลือกตั้ง คำตอบอยู่ที่ภาคประชาชน

วิกฤตในทางการเมืองและเศรษฐกิจไทยช่วงนั้น คือ วิกฤตรัฐประหาร รสช.-การลุกฮือในปี 2535 กับวิกฤติต้มย้ำกุ้ง

ในแง่ของวิกฤตทางการเมือง ข้อวิเคราะห์ของคนจำนวนมากชี้ไปทางเดียวกันว่า มูลเหตุของปัญหาคือ นักเลือกตั้ง ระบอบเลือกตั้งธิปไตย หรือการเสื่อมรูป กลายรูปของระบอบประชาธิปไตยที่ไปเน้นที่อำนาจของคนที่มาจากการเลือกตั้ง แล้วไปตัดองค์ประกอบอื่นของระบอบเสรีประชาธิปไตยทิ้งไป ทำให้การเมืองมีปัญหา คอรัปชั่น การฉวยใช้อำนาจ คำตอบที่ได้ช่วงนั้นคือ การเมืองภาคประชาชน หรือการเมืองที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีโอกาสตัดสินใจมากขึ้นแทนที่จะพึ่งพาแต่นักการเมือง

ในแง่ของวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง มีการวิจารณ์กันอย่างกว้างขวางถึงบทบาทเจ้าของเงินกู้อย่างไอเอ็มเอฟ และสังคมชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า วิกฤตนี้เกิดขึ้นเพราะไทยเข้าสู่ระเบียบเศรษฐกิจทุนนิยมโลกาภิวัตน์แบบไม่พร้อม ขาดประสบการณ์ คำตอบสำหรับยุคสมัยนั้นก็หันไปพึ่งเศรษฐกิจแบบอื่น ในนามเศรษฐกิจชุมชน เศรษฐกิจพอเพียง

รัฐบาลที่กินได้สมัยทักษิณ และความเสื่อมของรัฐชาติในระบบทุนนิยมโลกาภิวัตน์

ในช่วงท้ายของทศวรรษนี้ รัฐบาลทักษิณได้ทำให้ภูมิทัศน์การเมืองเศรษฐกิจเปลี่ยน ในแง่การเมือง รัฐบาลทักษิณดำเนินนโยบายให้ความสำคัญกับระบบตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ก็ดำเนินนโยบายบางอย่างที่สนองตอบต่อผลประโยชน์รูปธรรมโดยเฉพาะของชนบทอย่างไม่เคยมีมาก่อน คำตอบใหม่ของรัฐบาลทักษิณที่เสนอ คือ รัฐบาลแบบตัวแทนที่กินได้  ในแง่เศรษฐกิจ มุ่งเปิดนโยบายประชานิยมจำนวนมาก นำโอกาสและทุนไปถึงประชาชนรากหญ้า ผลักดันพวกเขาเข้าไปต่อสู้ในตลาดทุนนิยม ซึ่งก็สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน แสดงออกโดยการชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้นของพรรคไทยรักไทย

เมื่อพ้นระยะนั้น มีความขัดแย้งที่นำไปสู่การรัฐประหาร แบ่งเป็นฝักฝ่ายเสื้อเหลือง เสื้อแดง หากนำงานของเสกสรรค์มาวาง  โดยเฉพาะงานวิจัยที่ได้ทุนปรีดี พนมยงค์ ของธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การเมืองภาคประชาชนในระบอบประชาธิปไตยไทย ตีพิมพ์ปี 2548 จะพบว่ามีเรื่องสำคัญในงานของเขาที่คนไม่ค่อยมองหรือให้ความสำคัญนัก คือ การพูดถึงปัญหาหลักของการเมืองเศรษฐกิจไทยว่ามาจากอำนาจทุน ซึ่งมีที่มาจากทุนนิยมโลกาภิวัตน์ ทำให้อำนาจอธิปไตยของรัฐชาติทั้งหลายเสื่อมโทรมลง มีข้อกำหนดนโยบายหลายอย่างที่รัฐชาติไม่สามารถควบคุมได้เหมือนแต่ก่อน ผลดังกล่าวทำให้หลักการสำคัญ 2 อย่างทางการเมืองเสื่อมไปด้วย คือ Political Consensus ความเห็นพ้องต้องกันในหมู่ประชาชนในสังคมอย่างกว้างขวาง และหลัก Political Consent ฉันทานุมัติที่คนทั้งหลายยอมรับรัฐบาลให้ปกครอง

ในสภาพที่สังคมมีความเห็นพ้องต้องกันทางการเมืองน้อยลง ความยอมรับทางการเมืองก็เสื่อม ปรากฏการณ์หน้ากากขาว ไม่ว่าเราจะเห็นด้วยหรือไม่ แต่ก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่เขาแสดงออกมาว่าไม่อยากให้รัฐบาลปกครองอย่างชัดเจน อาการเหล่านี้นำไปสู่ความไร้เสถียรภาพทางการเมืองเรื้อรัง รัฐบาลไม่มั่นคงเสียที เพราะรัฐภายใต้ทุนนิยมโลกาภิวัตน์แบบนี้จะขาดพร่องความชอบธรรมทางการเมือง ขาดพร่องฉันทามติภาคส่วนต่างๆ เดินแนวนี้อาจมีกลุ่มคนเห็นด้วย แต่ก็มีคนเสียประโยชน์ที่คัดค้าน 

อะไรคือโจทย์ใหญ่ของเสื้อเหลือง – เสื้อแดง

ปัญหาอำนาจทุนที่นำไปสู่ความไร้เสถียรภาพทางการเมืองภายใต้ระบบทุนนิยมโลกาภิวัตน์นั้น หากดูข้อเสนอทางหลักการ น้ำเสียงของบรรดาผู้นำ ปัญญาชน ผู้เข้าไปเกี่ยวพันกับพันธมิตรฯ จะเห็นว่าเขาเห็นปัญหาอำนาจทุนชัดเจน แต่ฝั่ง นปช.และเสื้อแดงไม่ให้น้ำหนักกับปัญหาอำนาจทุนเท่าไรนัก ที่ชัดเจนที่สุด คือกลุ่มนิติราษฎร์

ปัญหาอำนาจทุน เหลืองเห็น-แดงไม่เห็น

“ในความเห็นของผม นิติราษฎร์คือกลุ่มปัญญาชนที่ใกล้ชิด และมีอิทธิพลอย่างชัดเจนมากในการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง ก่อนหน้านั้นความเข้าใจของผมคือ กลุ่มเสื้อแดงเหมือนลูกกำพร้า อาจมีแนวร่วมนักธุรกิจ แนวร่วมนักการเมือง มีมวลชนเยอะ แต่ไม่ค่อยมีปัญญาชนที่ไปสนับสนุน ให้ความคิด แนะนำให้คำปรึกษากับขบวนการเสื้อแดงสักเท่าไร การเกิดขึ้นของนิติราษฎร์เข้าไปอุดช่องว่างตรงนี้ เล่นบทบาทเหมือนเสนาธิการทางปัญหาของขบวนการเสื้อแดง มีข้อคิด ข้อวิเคราะห์ เช่น การยกเลิกผลพวงรัฐประหาร การแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 แต่ข้อเสนอประดามีของคณะนิติราษฎร์มันจบแค่มิถุนายน ถึง ธันวาคม 2475 เป็นข้อเสนอที่พัวพันกับปัญหาอำนาจรัฐและเครือข่ายอำมาตย์ ..... แต่ข้อเสนอของนิติราษฎร์ยังไม่ถึงช่วงที่อาจารย์ปรีดี เสนอเค้าโครงเศรษฐกิจด้วยซ้ำ ซึ่งต้องการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปเศรษฐกิจสยามขนานใหญ่ กำเนิดมาจากวิกฤตการตกต่ำของทุนนิยมทั่วโลกอย่างหนักเมื่อปี  ค.ศ.1929 ปัญหานี้ไม่ปรากฏในครรลองความสนใจ การวิเคราะห์ปัญหาของนิติราษฎร์เลย ทำให้มีช่องโหว่ที่น่าสนใจในเรื่องอำนาจทุน ทั้งที่อำนาจทุนเริ่มสำคัญขึ้นเรื่อยๆ และเป็นเนื้อเดียวกับอำนาจรัฐมากขึ้นเรื่อยๆ”

ขณะที่แดงไม่ให้ความสำคัญ แต่ฝ่ายเหลืองเห็นว่าปัญหาของทุนเป็นเรื่องสำคัญ สังเกตดูคำอภิปรายของกลุ่มสยามประชาภิวัตน์ นักวิชาการที่สนับสนุนการเคลื่อนไหวของ พธม. แต่วิธีแก้ปัญหาของกลุ่มนี้ในที่สุดก็วนกลับไปที่อำนาจเผด็จการทหาร หรือไม่ก็เสนอให้มีอำนาจพิเศษ วิธีพิเศษ พึ่งพระบารมี วิธีดังกล่าวชัดเจนมากจากประสบการณ์ที่ผ่านมาว่ามันไม่เวิร์ค นอกจากจะไม่แก้ปัญหาเก่าแล้วยังเพิ่มปัญหาใหม่ด้วย

ชนบทเปลี่ยน ไม่จน ไม่โง่ ไม่รอคอย

ในแง่กลับกันอะไรคือโจทย์ใหญ่ทางการเมืองของฝ่ายเสื้อแดง มีงานวิชาการจำนวนมากพยายามจะตอบ ซึ่งล้วนมองทิศทาง ชูประเด็นปัญหาใหม่ขึ้นมาใกล้เคียงกันว่า โจทย์ใหม่ทางการเมืองนี้ชัดเจนมากหลังรัฐประหาร และเกิดมีขบวนการเสื้อแดงปรากฏขึ้นมา ซึ่งสะท้อนว่า ชนบทกำลังเปลี่ยนอย่างสำคัญ และมุมมองต่อชนบทกำลังเปลี่ยน

ภาพเดิมชนบทคือสังคมการเกษตร ชาวนายากจน อยู่ภายใต้ระบบอุปถัมภ์ ขาดความรู้ ขายเสียง ทางออกจากเรื่องเหล่านี้ก็ยึดการเมืองภาคประชาชนเป็นทางออก เช่น การเคลื่อนไหวแบบสมัชชาคนจน และเศรษฐกิจพอเพียง แต่หลังรัฐประหาร 2549 งานวิชาการหลายชิ้นวาดภาพชนบทใหม่ คือ ไม่ใช่สังคมการเกษตรเป็นส่วนใหญ่อีกต่อไป  มีคนเลิกเป็นเกษตรมากขึ้นเรื่อยๆ , ส่วนใหญ่ของชาวนาเป็นผู้มีรายได้ปานกลาง อาจไม่เท่าชนชั้นกลางในกรุงเทพ แต่ไม่ได้ยากจนไม่พอกิน และมีความหวังว่าจะดีขึ้น แต่ปัญหาหลักคือยังมีผลิตภาพต่ำ ยากที่จะสร้างความมั่งคั่งทางรายได้ได้ การพยุงฐานะของพวกเขากระทำผ่านเงินอุดหนุนจากภาครัฐ ซึ่งมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ  ไม่ว่าจะผ่านการกระจายอำนาจ งบ อปท. เงินช่วยเหลือฉุกเฉินต่างๆ  โครงการกระตุ้น-เสริมราคาพืชผลเกษตร หรือเรียกว่ามี  inverse resource flow จากเมืองย้อนสู่ชนบทผ่านงบประมาณของรัฐ ซึ่งดำเนินการเป็นมาระยะยาวนาน ดังนั้น ปัญหาหลักที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่เรื่องความยากจน แต่เป็นเรื่องความเหลื่อมล้ำระหว่างชนบทกับเมือง หรือชนบทภูมิภาคต่างๆ

ข้อเสนอมุมมองใหม่ก็คือ สังคมชนไม่ใช่ระบบอุปถัมภ์แบบเดิม ชาวนาไม่ได้แผ่หลารอคอย แต่ชาวนาฉลาดในการดึงอำนาจภายนอก ไม่ว่ารัฐ ทุน หรือวาทกรรมชุมชน มาตะล่อมใช้สนองผลประโยชน์ตัวเอง ดูดดึงเอาทรัพยากรเหล่านี้มาเพิ่มผลิตภาพตนเอง แล้วรู้จักใช้เงื่อนไขภายนอกให้เป็นประโยชน์กับตัว ไม่ได้เป็นเบี้ยล่างตลอด

หากจะบอกว่าชาวนาขาดความรู้ การศึกษา ภาพตอนนี้ก็เปลี่ยนไป มีชาวนาพันธุ์ใหม่ หรือ post-peasant บางคนเรียก cosmopolitan ผู้รอบรู้โลก บางคนเรียก extra local president ผู้เป็นสมาชิกหมู่บ้านที่ทำมาหากินในกรุงเทพฯ จังหวัดใหญ่หรือต่างประเทศ

หากจะบอกว่าชาวชนบทซื้อเสียง ภาพนี้ไม่ใช่ไม่จริง งานล่าสุดของประจักษ์ ก้องกีรติ ชี้ว่า เรื่องซื้อสิทธิขายเสียงทำกันทุกพรรค แต่ไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาด สังคมการเมืองชนบทสามารถต่อรอง ตะล่อมอำนาจภายนอก และขัดแย้งตรวจสอบกันเองภายในตามธรรมนูญชนบท (วัฒนธรรมการเมืองท้องถิ่น) เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องการซื้อขายในร้านสะดวกซื้อ แต่มีกระบวนการที่เงินต้องไหลเข้าไปในพื้นที่สังคมการเมืองหนึ่งที่มีกฎเกณฑ์ของมัน แล้วชาวชนบทก็ต่อรองเพื่อเอาอำนาจภายนอกมาเพิ่มผลิตภาพของตัว

“มันแปลว่าเขาไม่มีศีลธรรมทางการเมืองเลยอย่างนั้นหรือ ไม่ใช่ เขาเลือก การซื้อต้องมีมารยาท การซื้อต้องมีวัฒนธรรม เขาเลือกระหว่างคนที่ซื้อแล้วหายหัวไปเลย กับคนที่ซื้อแล้วมาดูแลใส่ใจ ในทางกลับกัน อาจมองว่ามันไม่ใช่พื้นที่ว่างเปล่าที่ให้คุณไปช้อปปิ้งแล้วได้คะแนนเสียงมา เป็นพื้นที่ที่มีวัฒนธรรมการเมืองของตัวเองและสนองตอบ ตอบโต้กับการซื้อสิทธิขายเสียงเหล่านั้นได้”  

แล้วการเมืองภาคประชาชนเป็นทางออกหรือไม่ คำตอบอยู่ที่การเลือกตั้งระดับต่างๆ มากว่าที่เป็นทางหลักในการต่อรองช่วงชิงกดดันเอาทรัพยากรมา ขณะที่การเมืองภาคประชาชนเป็นส่วนน้อยเท่านั้น การม็อบ การชุมนุมต่อรองยังใช่กันอยู่บ้าง

ส่วนเศรษฐกิจหลักที่เขาต้องการก็เป็นเศรษฐกิจการค้า ที่ดึงดูดปัจจัยภายนอกเอามาเพิ่มผลิตภาพเพื่อประคองฐานะคนชั้นกลางของเขาให้อยู่ได้และเติบโตขึ้นได้

“ข้อเสนอเสื้อแดงคือ เพื่อจะต้อนรับความเปลี่ยนแปลงในชนบทเหล่านี้ ต้อนรับคนเป็นแสนเป็นล้านที่หลุดจากการเป็นชาวนาแบบเดิม ทางเดียวที่จะอยู่กับเขาได้ในทางการเมืองคือ ต้องขยายประชาธิปไตย ถ้าจะซื้อสันติสุขทางการเมืองจากชนบทที่เปลี่ยนไปแล้วนี้ ไม่มีทางเลือกอื่น คุณหดปชต.ไม่ได้ มีแต่ต้องขยายตัวขึ้น เมื่อไรที่หดปชต. ยกเลิกการเลือกตั้ง ยกเลิกอำนาจของคนที่เขาเลือก เมื่อนั้นมีความขัดแย้งรุนแรงทางการเมือง”

จุดอับตันของของเสื้อแดง “ความหวังใหม่”

นักคิดปัญญาชนที่เข้าไปศึกษาเรื่องราวเหล่านี้จำนวนมากก็หวังว่าความเปลี่ยนแปลงนี้จะเป็นฐานใหม่ทางประชาธิปไตย แต่โดยส่วนตัวยังเห็นว่ามี 2 ปัญหาหลักที่เป็นจุดอับตัน คือปัญหาทางเศรษฐกิจ และวัฒนธรรมการเมือง

ทางเศรษฐกิจ จะเห็นว่าภาวะที่รัฐอุดหนุนชาวนาที่ผลิตภาพต่ำแต่เป็นประชากรส่วนใหญ่ในชนบทนั้นยั่งยืนได้ยาก เพราะมีขีดจำกัดทางการคลัง โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาเป็นคนชั้นกลางแล้วและไม่ยอมถอยกลับด้วย ปัญหาที่กำลังเกิดจากนโยบายจำนำข้าวสะท้อนสิ่งนี้ นโยบายนี้มีความเสี่ยงทางการคลังสูง แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ หากไม่ทำคนเหล่านี้จะไม่สามารถประคองสถานะคนชั้นกลางได้ จึงต้องทำไปเรื่อยๆ แต่การจะเปลี่ยนให้หลุดพ้นจากภาวะนี้ต้องพลิกเปลี่ยน เปิดโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ให้พวกเขาออกจากภาคการเกษตร ไปทำงานแบบใหม่

“นี่คือฐานคิดที่มาของโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท มันต้องอาศัยการทุ่มทุนขนานใหญ่ไปผลักให้เกิดโอกาสทางเศรษฐกิจ ให้ชาวนาหลุดออกมาจากภาวะผลิตภาพต่ำ พึ่งพาการอุดหนุนจากรัฐ ทั้งหมดนี้ถูกกำหนดจากชนบทที่เปลี่ยนแล้วต้องหาทางไป”

ทางด้านวัฒนธรรมการเมือง จะเห็นว่าไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่การเมืองแบบไม่มีสมอง แต่เขามีค่านิยมธรรมนูญชนบทอยู่ แต่ก็ยังมีลักษณะคับแคบ ยึดผลประโยชน์เป็นตัวตั้ง และเป็นค่านิยมที่แตกต่างกับค่านิยมสังคมเมือง ถ้าไม่ปรับเปลี่ยนค่านิยมเหล่านี้ ค่านิยมเหล่านี้ไม่คลี่คลายขยายตัว ก็ยากที่จะสร้างสังคมการเมืองร่วมกัน  ยกตัวอย่างท่าทีที่ชัดเจนในสังคมการเมืองชนบทในภาคเหนือ เขาไม่คิดว่าเรื่องสิทธิมนุษยชนสำคัญเท่าไร เช่น เรื่องฆ่าตัดตอน เขาแคร์ว่ามันแก้ปัญหาได้บ้างมากกว่า ค่านิยมแบบนี้มีเหตุผลของตัวเอง แต่เข้ากันได้ยากกับแนวคิดแบบที่ยึดหลักสิทธิมนุษยชนสากล

ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองกับศีลธรรม

ในท่ามกลางคำตอบทั้งหลายในช่วงหลังนั้น คำตอบหนึ่งที่มักได้ยินอยู่เสมอคือ การเมืองต้องมีศีลธรรม คำพูดแบบนี้ทั้งออกมาจากข้าราชการ ผู้ใหญ่ในสังคมการเมือง แต่ในเวอร์ชั่นที่เป็นวิชาการที่สุดคือ งานของสมบัติ จันทรวงศ์ ซึ่งทำวิจัยให้ สกว. เรื่อง วิกฤตความแตกแยกของธรรมวิทยาของพลเมือง การศึกษาการประกาศธรรมของประกาสกร่วมสมัย โดยสรุปคือ สมบัติฟังพวกที่วิจารณ์การเมืองประชาธิปไตยเก่าๆ แบบไทยๆ ขณะที่พยายามเสนอประชาธิปไตยแบบใหม่แบบพวกเสื้อแดงแล้วรู้สึกไม่เห็นด้วยเพราะไม่มีเรื่องศีลธรรม  หรืออาจกล่าวได้ว่า เป็นการเอานักวิชาการอย่างสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ธงชัย วิจิจจะกูล เกษียร เตชะพีระ ไปชำแหละว่าพวกไม่คิดถึงศีลธรรมมีปัญหาอย่างไรบ้าง 

นักวิชาการเสื้อแดงแยกศีลธรรมออกจากการเมือง ถูกต้องหรือไม่

ข้อเสนอหลักในบทคัดย่อ คือ “ผู้เขียนใช้กรอบแนคิดเรื่องธรรมวิทยาแห่งพลเมือง ของ Robert Bellah เพื่อศึกษาความคิดซึ่งอยู่เบื้องหลังความขัดแย้งทางการเมืองปัจจุบันระหว่างเสื้อเหลือง เสื้อแดง โดยพบว่า อุดมการณ์ของพวกเสื้อแดงหลักๆ แล้วเป็นผลผลิตทางความคิดของนักประวัติศาสตร์ ซึ่งปฏิเสธค่านิยมแบบจารีตของไทยทั้งที่เป็นค่านิยมทางศีลธรรมและการเมือง ที่ผูกโยงอย่างใกล้ชิดกับพุทธศาสนาและระบบกษัตริย์ เหล่าประกาศกของธรรมวิทยาแห่งพลเมืองใหม่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักประวัติศาสตร์อาชีพชั้นนำของไทย เลือกที่จะทดแทนสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวระบบอบทางประชาธิปไตยที่เน้นความเท่าเทียมกัน ซึ่งก็ต้องอาศัยการดำรงอยู่ของมวลหมาประชาชนผู้ล่วงรู้แจ้งและความแน่นอนว่าจะต้องเกิดขึ้นและความใฝ่ฝันในความเสมอภาค (ทั้งในแง่ของผลประโยชน์และสิ่งอื่นใด) อันถือได้ว่าเป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของการเป็นพลเมืองที่ดี แต่เป็นเรื่องไม่ง่ายนักที่จะเห็นว่าธรรมวิทยาแห่งพลเมืองที่ปราศจากเนื้อหาทางศาสนาหรือจริยธรรมเลย จะสามารถยึดโยประชาชาติใดให้อยู่ด้วยกันได้เป็นเวลาที่นานพอ สังคมในอุดมคติที่ไม่ต้องการสำนึกทางศีลธรรมนี้อาจเกิดขึ้นได้จริง แต่จะเหมาะหรือไม่กับการพัฒนาจิตวิญญาณของมนุษย์เป็นเรื่องที่ยังต้องการคำตอบ”

โดยสรุปคือ ข้อเสนอของปัญญาชนฝั่งเสื้อแดงขาดมิติทางศีลธรรม และค่อนข้างต่อต้าน แยกศีลธรรมออกจากการเมือง ลักษณะนี้จะเป็นสิ่งที่เหมาะหรือไม่ เป็นโจทย์ที่น่าสนใจและน่าขบคิด  อยากเสนอว่า สังคมการเมืองที่ยึดลัทธิศีลธรรมเป็นเจ้าเรือนมีปัญหาของมันอยู่ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ ปาฐกถาของพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่โรงเรียนนายเรืออากาศ ก่อนเกิดรัฐประหารไม่นาน ที่ระบุว่า ชาติบ้านเมืองเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีใครมีสิทธิ์ยึดถือเป็นของตนเองได้ เชื่อว่า พระสยามเทวาธิราชย์ จะปกป้องคนดี สาปแช่งคนทรยศให้พินาศ นับเป็นกามองประเด็นความดี ความชั่วเป็นแก่นกลาง  หรือการที่มีพระเทศนาเกี่ยวกับ “คนชั่วที่แอบอ้างเป็นคนไทย”  นี่เป็นประโยคที่เกิดขึ้นซึ่งสะท้อนทั้ง เรื่องศีลธรรม การเมือง ชาตินิยม วัฒนธรรม และกฎหมายความเป็นพลเมืองและเอกลักษณ์ชาติด้วย

การเมืองกับศีลธรรมไปด้วยกันได้ (ในสังคมเปิด)

โดยส่วนตัว คิดว่าการเมืองกับศีลธรรมควรไปด้วยกัน และไปด้วยกันได้ ในเงื่อนไขบางอย่าง เงื่อนไขที่จำเป็นคือ free market place of moral idea มีตลาดความคิดทางศีลธรรมที่เปิดกว้างให้ถกเถียงกันได้เรื่องศีลธรรมแลหลักที่ควรทำไม่ควรทำทางการเมือง ถ้ามีแบบนี้สังคมการเมืองจะมีสุขภาพดี แต่ถ้าไปเป็นแบบเอาลัทธิศีลธรรมเป็นเจ้าเรือน เอาเรื่องนี้ไปคลุมการเมืองทั้งหมดโดยเอาตัวเองเป็นที่ตั้งจะเป็นปัญหา เพราะไม่ว่าจะชอบหรือชัง โลกสมัยใหม่มีความหลากหลายทางศีลธรรมและศาสนาอย่างไม่อาจหดลดได้ ไม่สามารถยึดเอาศีลธรรมแบบเดียว ศาสนาหนึ่งใดเป็นหลักแล้วบังคับทั้งหมดได้ เราจึงต้องเริ่มต้นจากความเป็นจริงที่ยอมรับความหลากหลาย อย่างไรก็ตาม ในสังคมไทยมีขีดจำกัดจำนวนมากที่ทำให้การถกเถียงในสังคมไทยก็ไม่มีเสรีภาพเพียงพอ ยกตัวอย่าง รายการ Devas cafe ของคำ ผกา ที่วิจารณ์ศาสนาแล้วถูกกดดันหนักให้ต้องสารภาพปากพร้อมยุติรายการ 1 เดือน  เมื่อไม่มีพื้นที่เปิด จึงยากมากที่จะเอาศีลธรรมมาผูกการเมืองแล้วจะไม่เป็นการกดขี่หรือกีดกันคนอื่น อีกประการคือ การที่ชนชั้นนำทางการเมืองมักแสดงจริตว่าตนเป็นคนมีศีลธรรม แต่ข้างหลังเละ ยิ่งบ่อนทำลายเรื่องนี้ แล้วยังทำให้เกิด ผู้ใหญ่ ซึ่งมีฐานะพิเศษที่จะบอกให้รู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี โดยไม่มีการตรวจสอบ

“ในทางปรัชญา ผมเชื่อว่ามีความขัดแย้งขั้นมูลฐานอยู่ระหว่าง หลักเป้าหมายที่ดีที่ถูกต้อง ย่อมให้ความชอบธรรมกับวิธีการใด ๆ ก็ได้ หรือ The end justifies the means. ในทางการเมือง กับ หลักเอกภาพทางศีลธรรมของเป้าหมายกับวิธีการ หรือ the moral unity of means and end หลักสองอันนี้มีความขัดแย้งแตกต่างกันลึกๆ และการพยายามจะผูกการเมืองเข้ากับศีลธรรมมันอิหลักอิเหลื่อมากเพราะหลักการสองอันนี้”  

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กมธ. วุฒิสภา เผยผลการศึกษาโครงการจัดการน้ำ ขัด กม. 2 ฉบับ

$
0
0

คณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา เผยผลการศึกษาโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5แสนล้าน ชี้ขัดกฎหมาย 2 ฉบับ ชงผู้ตรวจการแผ่นดิน ยับยั้งความไม่โปร่งใสทั้งระบบ


(27 มิ.ย.56)เว็บไซต์ข่าวเดลินิวส์ รายงานว่า นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา เปิดเผยถึงผลการพิจารณาศึกษาเกี่ยวกับโครงการระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ปัญหาอุทกภัยของประเทศตามนโยบายของรัฐบาล ตามการออก พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อวางระบบการบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 วงเงิน 3.5 แสนล้านว่า กมธ. ได้ฝากประเด็นต่อสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน พิจารณาเกี่ยวกับการยื่นเรื่องฟ้องร้องต่อศาลปกครอง เพื่อให้รัฐบาลมีการยกเลิกการทำสัญญากับบริษัทที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้ามาดำเนินโครงการบริหารจัดการน้ำตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 244(1) ประกอบมาตรา 245 (2) ให้อำนาจ เนื่องจากพบว่าไม่ได้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย อย่างน้อย 2 ฉบับ

นายไพบูลย์ กล่าวว่า โดยกฎหมาย 2 ฉบับ ได้แก่ 1. พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2554 ในมาตรา103/7 ที่ระบุให้หน่วยงานรัฐดำเนินการจัดทำข้อมูล รายละเอียดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้าง โดยเฉพาะราคากลางไว้ในระบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับโครงการที่มีมูลค่าตั้งแต่ 500,000 บาท ขึ้นไป เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าตรวจสอบได้

2. พ.ร.บ.พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2521 มาตรา 13 ที่ระบุให้กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเป็นกระทรวง ทบวง หรือกรม และรัฐวิสาหกิจเสนอ โครงการพัฒนาหรือแผนงานต่อคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อพิจารณาให้ความเห็นประกอบการพิจารณากำหนดงบประมาณ รายจ่ายในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณประจำปีงบประมาณ หรือร่าง พ.ร.บ.เพิ่มเติมงบประมาณประจำปีงบประมาณ

“ในประเด็นที่ศาลปกครองกลางพิจารณาให้รัฐบาลระงับการดำเนินโครงการ ตาม พ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท เป็นเพียงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 ว่าด้วยการรับฟังความเห็นของประชาชนเท่านั้น แต่กรณีที่ กมธ.เสนอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณา จะเป็นการยับยั้งความไม่โปร่งใสทั้งระบบ”นายไพบูลย์ กล่าว
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ททบ.5 แจง บก.ระงับข่าว "เค วอเตอร์"เพราะเนื้อหาไม่ชัด-หวั่นโดนฟ้อง

$
0
0

ผู้บริหาร ททบ.5 ชี้แจงบรรณาธิการสั่งระงับการนำเสนอข่าว "เค วอเตอร์"เอง เพราะหวั่นโดนฟ้อง ยืนยันไม่มีการแทรกแซงหรือสั่งการ ขณะที่สมาคมสื่อวิทยุ-โทรทัศน์ฯ ทำจดหมายถึงช่อง 5 ขอให้ชี้แจงสิ่งที่เกิดขึ้น

ตามที่เมื่อวานนี้ (26 มิ.ย.) รายการฮาร์ดคอร์ข่าว ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก (ททบ.5) ในประเด็นบริษัทโคเรีย วอเตอร์ รีซอสเซส คอร์ปอเรชั่น (K-water) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ชนะประมูลโครงการบริหารจัดการน้ำของประเทศไทย 2 โครงการ โดยก่อนเข้าสู่ข่าวดังกล่าว ผู้ประกาศข่าวได้แนะนำก่อนเข้าสู่รายงานพิเศษว่า "มีการเปิดเผยข้อมูลว่าบริษัทเค วอเตอร์นั้นมีหนี้สินอยู่ถึง 700% และไม่เคยรับหน้าที่ในการบริหารจัดการกับโครงการขนาดใหญ่ ก็เลยกังวลผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น"อย่างไรก็ตามเมื่อเข้าสู่รายงานพิเศษได้ประมาณ 30 วินาที ก็ถูกตัดเป็นโฆษณาทีโอทีแทน และไม่มีการออกอากาศรายงานข่าวดังกล่าวอีกนั้น (ชมวิดีคลิป)

ล่าสุด สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ได้ทำจดหมายถึง พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก เรื่อง ขอทราบข้อมูลเพิ่มเติมกรณีรายการฮาร์ดคอร์ข่าว เกี่ยวกับการเสนอข่าวบริษัท โคเรีย วอเตอร์ รีซอสเซส คอร์ปอเรชั่น (K- water) จำกัด (อ่านจดหมายเปิดผนึก)

โดยตอนหนึ่งของจดหมายระบุว่ากรณีที่เกิดขึ้นดังกล่าว "ได้สร้างความกังขาต่อสาธารณชนเป็นอย่างมาก"โดยในจดหมายระบุว่าทั้ง 2 องค์กรสื่อ "ใคร่ขอสอบถามถึงสาเหตุ รายละเอียด อันนำไปสู่เหตุการณ์ในครั้งนี้ ทั้งนี้เพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพในการนำเสนอข่าวของผู้ประกอบวิชาชีพฯ รวมทั้งปกป้องสิทธิเสรีภาพในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนด้วย"

ส่วนการชี้แจงของผู้บริหาร ททบ.5 นั้น เดลินิวส์ ได้เผยแพร่คำชี้แจง พล.อ.ฉัตรชัย  สาริกัลยะ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ซึ่งกล่าวว่าเรื่องที่เกิดขึ้นบรรณาธิการข่าวเป็นผู้ดูแล เมื่อข่าวที่นำเสนอเกิดความผิดพลาด โดยเฉพาะเนื้อหาที่ยังไม่ชัดเจนสถานีนี้จะไม่ออกอากาศ ดังนั้นจึงต้องระงับการเผยแพร่ทันที เพราะหากททบ. 5 นำเสนอไม่ตรงกับข้อเท็จจริงอาจถูกฟ้องร้องได้ ถือเป็นการป้องกันไว้ก่อน โดยทางบรรณาธิการได้ตัดสินใจระงับการออกอากาศ  ซึ่งตนทราบเรื่องเมื่อเวลา 20.00 น. วันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยผู้รับผิดชอบได้รายงานให้รับทราบและอธิบายถึงสาเหตุว่า สกู๊ปดังกล่าวยังไม่ชัดเจนเกรงว่าจะถูกฟ้องร้องได้ ยืนยันว่า การตัดสินใจการระงับการออกอากาศไม่มีใครสั่งการ เป็นการตัดสินใจของบรรณาธิการ

“ผมยืนยัน 100 เปอร์เซ็นต์ว่า ไม่มีใครเข้ามาแทรกแซงหรือสั่งการใดๆทั้งสิ้น ผมได้เรียกบรรณาธิการที่รับผิดชอบรายการดังกล่าวมาสอบสวนข้อเท็จจริง ซึ่งทางบรรณาธิการยอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เพราะตัดสินใจด่วนที่นำสกู๊ปดังกล่าวมาเผยแพร่ทั้งที่ควรตรวจสอบมากกว่านี้ก่อน ผมได้กำชับว่า เรื่องที่เกิดขึ้นให้ถือเป็นบทเรียน ต้องไม่เกิดความผิดพลาดอีก การเสนอข่าว ททบ.5 ต้องมีความรอบคอบ เป็นไปตามนโยบายให้ถูกต้องชัดเจนและเชื่อถือได้ อย่าทำงานรีบร้อนต้องตรวจสอบให้ละเอียด ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ได้สั่งกำชับภายหลังทราบข่าวว่า การทำงานด้านข่าวต้องเชื่อถือได้ ไม่ใช่ทำแบบนี้ แต่ถือว่ายังโชคดีที่ระงับการออกอากาศทัน”

สำหรับรายการ "ฮาร์ดคอร์ข่าว"เป็นรายการข่าวที่ ททบ.5 ร่วมผลิตกับ บริษัท โพสต์พับลิชชิ่ง จำกัด หรือเครือบางกอกโพสต์ ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก (ททบ.5) ออกอากาศระหว่างเวลา 18.00 - 18.25 น. 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โรงสีสุรินทร์ข้าวอยู่ครบ เร่งชี้แจงโครงการรับจำนำข้าวจี้เฝ้าระวังการสวมสิทธิ‏

$
0
0

สุรินทร์จัดชุดปฏิบัติการและคณะทำงานออกตรวจสอบคลังสินค้าและโรงสีที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ทั้ง 17 อำเภอ พบปริมาณและสภาพข้าวจำนำยังอยู่ปกติ ทางด้านผู้ว่าฯ ย้ำให้เฝ้าตรวจสอบการสวมสิทธิ

 
 
สุรินทร์-วันนี้ (27 มิ.ย.56 ) เวลา 08.00 น.ที่ลานหน้าสถานีตำรวจภูธรจังหวัดสุรินทร์ คณะทำงานเฉพาะกิจตรวจสอบคลังสินค้าและโรงสีข้าวที่เข้าร่วมโครงการรับจำข้าว ปีการผลิต 2555/56 พร้อมชุดปฏิบัติการของตำรวจภูธรจังหวัดสุรินทร์ ได้ร่วมออกตรวจโกดังและโรงสีในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล
 
คณะทำงานดังกล่าว มี นายนิรันดร์ กัลยาณมิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์เป็นประธานการปล่อยขบวน เพื่อออกปฏิบัติการตรวจสอบคลังโกดังข้าวและโรงสีภายในจังหวัด จำนวน 72 แห่ง โดยแบ่งสายออกปฏิบัติการเป็น 3 สาย ประกอบด้วย สายแรก ในพื้นที่ 4 อำเภอ จำนวน 37 แห่ง มีพาณิชย์จังหวัดเป็นหัวหน้าชุด สายที่ 2 ในพื้นที่ 6 อำเภอ จำนวน 20 แห่ง มีการค้าภายในเป็นหัวหน้าชุด และสายที่ 3 ในพื้นที่ 3 อำเภอ จำนวน 15 แห่ง มีเกษตรจังหวัดเป็นหัวหน้าชุด
 
 
จากนั้น นายนิรันดร์ กัลยาณมิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ พร้อมด้วยนายพิภพ ดำทองสุข รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ พร้อมคณะกรรมการฯระดับจังหวัด เดินทางไปยัง บจก.สินอุดมพืชไร่ เลขที่ 220 หมู่ 16 ต.นาบัว อ.เมืองสุรินทร์ โดยมี อคส.เป็นผู้เช่า พบว่าสภาพการเก็บข้าวและจำนวนข้าวตามหลักฐานมีความถูกต้อง มีเพียงสภาพหลังคาที่มีรอยรั่วแต่ก็สั่งการให้ซ่อมแซมแล้ว เพราะเกรงว่าข้าวถูกน้ำจากฝนจะทำให้ข้าวเสียหาย
 
นายนิรันดร์ กัลยาณมิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ กล่าวว่า ตามที่มีข่าวมาก่อนหน้านี้ ทั้งที่ บจก.สินอุดมพืชไร่ และที่ ท่าตูม ทางเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปตรวจสอบแล้วก็ถือว่าเรียบร้อยดี ซึ่งเมื่อประมาณกลางเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมาก็ได้ไปตรวจมาครั้งหนึ่งแล้ว ก็รายงานไปว่าเรียบร้อยดี การออกตรวจอีกรอบในครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นการสร้างความมั่นใจ
 
 
การนำคณะเจ้าหน้าที่ออกตรวจทั้งจังหวัดในวันนี้ เพื่อให้เกิดโปร่งใสและให้ได้ข้อมูลปริมาณข้าวของรัฐบาลที่ถูกต้องและครบถ้วน เป็นไปตามการสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ให้ทุกจังหวัดเร่งตรวจสอบคลังสินค้าข้าวและปริมาณข้าวเปลือกคงเหลือของโครงการรับจำนำข้าว พร้อมทั้งจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการ ณ ศาลากลางจังหวัดสุรินทร์ และได้เร่งให้การประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจการดำเนินโครงการจำนำข้าวของรัฐบาล โดยเฉพาะการปรับลดราคาจำนำข้าวเพื่อให้เกษตรกร และประชาชนทั่วไปได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง และได้กำชับให้คณะทำงานโครงการรับจำนำข้าวเฝ้าระวังและตรวจสอบการสวมสิทธิจำนำข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านด้วย
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เกษียร เตชะพีระ: โจทย์การเมืองไทย จากพฤษภา35 ถึงปัจจุบัน

$
0
0

ชื่อบทความเดิม: “โจทย์การเมืองไทยที่เปลี่ยนไปในสองทศวรรษจากพฤษภาฯ 2535 ถึงปัจจุบัน”<1>

 

ในโอกาสเหตุการณ์ความขัดแย้งรุนแรงครั้งใหญ่ทางการเมืองเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2535 ล่วงมาสองทศวรรษ ประจวบกับกระแสความขัดแย้งรุนแรงครั้งใหญ่ทางการเมืองปะทุระเบิดขึ้นอีกระลอกในรอบห้าหกปีที่ผ่านมา ผมคิดว่าเป็นจังหวะอันเหมาะสมที่จะมาทบทวนว่าโจทย์ใหญ่ของการเมืองไทยในช่วงดังกล่าวได้คลี่คลายเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแนวคิดความเห็นของฝ่ายต่างๆ ที่เป็นคู่ขัดแย้งหลักในสังคมการเมืองไทย เพื่อเป็นแนวทางในการขบคิดใคร่ครวญหาทางออกต่อไป

ผมใคร่แบ่งการปาฐกถาวันนี้เป็นหัวข้อย่อยดังนี้:

1) บริบทความคิดการเมืองหลังพฤษภาคม พ.ศ.2535

2) โจทย์ใหญ่ทางการเมืองของฝ่ายเสื้อเหลืองและพันธมิตร

3) โจทย์ใหญ่ทางการเมืองของฝ่ายเสื้อแดงและแนวร่วม

4) ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองกับศีลธรรม

 

1) บริบทความคิดการเมืองหลังพฤษภาคม พ.ศ. 2535

 

 

ในช่วงทศวรรษก่อนเกิดระบอบทักษิณราวปี พ.ศ. 2546<2>วิกฤตและปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจแห่งยุคของไทยได้แก่:

1) วิกฤตรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) พ.ศ. 2534 และการลุกฮือพฤษภาประชาธรรม พ.ศ. 2535 อันเป็นอาการแสดงออกซึ่งปัญหาความบกพร่องไม่พอเพียงของนักการเมืองจากการเลือกตั้งและระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทนหรือที่เรียกว่าปัญหา “นักเลือกตั้ง/ระบอบเลือกตั้งธิปไตย” ชาวบ้านรากหญ้าและประชาสังคมเมืองรู้สึกว่าปัญหาเดือดร้อนเร่งด่วนสำคัญที่สุดของตนแทบไม่เคยถูกหยิบยกขึ้นถกอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรเลย สภาฯกลายเป็นเวทีตีฝีปากประคารมยกมือประท้วงวางท่านักเลงก้าวร้าวถกเถียงหมกมุ่นเรื่องข้อบังคับการประชุมที่แสนน่าเบื่อและไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขา ส่วนรัฐบาลก็เสมือนคณะกรรมการจัดการดูแลผลประโยชน์อันทุจริตฉ้อฉลเฉพาะของมุ้งกลุ่มก๊วนมากกว่าจะรับใช้รับผิดชอบผลประโยชน์ส่วนรวมของชาติ

วิกฤตการเมืองนี้ถูกวิเคราะห์ว่าเกิดจากปัญหานักเลือกตั้ง/ระบอบเลือกตั้งธิปไตย <3>

2) วิกฤตค่าเงินบาทและเศรษฐกิจตกต่ำหรือที่เรียกว่าวิกฤต “ต้มยำกุ้ง” พ.ศ. 2540 อันเป็นอาการบ่งชี้ปัญหาผลกระทบของทุนนิยมโลกาภิวัตน์ต่อประเทศไทยว่าการเปิดเสรีต่อเงินทุนชีพจรลงเท้า, กระแสบริโภคนิยมและการเอนเอียงทุ่มเทผลิตเพื่ออุตสาหกรรมส่งออกสุดตัวด้วยแรงงานและทรัพยากรราคาถูกนั้นเสี่ยงสูง ผันผวน และอันตรายร้ายแรงถึงขั้นล่มจม ไม่แน่ว่าจะนำมาซึ่งความร่ำรวยรุ่งเรืองดังที่ฝันหวานง่าย ๆ ถ่ายเดียวเสมอไป

วิกฤตเศรษฐกิจนี้ถูกวิเคราะห์ว่าเกิดจากทุนนิยมโลกาภิวัตน์ <4>

คำตอบแห่งยุคสมัยที่สังคมไทยเสนอต่อปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจดังกล่าวตอนนั้นได้แก่:

การเมืองภาคประชาชนหรือประชาธิปไตยแบบมีส่วนรวม/ทางตรง เพื่อแก้ไขบำบัดจุดอ่อนข้อบกพร่องของระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน<5>

เศรษฐกิจพอเพียง/ชุมชน เพื่อบรรเทาป้องกันความผันผวน, เสี่ยงสูง, สิ้นเปลือง, สุดโต่งเกินเลยของทุนนิยมโลกาภิวัตน์<6>

อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่าภายหลังรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมีพรรคไทยรักไทยเป็นแกนนำขึ้นสู่อำนาจในปีพ.ศ. 2544 ระบอบทักษิณได้ข้ามพ้นชุดคำตอบข้างต้นโดยเสนอคำตอบชุดใหม่ผ่านแนวนโยบายและมาตรการปฏิบัติของรัฐบาล ได้แก่: -

-ฝ่ายบริหารมีอำนาจเข้มแข็งครอบงำเหนือรัฐสภา

-ผลักดันผ่านนโยบายและงบประมาณประชานิยมต่าง ๆ ส่งผลให้.....

1) ประชาธิปไตยแบบตัวแทนสามารถดำเนินนโยบายสนองตอบผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมแก่ประชาชนผู้เลือกตั้งโดยตรง เช่น การเข้าถึงแหล่งเงินทุน-เงินกู้ของภาครัฐและภาคเอกชน, การพักชำระหนี้, บริการการแพทย์ย่อมเยาถ้วนหน้า, โครงการเอื้ออาทรต่าง ๆ ฯลฯ

2) เปิดช่องทางโอกาสและฐานทุน-เงินกู้ให้ชาวบ้านที่ถูกผลักไสหรือดึงดูดเข้าสู่กระแสคลื่นเศรษฐกิจตลาดเสรีอันผันผวนเสี่ยงสูง, ผ่านการหันไปประกอบอาชีพปลูกพืชเศรษฐกิจ/รับจ้างชั่วคราว/ประกอบธุรกิจรายย่อยต่าง ๆ, แล้วมักตกอยู่ในอาการปริ่มน้ำ จวนจะล่มจมมิจมแหล่ ไม่รู้แน่ว่าจะว่ายถึงฝั่งหรือไม่ – ได้อาศัยมันเป็นห่วงชูชีพประคองตัวลอยคออยู่รอดและพอมีหวังที่จะสู้แล้วรวยได้ในเศรษฐกิจทุนนิยมโลกาภิวัตน์ต่อไป<7>

ขณะที่ความถูกต้องยั่งยืนแห่งแนวนโยบายข้างต้นของระบอบทักษิณยังคงเป็นที่โต้แย้งถกเถียงกันได้ไม่ยุติ แต่ก็ประจักษ์ชัดว่ามันจับใจยึดกุมจินตนาการของมวลชนผู้เลือกตั้งที่เป็นคนชั้นกลางระดับล่างจำนวนมากทั้งในเมืองและชนบท จนพวกเขาพร้อมแปรความเรียกร้องต้องการของตนเป็นพลังการเมืองเพื่อปกป้องแนวนโยบายดังกล่าวและรัฐบาลทักษิณทั้งด้วยคะแนนเสียงเลือกตั้งและการเคลื่อนไหวชุมนุม<8>

 

2) โจทย์ใหญ่ทางการเมืองของฝ่ายเสื้อเหลืองและพันธมิตร



หากถือเอาความคิดทางสังคมการเมืองของอาจารย์ ดร. เสกสรรค์ ประเสริฐกุลในระยะหลังเหตุการณ์พฤษภาประชาธิปไตย 2535 เป็นต้นมา ดังที่ปรากฏในงานวิจัยสำคัญเรื่อง การเมืองภาคประชาชนในระบอบประชาธิปไตยไทย (2548) ของท่านเองและหนังสือ ความคิดทางสังคมการเมืองของเสกสรรค์ ประเสริฐกุล (2556) ของอาจารย์พัชราภา ตันตราจิน<9>ว่าเป็นตัวแทนสะท้อนโจทย์และการแสวงหาคำตอบทางเศรษฐกิจการเมืองแห่งช่วงทศวรรษแรกหลังเหตุการณ์พฤษภา 2535 อย่างรวมศูนย์แล้ว<10>เราก็อาจใช้แนวคิดของอาจารย์เสกสรรค์เป็นเส้นด้ายนำทางเพื่อสังเกตและทำ

ความเข้าใจบริบทกระแสความคิดการเมืองในช่วงทศวรรษหลังถึงปัจจุบัน โดยเปรียบเทียบแนวคิดดังกล่าวกับแนวคิดของคู่ขัดแย้งหลักในสังคมการเมือง (เพื่อความสะดวก ขออนุญาตใช้สัญลักษณ์สีแทน) ได้แก่ “แดง” (คือแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติหรือนปช.และผู้สนับสนุน) กับ“เหลือง” (คือพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือพธม.และผู้สนับสนุน)



1) ประเด็นหลักเรื่องอำนาจทุนในความคิดของอาจารย์เสกสรรค์ยังปรากฏต่อมา

เสกสรรค์เสนอว่าเศรษฐกิจทุนนิยมโลกาภิวัตน์ทำให้อำนาจอธิปไตยของรัฐชาติเสื่อมโทรมลง ⇒ แนวคิดชาตินิยมเสื่อมโทรมลง ⇒ ส่งผลสืบเนื่องให้ฉันทมติและฉันทาคติทางการเมืองพลอยเสื่อมถอยไปด้วย (political consensus & consent หมายถึงความเห็นพ้องต้องกันและการยอมรับอำนาจปกครองในทางการเมือง) ทั้งหลายเหล่านี้ย่อมก่อความไร้เสถียรภาพทางการเมืองเรื้อรังเพราะรัฐขาดพร่องความชอบธรรม, ไม่มีความเห็นพ้องต้องกันและการยอมรับอำนาจปกครองของสังคมภาคส่วนต่าง ๆ นอกคูหาเลือกตั้งคอยประคองรองรับอำนาจของรัฐไว้

2) น่าสนใจว่าประเด็นอำนาจทุนนี้ “เหลือง” มองเห็น แต่ “แดง” กลับมองข้าม

สะท้อนออกในแนวคิดของคณะนิติราษฎร์ที่นับได้ว่าเป็นคลังสมองหรือเสนาธิการทางแนวคิดการเมืองของนปช.และผู้สนับสนุน<11>กล่าวคือปัญหาทางการเมืองที่นิติราษฎร์มองเห็นและนำเสนอจะยุติแค่มิถุนายน - ธันวาคม พ.ศ. 2475 (กล่าวคือจำกัดเฉพาะปัญหาอำนาจรัฐและเครือข่าย“อำมาตย์” หรือชนชั้นนำเก่าที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง อันสืบเนื่องมาจากการอภิวัฒน์รัฐธรรมนูญและประชาธิปไตย 2475 ที่ยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์) นิติราษฎร์ยังไม่เริ่มขึ้นเดือนมกราคม -มีนาคม พ.ศ.2475 ด้วยซ้ำไป (กล่าวคือไม่ได้เริ่มตั้งคำถามกับระบบเศรษฐกิจทุนนิยมตลาดเสรี ดังที่อาจารย์ปรีดีวิเคราะห์วิจารณ์และนำเสนอทางออกไว้ในเค้าโครงเศรษฐกิจหรือที่เรียกว่าสมุดปกเหลือง ซึ่งมีที่มาจากวิกฤตเศรษฐกิจทุนนิยมตกต่ำใหญ่ทั่วโลกเมื่อปี ค.ศ. 1929 และต่อมา)<12>ทั้ง ๆ ที่ในปัจจุบัน อำนาจทุนโลกสำคัญขึ้นเรื่อย ๆ และผูกมัดกลายเป็นเนื้อเดียวกับอำนาจรัฐในสังคมไทย (ขอให้ดูตอนน้ำท่วมใหญ่ปลายปี พ.ศ. 2554 และบทบาทอิทธิพลกดดันต่อรองข่มขู่โน้มนำกำกับของรัฐบาลและทุนอุตสาหกรรมข้ามชาติญี่ปุ่นเป็นตัวอย่าง)<13>

3) ขณะที่ “เหลือง”มองเห็นปัญหาอำนาจทุน ทว่าวิธีแก้ที่นำเสนอคือเผด็จการ

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและองค์กรพันธมิตรอาทิกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ ยืนกรานว่าปัญหา “เผด็จการโดยพรรคการเมืองทุนนิยมผูกขาด” ไม่อาจแก้ได้ด้วยประชาธิปไตยจากการเลือกตั้ง หากต้องแก้ด้วยการรัฐประหารหรือวิธีพิเศษอื่นนอกระบบเพื่อมอบอำนาจแก่คนดีผู้จงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์และมีความเป็นไทยมากกว่า ให้ถ่วงทานตรวจสอบอำนาจทุนไว้<14>  อย่างไรก็ตาม แนวทางดังกล่าวเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าใช้การไม่ได้ ไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมไทยและโลก รังแต่สร้างความขัดแย้งใหม่ซ้ำซ้อนเพิ่มเติมลุกลามออกไป

 

3) โจทย์ใหญ่ทางการเมืองของฝ่ายเสื้อแดงและแนวร่วม

ในทางกลับกัน ประเด็นหลักสำคัญประการหนึ่งในกระแสความคิดการเมืองปัจจุบันที่ไม่ปรากฏเด่นชัดในความคิดสังคมการเมืองช่วงหลังเหตุการณ์พฤษภาประชาธิปไตย พ.ศ. 2535 ของอาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ก็คือความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่หลากหลายด้านในชนบท จนนำไปสู่การเคลื่อนไหวมวลชนคนเสื้อแดงที่สนับสนุนรัฐบาลทักษิณและพวกพ้อง, ต่อต้านรัฐประหารและเครือข่าย “อำมาตย์” ในขอบเขตกว้างขวางหลายพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะทางภาคเหนือและอีสาน นี่เป็นความรู้ที่ก่อตัวมานานแต่ค่อนข้างใหม่ในวงวิชาการกระแสหลัก จึงเป็นธรรมดาที่ยังไม่ค่อยเป็นที่ตระหนักรับรู้ในวงวิชาการทั่วไปก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549 โดยคณะปฏิรูป

การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) อันเป็นระยะที่งานความคิดสังคมการเมืองสำคัญ ๆ ในช่วงหลังของอาจารย์เสกสรรค์ถูกผลิตออกมา

ความเปลี่ยนแปลงซับซ้อนหลายมิติในชนบทนี้มีหัวใจอยู่ที่กระบวนการเลิกทำเกษตรกรรม (deagrarianization) แล้วหันไปสู่กิจกรรมหลักและรายได้หลักในภาคส่วนเศรษฐกิจอื่น<15>เรื่องนี้เป็นกระบวนการต่อเนื่องยาวนานที่ค่อย ๆ ก่อตัวคลี่คลายนับแต่ราว พ.ศ. 2529 - 2530 เป็นต้นมาร่วม 26 ปี กลุ่มนักวิชาการแรก ๆ ที่สังเกตเห็น ชี้ชวนให้สนใจและวิเคราะห์วิจัยจึงได้แก่นักเศรษฐศาสตร์, นักมานุษยวิทยา, นักรัฐศาสตร์ที่สนใจการเมืองท้องถิ่น, เอ็นจีโอ, ปัญญาชนสาธารณะที่เกาะติดชนบทเป็นสำคัญ เช่น อัมมาร สยามวาลา, สมชัย จิตสุชน, บัณฑร อ่อนดำ, นิธิ เอียวศรีวงศ์, อรรถจักร สัตยานุรักษ์ เป็นต้น<16>
 

 

อย่างไรก็ตาม ความสนใจเรื่องนี้ในหมู่นักวิชาการส่วนน้อยถูกปลุกกระตุ้นจากการปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วแข็งขันเหนียวแน่นใหญ่โตกว้างขวางของการเคลื่อนไหวมวลชนคนเสื้อแดงหลังรัฐประหาร 2549 จนกลายเป็นกระแสการศึกษาวิจัยวิเคราะห์ตีความความเปลี่ยนแปลงหลากหลายด้านในชนบทไทยขนานใหญ่ แผ่กว้างขยายวงออกไปในปัจจุบัน ที่โดดเด่นสำคัญเช่นทีมวิจัยเรื่อง “ทบทวนภูมิทัศน์การเมืองไทย” ของคณาจารย์หลายสาขาหลากมหาวิทยาลัย อาทิ อภิชาต สถิตนิรามัย, ยุกติ มุกดาวิจิตร, ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี, จักรกริช สังขมณี, อนุสรณ์ อุณโณ, เวียงรัฐ เนติโพธิ์, ประภาส ปิ่นตบแต่ง, นิติ ภวัครพันธุ์และคนอื่น ๆ,<17> หนังสือ Thailand’s Political Peasants: Power in the Modern Rural Economy (2012) ของ Andrew Walker, งานเขียนบทความและปาฐกถาของ Charles F. Keyes, <18> Naruemon Thabchumpon กับ Duncan McCargo <19> , สมชัย ภัทรธนานันท์ <20>เป็นต้น ประเด็นสำคัญในเรื่องนี้ (ดูตารางเปรียบเทียบประกอบ) มีดังนี้คือ: -


1) ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสังคมในชนบทรอบ 26 ปีที่ผ่านมา

-สังคมไทยกลายเป็นสังคมที่คนส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลาง ประเทศไทยกลายเป็นประเทศเศรษฐกิจรายได้ปานกลาง <21>

-เกิดกระบวนการเลิกทำเกษตรกรรม/เลิกเป็นชาวนา Deagrarianization/Depeasantization ขยายตัวออกไปเรื่อย ๆ <22>

-มี inverse resource flows หรือทรัพยากรไหลย้อนกลับตาลปัตรจากเมืองสู่ชนบท (เทียบกับช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจสังคมฯระยะแรกซึ่งทรัพยากรไหลจากชนบทสู่เมืองเป็นหลัก) ผ่านมาตรการโอบอุ้มของรัฐและการกระจายการคลังสู่ท้องถิ่น <23>

-ชาวนารายได้ปานกลางที่รายได้ส่วนมากมาจากนอกภาคเกษตรกลายเป็นคนส่วนใหญ่ <24>

-คนชนบทกลายเป็น cosmopolitans & extralocal residents มากขึ้น <25>

2) สังคมการเมืองชนบทของชาวนารายได้ปานกลางผลิตภาพต่ำที่ประคองไว้ด้วยเงินอุดหนุนจากรัฐ

-ปัญหาหลักของชนบทไม่ใช่ยากไร้ไม่พอกิน (food sufficiency) อีกต่อไป แต่กลายเป็นความเหลื่อมล้ำทางชนชั้น, ภูมิภาค, ภาคส่วนเศรษฐกิจ (inequalities)

-ปัญหาผลิตภาพต่ำเรื้อรังแก้ไม่หายในส่วนภาคเกษตรและการผลักดันไปสู่เศรษฐกิจนอกภาคเกษตร เช่น ธุรกิจ SMEs เปลี่ยนสินทรัพย์เป็นทุน เปลี่ยนตาสีตาสาเป็นเถ้าแก่ ฯลฯ ได้ผลจำกัด

-รัฐกระเตงอุ้มประชากรชนบทที่เป็นชาวนารายได้ปานกลางผลิตภาพต่ำไว้มหาศาล แต่ผลักไม่พ้น ไม่หลุดจากอก <26> (นี่คือที่มาสุดท้ายของนโยบายจำนำข้าวและค่าแรงวันละ 300 บาททั่วประเทศรวมทั้งเมกะโปรเจคต์ลอจิสติกส์ 4 ล้านล้านบาท)

3) สังคมการเมืองชนบทและธรรมนูญชนบท

-ชาวบ้านชนบทไม่ได้สัมพันธ์กับรัฐแบบพึ่งพาการอุปถัมภ์แนวดิ่งอย่างหยุดนิ่งและเป็นฝ่ายถูกกระทำข้างเดียว, อีกทั้งก็ไม่ใช่สัมพันธ์กับรัฐแบบต่อต้านคัดค้านรัฐที่เข้ามาขูดรีดทรัพยากรและแรงงานด้วยการรวมตัวแนวราบในนามชนชั้นชาวนาหรือชุมชนชาวบ้านเป็นส่วนใหญ่อีกต่อไป

-หากแต่ชาวบ้านชนบทดึงอำนาจรัฐและอำนาจภายนอกอื่น ๆ เข้ามาในสังคมการเมืองชนบทเพื่อกล่อมเกลาเอาใจ ต่อรองกดดัน แล้วหลอกล่อฉวยใช้ ในอันที่จะดูดดึงและขัดแย้งแย่งชิงกันซึ่งทรัพยากร งบประมาณ ทุน เทคโนโลยี ฯลฯ เอามาเพิ่มผลิตภาพเศรษฐกิจและอำนาจของตน เหมือนขุนแผนชุบเลี้ยงผีกุมารทองเอาไว้ใช้งาน (ชาวบ้านสัมพันธ์กับผี, รัฐ, ทุน, ชุมชน ในโหมดเดียวกัน)

-ธรรมนูญค่านิยมชาวบ้านที่กำกับความสัมพันธ์ทางการเมืองนี้แตกต่างจากรัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมไทย/ฉบับสากลตะวันตกของคนเมือง <27>

ทั้ง 3 ประเด็นนี้ นักวิชาการและปัญญาชนที่พยายามเข้าใจและเห็นอกเห็นใจการเคลื่อนไหวของมวลชนคนเสื้อแดงมองเห็น แต่นักวิชาการสนับสนุนพันธมิตรฯกลับมองข้าม เช่น นักวิชาการกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ติดอยู่กับปัญหาคอร์รัปชั่น เผด็จการทุนผูกขาด ผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ในชนบทโง่จนเจ็บ ขาดความรู้ ถูกซื้อเสียง ฯลฯ <28>ทั้งที่ชนบทเปลี่ยนไปมหาศาลทุกด้าน รวมทั้งในความสัมพันธ์กับรัฐและเมือง ทว่าในทางกลับกัน นักวิชาการและปัญญาชนเสื้อแดงออกจะมองข้ามจุดอับตันของสังคมการเมืองชนบท 2 อย่าง กล่าวคือ:

1) ในทางเศรษฐกิจ ภาวะดังที่เป็นอยู่จะยั่งยืนยาวนานได้ยาก มีขีดจำกัด รัฐจะกระเตงอุ้มเลี้ยงไข้เลี้ยงต้อยชาวนารายได้ปานกลางผลิตภาพต่ำอันเป็นประชากรส่วนใหญ่ในชนบทไปได้นานแค่ไหน? <29>

2) ค่านิยมธรรมนูญชนบทของสังคมการเมืองชนบทที่มีลักษณะคับแคบ เฉพาะส่วน parochial และแตกต่างตรงข้ามกับประชาสังคมอย่างที่เป็นอยู่ หากแม้นไม่ปรับเปลี่ยนคลี่คลายขยายตัวก็ยากจะพาไปสู่สังคมการเมืองร่วมกันในระดับชาติอันเป็นที่รับได้ของหลักการเมืองสมัยใหม่ที่เป็นสากล เช่น ท่าทีไม่ใส่ใจไยดีเรื่องสิทธิมนุษยชนในกรณีฆ่าตัดตอนยาเสพติด เป็นต้น<30>

 

4) ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองกับศีลธรรม

ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองรอบหลายปีที่ผ่านมา ประเด็นหนึ่งที่มักถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวหาโจมตีและถกเถียงวิวาทะกันเสมอคือความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองกับศีลธรรม ในลักษณะที่ว่าฝ่ายตรงข้ามประพฤติปฏิบัติการเมืองอย่างทุจริตเลวร้าย ขาดพร่องหรือปราศจากศีลธรรมกำกับ ทำให้การเมืองเสื่อมทรามและเกิดวิกฤต ทางออกได้แก่การช่วยกันให้คนดีเข้ามามีอำนาจ เพื่อป้องกันไม่ให้คนไม่ดีเข้ามาก่อความเดือดร้อนวุ่นวายแก่บ้านเมือง <31>

กล่าวในทางวิชาการ ชุดโครงการวิจัยเรื่อง “วิกฤตความแตกแยกของธรรมวิทยาแห่งพลเมือง: การศึกษาการประกาศธรรมของประกาศกร่วมสมัย” ที่มีศาสตราจารย์ ดร. สมบัติ จันทรวงศ์ เป็นหัวหน้าโครงการและได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ได้เข้าจับปมปริศนาความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองกับศีลธรรมร่วมสมัยนี้โดยตรงผ่านแนวคิด “ธรรมวิทยาแห่งพลเมือง” หรือ Civic Religion ดังสะท้อนออกในบทคัดย่อของคำบรรยายพิเศษโดยศาสตราจารย์สมบัติในการประชุมวิชาการรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์แห่งชาติ ครั้งที่ 11 (พ.ศ. 2553) ข้างล่างและต่อมาได้เขียนเป็นบทความสมบูรณ์ <32>


 
“ผู้เขียนใช้กรอบแนวคิดเรื่องธรรมวิทยาแห่งพลเมือง (civic หรือ civil religion) ของ Robert
Bellah เพื่อศึกษาความคิดซึ่งอยู่เบื้องหลังความขัดแย้งทางการเมืองปัจจุบันระหว่างเสื้อเหลือง-เสื้อแดง โดยพบว่าอุดมการณ์ของพวกเสื้อแดงหลัก ๆ แล้วเป็นผลผลิตทางความคิดของนักประวัติศาสตร์ ซึ่งปฏิเสธค่านิยมแบบจารีตของไทยทั้งที่เป็นค่านิยมทางศีลธรรมและการเมืองที่ผูกโยงอย่างใกล้ชิดกับพุทธศาสนาและระบบกษัตริย์ เหล่าประกาศกของธรรมวิทยาแห่งพลเมืองใหม่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักประวัติศาสตร์อาชีพชั้นนำของไทย เลือกที่จะทดแทนสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวระบอบประชาธิปไตยที่เน้นความเท่าเทียมกัน ซึ่งก็ต้องอาศัยการดำรงอยู่ของมวลมหาประชาชนผู้ล่วงรู้แจ้งและความแน่นอนว่าจะต้องเกิดขึ้นของกระบวนการทางประวัติศาสตร์อีกทีหนึ่งก่อน ในขณะที่ความตื่นตัวทางการเมืองและความใฝ่ฝันในความเสมอภาค (ทั้งในแง่ของผลประโยชน์และสิ่งอื่นใด) อาจถือได้ว่าเป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของการเป็นพลเมืองที่ดี แต่เป็นเรื่องไม่ง่ายนักที่จะเห็นว่าธรรมวิทยาแห่งพลเมืองที่ปราศจากเนื้อหาทางศาสนาหรือจริยธรรมเลยจะสามารถยึดโยงประชาชาติใดให้อยู่ด้วยกันได้เป็นเวลาที่นานพอ สังคมในอุดมคติที่ไม่ต้องการสำนึกทางศีลธรรมนี้อาจเกิดขึ้นได้จริง แต่จะเหมาะหรือไม่กับการพัฒนาจิตวิญญาณของมนุษย์เป็นเรื่องที่ยังต้องการคำตอบ<33>

ผมอยากใคร่ถือโอกาสนี้อภิปรายปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองกับศีลธรรมในบริบทสถานการณ์ขัดแย้งทางการเมืองเสื้อสีร่วมสมัยสักเล็กน้อย เพื่อเป็นการสานต่อบทสนทนาทางวิชาการและสังคมการเมืองในเรื่องดังกล่าว

ไม่นานมานี้ ขณะทานข้าวไปพลาง ฟังสถานีวิทยุ “ชุมชน” ใกล้บ้านที่เปิดเพลงสลับกับขายยาและสอนธรรมะไปพลาง ผมก็ได้ยินเสียงอุบาสิกาอ่านหลักพุทธธรรมคำสอนของหลวงพ่อวัดแห่งหนึ่งแถบชานเมืองกรุงเทพฯยาวหลายนาที คำสอนนั้นผูกร้อยเชื่อมโยงความคิดชาตินิยม ความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และหลักธรรมคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าด้วยกันเป็นเรื่องเดียวเนื้อเดียวอย่างไร้รอยต่อ ในลักษณะที่ว่า “ชาติ”, “ในหลวง” และ “พุทธธรรม” ถูกเปล่งออกมาต่อกันรวดเดียวในชั่วอึดใจอย่างคล้องจองสอดรับเป็นธรรมชาติในทำนอง “ธรรมราชาชาตินิยม”

อันที่จริงนี่ก็ไม่ใช่อะไรแปลกใหม่พิสดารนัก เป็นที่คาดหมายเข้าใจได้และเราท่านก็มักได้ยินได้ฟังกันอยู่เป็นปกติ แต่ที่สะดุดหูผมจนแทบสะอึกต้องวางช้อนส้อมนิ่งคิดไปพักหนึ่งคือวลีที่ว่า:

“...คนชั่วที่แอบอ้างเป็นคนไทย...”

ในวลีสั้นกระทัดรัดนี้ ได้ผูกโยงหลอมรวม ศีลธรรม, ชาตินิยม, การเมืองวัฒนธรรม, กฎหมาย,ความเป็นพลเมือง, เอกลักษณ์ชาติ เข้าด้วยกันอย่างแยกไม่ออกทีเดียว คำปราศรัยของท่านประธานองคมนตรีในวาระโอกาสต่าง ๆ ระยะหลายปีที่ผ่านมานี้ก็โน้มนำไปทำนองเดียวกัน คือผูกโยงการเมืองเข้ากับศีลธรรม, ชาตินิยมและเอกลักษณ์ชาติ เหล่านี้ทำให้ยากจะแยกแยะเสียงเรียกร้องแห่งความเป็นไทยดังที่ยกมาข้างต้นออกจากข้อเสนอที่วางอยู่บนกรอบคิดและหลักเหตุผลทางปรัชญาว่า “ไม่อาจแยกการเมืองออกจากศีลธรรมได้ หากแยกออกจากกัน การเมืองนั่นแหละจะเสื่อมทรามลง” ซึ่งโครงการวิจัย “ธรรมวิทยาแห่งพลเมืองฯ” ที่ศาสตราจารย์สมบัติ จันทรวงศ์ เป็นหัวหน้าได้นำเสนออย่างจริงจังและลึกซึ้งเป็นระบบ

ผมอยากเสนอข้อคิดตอบสนองและข้อกังวลอย่างรวบรัดไว้ในที่นี้เป็นเบื้องต้นว่า:

-ถ้าข้อเสนอคือให้ประสาน Politics + Morality (การเมือง + ศีลธรรม) ในความหมาย A free marketplace of moral ideas (ตลาดความคิดศีลธรรมที่เลือกได้อย่างเสรี) แล้ว ผมก็เห็นด้วย

-แต่ถ้าข้อเสนอนั้นเป็น Politics + Moralism (การเมือง + ลัทธิยึดศีลธรรมเป็นเจ้าเรือน) ในความหมาย Self-centered, coercive moralism (ลัทธิศีลธรรมที่บังคับเอาด้วยอัตตาธิปไตย) แล้ว ผมเกรงว่ามันจะเป็นที่รับกันได้ในสังคมเสรีประชาธิปไตยหรือ? และจะใช้การได้จริงหรือ? <34>

และจะอย่างไรก็ตาม ข้อเสนอที่จะผูกโยงการเมืองกับศีลธรรมควรคำนึงถึงข้อสังวรในบริบทโลกสมัยใหม่และสังคมการเมืองไทยดังที่เป็นจริงปัจจุบันดังต่อไปนี้:

1) ทุกวันนี้เราอยู่ในโลกที่มีความแตกต่างหลากหลาย (พหุนิยม) ของคุณค่าพื้นฐานเชิงศีลธรรมและศรัทธาศาสนาอย่างที่ไม่อาจลดลัดตัดทอนหรือย่นย่อเหมารวมเป็นหนึ่งเดียวได้อีกแล้ว<35>การบังคับกดดันให้ยึดหลักศีลธรรมเดียวหรือศรัทธาศาสนาเดียวเป็นที่ตั้งเจ้าเรือนรังแต่จะก่อความขัดแย้งไม่รู้จบสิ้นดังเราเห็นกันอยู่ในเขตจังหวัดชายแดนภาคใต้ของเรา, ประเทศเพื่อนบ้านและที่ต่างๆ ในโลก

2) ขณะเดียวกัน เอาเข้าจริงในทางปฏิบัติ สังคมวัฒนธรรมไทยไม่มีตลาดความคิดศีลธรรมที่เลือกได้อย่างเสรี หรือสนามประชันข้อเสนอทางศีลธรรมที่ราบเรียบเสมอหน้ากันอยู่จริง หากเทเอียงกระเท่เร่ไปทางหนึ่งตามฐานคติของรัฐและ/หรือประชากรส่วนใหญ่ <36>

3) ฉะนั้นแทนที่เราจะได้เห็น [การเมือง+ศีลธรรม] สมดังความมุ่งมาดปรารถนาของศาสนิกชน เรากลับมักเห็นผู้กุมอำนาจฐานะในสังคมการเมืองแสดงจริตศีลธรรม (moral pretensions)ออกมา ไม่มากไปกว่านั้น

4) นั่นแปลว่าข้อเรียกร้องที่ชอบด้วยเหตุผลให้มี “การเมืองที่กำกับด้วยศีลธรรม” บ่อยครั้งเมื่อเอาไปวางในโลกปฏิบัติที่เป็นจริงของสังคมการเมืองไทย รังแต่จะนำไปสู่ “ผู้อวดอ้างสวมสิทธิอำนาจวินิจฉัยตัดสินศีลธรรมทางการเมืองเอาเองโดยพลการและปราศจากการตรวจสอบควบคุม”

5) ในทางปรัชญา ผมเชื่อว่ามีความขัดแย้งขั้นมูลฐานอยู่ระหว่าง [หลักเป้าหมายที่ดีที่ถูกต้องย่อมให้ความชอบธรรมกับวิธีการใด ๆ ก็ได้ หรือ The end justifies the means. ในทางการเมือง] กับ [หลักเอกภาพทางศีลธรรมของเป้าหมายกับวิธีการ หรือ the moral unity of means and end] อุปมาเหมือนคนอุ้มห่อระเบิดออกวิ่งบนลู่อำนาจ ถึงจุดหนึ่งถ้าระเบิดที่อุ้มแนบอกไม่แตกตูมจนตัวเองตายคาที่ (หมดสิ้นอำนาจไป), ห่อที่ว่าก็อาจเน่าเสียคาอกได้ (ศีลธรรมเสื่อม)<37>

การประคองสองอย่างนี้ให้ไปด้วยกันตลอดรอดฝั่งนับเป็นภาวะลำบากอิหลักอิเหลื่อ (dilemmas) ของความพยายามจะผูกพันการเมืองเข้ากับศีลธรรมทั้งหลายทั้งปวง

 

=================================

เชิงอรรถ

1. บทความประกอบการแสดงปาฐกถากีรตยาจารย์แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาขาสังคมศาสตร์ ประจำปี2555, 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556

2. ดูกำเนิดของคำว่า “ระบอบทักษิณ” ใน เกษียร เตชะพีระ, “ระบอบทักษิณ: บันทึกเรื่องราวของคำสร้างคำหนึ่ง (ตอนต้น)”, ทางแพร่งและพงหนาม: ทางผ่านสู่ประชาธิปไตยไทย (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน, 2551), หน้า 91 – 95.

3.เกษียร เตชะพีระ, “ลัทธิเลือกตั้ง”, บุญเลิศ วิเศษปรีชา, บก. ราษฎร์ดำเนิน (กรุงเทพฯ: สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประ เทศไทย, 2537). และ เกษียร เตชะพีระ, “ชำแหละระบอบเลือกตั้งธิปไตย: บทเรียนทางการเมืองจากวิกฤตเศรษฐกิจ ไทย”, กาญจนี ละอองศรีและธเนศ อาภรณ์สุวรรณ, บก., กระจกหลายด้านฉายประวัติศาสตร์: รวมบทความเนื่องใน วาระครบรอบ 60 ปีชาญวิทย์ เกษตรศิริ (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน, 2544), หน้า 29 - 59.

4.เกษียร เตชะพีระ, แต่ง, ประจักษ์ ก้องกีรติ, แปล, “จุดอับทางเศรษฐกิจกับการฟื้นตัวทางการเมืองหลังวิกฤตในประเทศไทย: การเฟื่องฟูใหม่ของชาตินิยมทางเศรษฐกิจ,” จุลสารไทยคดีศึกษา, 19: 1 (สิงหาคม-ตุลาคม2545), 3-29.

5.งานวิชาการที่เป็นตัวแทนสะท้อนข้อเสนอทางออกดังกล่าวอย่างรวมศูนย์เป็นระบบที่สุดได้แก่ผลงานวิจัยที่ได้รับทุนปรีดี พนมยงค์ของธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นรายแรก คือ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล, การเมืองภาคประชาชนในระบอบประชาธิปไตยไทย (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์อมรินทร์, 2548).

6.ดูภาคผนวกที่ประมวลสรุปข้อเสนอทำนองนี้ได้ในภาคผนวก “การแสวงหาทางเลือกออกจากโลกาภิวัตน์แบบเสรีนิยมใหม่: สาระสำคัญของข้อเสนอกู้ชาติทางเศรษฐกิจบางประการ” ท้ายบทความ เกษียร, “จุดอับทางเศรษฐกิจฯ”, น. 16 - 19.

7.เกษียร เตชะพีระ, จากระบอบทักษิณสู่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549: วิกฤตประชาธิปไตยไทย (กรุงเทพฯ: มูลนิธิ 14 ตุลา, 2550).

8. Pasuk Phongpaichit and Chris Baker, “Thaksin’s Populism”, Journal of Contemporary Asia, 38: 1(February 2008), 62 – 83. และ เกษียร เตชะพีระ, “ภาคสอง: ระบอบทักษิณ”, ใน บุชกับทักษิณ: ระบอบอำนาจนิยมขวาใหม่ไทย-อเมริกัน (กรุงเทพฯ: โครงการจัดพิมพ์คบไฟ, 2547), โดยเฉพาะหน้า 144 - 64.

9. พัชราภา ตันตราจิน, ความคิดทางสังคมการเมืองของเสกสรรค์ ประเสริฐกุล (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น, 2556), โดยเฉพาะหน้า 113 - 25, 146 - 58, 194 - 249, 285 - 91.

อนึ่งหนังสือเล่มนี้ปรับปรุงจากวิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปี พ.ศ.2551 ของผู้เขียนซึ่งเป็นอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา

10. ดูการประเมินบทบาททางความคิดและการเคลื่อนไหวของเสกสรรค์ ประเสริฐกุลและกลุ่ม ป X ป ช่วงดังกล่าวได้ใน อุเชนทร์ เชียงแสน, “ประวัติศาสตร์ “การเมืองภาคประชาชน”: ความคิดและปฏิบัติการของ “นักกิจกรรมทางการเมือง” ในปัจจุบัน” (วิทยานิพนธ์รัฐศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาการปกครอง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,2556), บทที่ 1 หัวข้อ “ทบทวนวรรณกรรม” และบทที่ 4 หัวข้อ “รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนและการเมืองภาคประชาชนในยุครัฐบาลชวน หลีกภัย”.

11. เกษียร เตชะพีระ, “ข้อสังเกตเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน: The Spectral Material Force”, มติชนรายวัน, 5ต.ค. 2555, น. 6.

12. ปรีดี พนมยงค์, “หมวดที่ 3 เค้าโครงการเศรษฐกิจและบันทึกบางประการที่เกี่ยวข้องกัน”, ปรีดี พนมยงค์กับสังคมไทย: รวมข้อเขียนของปรีดี พนมยงค์ (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และโครงการ “ปรีดี พนมยงค์กับสังคมไทย, 2526), หน้า 167 – 330. และ เกษียร เตชะพีระ, “ไตรลักษณ์ทางความคิดของปรีดี พนมยงค์”, เนชั่นสุดสัปดาห์, 9: 424 (17 – 23 ก.ค. 2543), 32 – 33.

13. อาทิ “การพบปะเจรจากันระหว่างนายกรัฐมนตรีโนดะและนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์”, สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย, เข้าใช้ 1 มิ.ย. 2556, http://www.th.emb-japan.go.jp/th/policy/PM_111125.htm ; “ญี่ปุ่นให้ไทยทำตามแผนแก้ไขแก้น้ำท่วม "กิตติรัตน์"เผย2สัปดาห์มีความชัดเจน”, ประชาชาติธุรกิจออนไลน์, สร้าง 29 พ.ย.2554, http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1322567626&grpid=03&catid=00 ; “นักลงทุนญี่ปุ่นรายเล็กแหยงน้ำท่วมขู่แผนจัดการไม่ชัดทิ้งไทยแน่-จี้ผุดโมเดลใหม่”, ข่าวสด, 9 ธันวาคม 2554,http://www.thaichamber.org/scripts/detail.asp?nNEWSID=4738. เป็นต้น

ดร.วีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ที่รัฐบาลแต่งตั้งขึ้นเพื่อรับมือแก้ไขผลกระทบทางเศรษฐกิจจากวิกฤตมหาอุทกภัยเมื่อปลายปี พ.ศ. 2554 จึงได้ให้สัมภาษณ์หลังรับตำแหน่งดังกล่าว โดยสะท้อนความจริงเรื่องนี้ว่า:

“ช่วงนี้ผมจะไปหารือกับญี่ปุ่น เพราะเป็นกลุ่มประเทศที่มีนักลงทุนรายใหญ่อยู่ในไทย ทั้งการผลิตและส่งออก

หากเขาต้องการเห็นอะไรก็จะช่วยทุกเรื่อง หรือบริษัทประกันภัยในญี่ปุ่นซึ่งรับประกันอุตสาหกรรมในไทย ถ้าจะรับประกันภัยร่วมกัน ต้องการเห็นหรืออยากได้อะไรก็บอกมา”

“ผมขอท่านทูตญี่ปุ่นจัดให้ไปพบและฟังข้อเสนอจากนักลงทุนญี่ปุ่นที่อยู่ในไทยและในญี่ปุ่น เพื่อถามเขาว่าช่วง 1 ปีข้างหน้า เมื่อการฟื้นฟูประเทศกลับมาสู่ภาวะปกติได้ บริษัทต่าง ๆ จะต้องรับแรงงาน 8 แสนคนกลับมาทำงานอย่างเดิมได้ จะให้ผมทำอะไรบ้าง จะไปหาไจก้าหรือรัฐบาลญี่ปุ่น ถามเขาว่าจะช่วยด้านเทคนิคหรือการเงินทางไหนได้บ้าง เรื่องเงินทองเท่าไรก็ต้องลง เพราะเราไม่ได้มีปัญหาด้านความมั่นคงทางการเงินการคลังเหมือนสมัยก่อนแล้ว”

“ผมเชื่อว่าถ้าเราทำสุดความสามารถอย่างนี้ เขาคงจะเห็นความตั้งใจกอบกู้สถานการณ์อย่างแท้จริง ให้ความเชื่อมั่นว่าเขาสามารถอยู่ประเทศไทยได้ต่อไป ไม่ต้องย้ายไปที่อื่น”

(“เปิดใจ...วีรพงษ์ รามางกูร ขอ 1 ปี ปรับโฉมประเทศฟื้นเชื่อมั่น-เศรษฐกิจ”, ประชาชาติธุรกิจออนไลน์,สร้าง 12 พ.ย. 2554,www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1321070016&grpid=no&catid=04)

อนึ่ง ดร. สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้กล่าวตอนหนึ่งในงานเสวนาสาธารณะเรื่อง “คิดใหม่ประชานิยม: จากรัฐบาลทักษิณถึงยิ่งลักษณ์ เราเรียนรู้อะไรบ้าง” ณ ห้องประชุมที่ทำการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ศกนี้ว่าท่านได้ทราบจากแวดวงผู้วางนโยบายรัฐบาลว่าอันที่จริงนโยบายคืนภาษีรถยนต์คันแรกของรัฐบาลยิ่งลักษณ์นั้นมีขึ้นเพื่อสนองตอบช่วยเหลือกระตุ้นยอดขายรถยนต์ของอุตสาหกรรมรถยนต์ต่างชาติโดยเฉพาะญี่ปุ่นในประเทศไทยที่โรงงานของพวกเขาประสบความเสียหายอย่างหนักจากอุทกภัยใหญ่เมื่อปลายปี พ.ศ. 2554

14. “คำต่อคำ: เปิดใจแกนนำพันธมิตรฯ ลั่นพร้อมรบ “สนธิ”ย้ำชุมนุมต้องแตกหัก จี้ทหารร่วมมือปชช.ปฏิวัติ”, ผู้จัดการออนไลน์, สร้าง 20 ม.ค. 2555, www.manager.co.th/politics/viewnews.aspx?NewsID=9550000009019 ; ““ดร.อมร”ชำแหละเผด็จการนายทุนพรรคใช้ช่องโหว่ รธน.ยึดอำนาจรัฐเพื่อคอร์รัปชัน”, ASTVผู้จัดการออนไลน์, สร้าง 6 ก.พ.2555, http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9550000016707;

““สยามประชาภิวัฒน์”เตือนถ้าไม่หยุดทุนผูกขาดแก้ รธน. จะเหลือทางแก้เดียวคือรัฐประหาร”, ประชาไทออนไลน์, สร้าง 7 ก.พ. 2555,http://prachatai.com/journal/2012/02/39140 ; “พธม.ถกสยามประชาภิวัฒน์ เห็นพ้องป้องสถาบัน ปฏิรูปโครงสร้างเพิ่มความรู้ ปชช.”, ASTVผู้จัดการออนไลน์, สร้าง 19 เม.ย. 2555,http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9550000048897 .

15. Andrew Walker, Thailand’s Political Peasants: Power in the Modern Rural Economy (Madison,Wisconsin: The University of Wisconsin Press, 2012), Section “The Nonagricultural Economy” pp. 74 – 80; และอภิชาต สถิตนิรามัย, “นโยบายอุดหนุนภาคชนบท: เมื่อภาคชนบทไม่ใช่ภาคเกษตรกรรม”, สร้าง 15 ม.ค. 2013,http://thaipublica.org/2013/01/subsidy-policy-for-rural/ .

16. มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด, “มายาคติว่าด้วยการเกษตรและประเทศไทย”, มติชนรายวัน, 29 ก.ค. 2552, น. 6; และ รองศาสตราจารย์ ดร. อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์, “โครงการวิจัย: ความเปลี่ยนแปลงและกระบวนการสร้างประชาธิปไตยใน “ชนบท”” (ฉบับร่าง 2555).

17. อภิชาต สถิตนิรามัยได้สรุปรวบยอดผลการค้นพบร่วมกันของทีมวิจัยไว้อย่างกระชับชัดเจนใน อภิชาต สถิตนิรามัย, “สองนคราประชาธิปไตยฉบับลัทธิแก้”, มติชนรายวัน, 6 พ.ค. 2556, น. 7; นอกจากนี้โปรดดู อารีรัตน์ ปานจับ, “เก็บตกจากงานสัมมนา”,วารสารสังคมวิทยามานุษยวิทยา, 30: 2 (ก.ค. - ธ.ค. 2554), 179 - 89. (http://socanth.tu.ac.th/wp-content/uploads/2012/09/JSA-30-2-seminar-report.pdf ) ซึ่งบันทึกการอภิปรายถกเถียงในงานสัมมนา “ภูมิทัศน์และการเมืองของการพัฒนาชนบทไทยร่วมสมัย” ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อ 8 ก.ค.2554

18. Pun-arj Chairatana, “A Romance of the Rural Middle Class: An Interview with Professor Charles F.Keyes”, Trendnovation Southeast Issue 13: The Rural Challenge, accessed 1 June 2013,http://trendsoutheast.org/2011/dl/newsletter/issue13-w.pdf.

19. Naruemon Thabchumpon and Duncan McCargo, “Urbanized Villagers in the 2010 Thai RedshirtProtests: Not Just Poor Farmers?” Asian Survey, 51: 6 (November/December 2011), 993–1018.

20. สมชัย ภัทรธนานันท์, แต่ง, อัญชลี มณีโรจน์, แปล, “การเมืองของสังคมหลังชาวนา: เงื่อนไขการก่อตัวของคนเสื้อแดงในภาคอีสาน”, ฟ้าเดียวกัน, 10: 2 (ก.ค.-ธ.ค. 2555), 122 - 42.

21. เป็นข้อสรุปสอดคล้องต้องกันของงานวิชาการที่เอ่ยถึงในย่อหน้าก่อนนี้ทั้งหมด สำหรับตัวอย่างการแถลงเรื่องนี้อย่างกระชัดชัดเจน ดู Walker, Thailand’s Political Peasants, pp. 8 - 9; และอภิชาต, “สองนคราประชาธิปไตยฉบับลัทธิแก้”.

22. ขณะงานส่วนใหญ่พูดถึงกระบวนการทั้งสองควบคู่กันไป Andrew Walker กลับจำแนก 2 กระบวนการนี้จากกันและยืนกรานว่ามี deagrarianization แต่ไม่เกิด proletarianization หรือ depeasantization กล่าวคือยังมีชาวนาอยู่ในบางความหมาย ดู Walker, Thailand’s Political Peasants, pp.9 – 10, 34 – 36, 74 – 75, 120 – 21.

23. Walker, Thailand’s Political Peasants, section “From Taxation to Subsidy” pp. 49 – 56; อภิชาต, “สองนคราประชาธิปไตยฉบับลัทธิแก้”.

24. Walker, Thailand’s Political Peasants, section “The Rise of the Middle-Income Peasantry” pp. 36 – 44;อารีรัตน์, “เก็บตกจากงานสัมมนา”, น. 180 – 81.

25. คำแรกเป็นของ Charles F. Keyes จาก Pun-arj, “A Romance of the Rural Middle Class”; ส่วนคำหลังเป็นของ Andrew Walker จาก Thailand’s Political Peasants, pp. 65 – 67.

26. Walker, Thailand’s Political Peasants, pp. 8 – 9, 21 – 22, 44 – 56.

27. Walker, Thailand’s Political Peasants, pp. 10 – 33, 190 – 218.

28. “อะไรคือสยามประชาภิวัฒน์ สัมภาษณ์ รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต”, Siam Intelligence, สร้าง 19 มี.ค.2012, http://www.siamintelligence.com/phichai-rattanadilok-na-phuket-interview/

29. คำถามนี้แฝงอยู่ในคำบรรยายของ Andrew Walker ซี่งเรียกสถานการณ์ดังกล่าวนี้ว่าเป็น “dilemmas of its (the peasantry’s) preservation” ดู Walker, Thailand’s Political Peasants, p. 56, 220 – 21.

30. Walker, Thailand’s Political Peasants, pp. 22 – 24, 26, 145, 165, 213, 223 – 27, 229 – 30.

ทว่าถึงแม้สังคมการเมืองชนบทดังกล่าวจะบกพร่องไม่สมบูรณ์แบบ แต่กระนั้น Andrew Walker ก็ยังเห็นว่ามันมีคุณสมบัติบางอย่าง (หลากหลาย, ทรงไว้ซึ่งเกณฑ์วินิจฉัยเชิงคุณค่าของตน, สอดคล้องกับความเป็นจริงของการเมืองไทยปัจจุบัน) ที่จะเป็นความหวังที่ดีที่สุดในการพัฒนาไปเป็นประชาธิปไตยของสังคมไทยต่อไป (pp. 230 –32).

31. โดยเฉพาะชุดปาฐกถาแก่โรงเรียนนายทหาร 3 เหล่าทัพของประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ พลเอกเปรมติณสูลานนท์ ได้แก่ “พล.อ. เปรมปลูกจิตสำนึกนายร้อยจปร. เป็นทหารของชาติ ทหารของพระเจ้าอยู่หัว”, มติชนรายวัน, 15 ก.ค. 2549, น. 2; พลเอกเปรม ติณสูลานนท์, “บทบรรยายพิเศษในหัวข้อการเสริมสร้างการเป็นผู้นำด้วยหลักคุณธรรม ความพอเพียงและความเสียสละของ พลเรือเอก เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ณ โรงเรียนนายเรือ เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2549”, นาวิกศาสตร์, 90: 2 (ก.พ. 2550), www.navy.mi.th/navic/document/900202a.html ; และ “‘เปรม’ ย้ำสำนึกทหารอาชีพ ให้ถอยห่าง ‘คนไม่ดีแต่มีเงิน’”, มติชนรายวัน, 1 ก.ย.2549, น. 2.

32. สมบัติ จันทรวงศ์, “ความแตกแยกของธรรมวิทยาแห่งพลเมืองกับมุมมองทางปรัชญาการเมือง: ข้อสังเกตเบื้องต้น” (คำบรรยายพิเศษในการประชุมวิชาการรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์แห่งชาติ ครั้งที่ 11, 2553,http://www.scribd.com/doc/63522618/ความแตกแยกของธรรมวิทยาแห่งพลเมืองกับมุมมองทางปรัชญาการเมือง-ข้อสังเกตเบื้องต้น ). และ สมบัติ จันทรวงศ์, “ประชาธิปไตยไทย: ปรัชญาและความเป็นจริง” (บทความวิจัยในโครงการวิจัย วิกฤตความแตกแยกของธรรมวิทยาแห่งพลเมือง: การศึกษาคำประกาศธรรมของประกาศกร่วมสมัย ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, 2555). ตัวอย่างงานวิจัยที่โดดเด่นน่าสนใจอีกชิ้นหนึ่งในโครงการวิจัยนี้ได้แก่ ศุภมิตร ปิติพัฒน์, บทวิพากษ์ธรรมวิทยาแห่งพลเมืองของประกาศกร่วมสมัย: เกษียร เตชะพีระ, ธงชัย วินิจจะกูล, สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล (กรุงเทพฯ:สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยและโครงการจัดพิมพ์คบไฟ, 2555).

33. สมบัติ, “ความแตกแยกของธรรมวิทยาแห่งพลเมือง”, น. 13.

34. โปรดพิจารณา C.A.J. Coady, Messy Morality: The Challenge of Politics (Oxford: Clarendon Press,2008). โดยเฉพาะบทที่ 1 Morality, Moralism, and Realism

35. ทรรศนะของ Hannah Arendt ในบทความ “Truth and Politics” อ้างถึงและอธิบายใน ชัยวัฒน์ สถาอานันท์,ความรุนแรงกับการจัดการ “ความจริง”: ปัตตานีในรอบกึ่งศตวรรษ (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,2551), น. 30 - 32.

36. นิธิ เอียวศรีวงศ์, “รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมไทย”, สุพจน์ แจ้งเร็ว, บรรณาธิการ, ชาติไทย, เมืองไทย,แบบเรียนและอนุสาวรีย์: ว่าด้วยวัฒนธรรม, รัฐและรูปการจิตสำนึก (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ มติชน, 2538), หน้า 136 – 71. และ ยุกติ มุกดาวิจิตร, “คนเสื้อแดงกับรัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมไทย”, วิภาษา, 3: 2 (1 พ.ค. – 15 มิ.ย.2552), 26 – 34.

37. แน่นอนว่านี่มาจากการอ่านตีความประยุกต์ The Prince ของ Machiavelli และแนวคิดการเมืองแห่งความไม่รุนแรงของชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ท่านที่สนใจโปรดดูหัวข้อ Ideological Nonviolence ใน Thomas Weber and Robert J. Burrowes, “Nonviolence: An Introduction”, accessed 2 June 2013, www.nonviolenceinternational.net/seasia/whatis/book.php.

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลอุทธรณ์สั่งจำคุก 2 เสื้อแดง 20 เดือน ฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉิน-ระเบิดปิงปอง

$
0
0

27 มิ.ย.56 ที่ศาลอาญา รัชดาฯ ห้องพิจารณาคดี 704   ผู้พิพากษาอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีหมายเลขดำ อ.2514/2553 (หมายเลขแดง อ.4100/2554) ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวีระ สายพิมพ์กับพวกรวม 3 คน (นายจักรกริช จอมทอง และนางไกรรุ่ง อ่อนคำ) ในฐานความผิดฝ่าฝืนประกาศหรือข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และร่วมกันมีวัตถุระเบิด(ระเบิดปิงปอง) ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย  ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นลงโทษ นายวีระ สายพิมพ์ จำเลยที่ 1 และนายจักรกริช จอมทอง จำเลยที่ 2 จำคุกคนละ 20 เดือน  แต่ในส่วนของจำเลยที่ 3 นางไกรรุ่ง อ่อนคำ ในคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้รอลงอาญาเอาไว้ 1 ปี จึงไม่มีการอุทธรณ์

คดีนี้จำเลยที่ 1 นายวีระ สายพิมพ์ได้อุทธรณ์ว่าอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 ซึ่งเป็นโจทก์ไม่ได้นำสืบให้ชัดเจนว่า “ถุงผ้า” นั้นเป็นของจำเลยที่ 1 และที่ 2 หรือเป็นของใคร และระบุว่าที่รับสารภาพเพราะถูกเจ้าพนักงานตำรวจข่มขู่ และทำร้ายร่างกาย ซึ่งในประเด็นนี้อัยการได้มีการแก้คำอุทธรณ์ในสองประเด็นนี้ว่าแม้ถุงผ้าจะมีเพียงถุงเดียว แต่ข้อเท็จจริงในทางนำสืบของโจทก์ก็ประจักษ์ชัดว่าจำเลยที่ 1 และ 2 มีเจตนาร่วมกันในการครอบครองถุงผ้าดังกล่าว จึงเป็นการกระทำร่วมกันมีวัตถุระเบิด(ระเบิดปิงปอง) ทั้ง 24 ลูกไว้ในครอบครอง และในชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสองก็ให้การรับสารภาพ  ส่วนประเด็นการถูกเจ้าพนักงานตำรวจข่มขู่นั้นก็เป็นการกล่าวอ้างลอยๆ ซึ่งผู้ใดก็กล่าวอ้างได้ หากจำเลยที่ 1 ไม่ได้กระทำผิดจริงก็ไม่มีเหตุผลอย่างใดที่จะต้องให้การรับสารภาพ

ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมเดือนเม.ย.-พ.ค.53 (ศปช.) ระบุว่า จากการสอบถามกับญาติของนายจักรกริชทราบว่าในวันที่ถูกจับกุม(19 พ.ค.53) ผู้ถูกจับกุมทั้ง 4 คน(อีก 1 คน เป็นเยาวชน) ได้เรียกแท็กซี่เพื่อที่จะไปขึ้นรถที่หมอชิตเพื่อกลับบ้าน โดยระหว่างทางได้เจอเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจที่ร่วมกันตั้งด่านตรวจอยู่บนทางยกระดับด่านแจ้งวัฒนะ จึงถูกเรียกให้ลงจากรถเพื่อทำการตรวจค้น ในรถคันดังกล่าวมีถุงผ้าอยู่ซึ่งเป็นของเด็กที่นั่งรถมาด้วยกัน  ซึ่งในถุงผ้านั้นมีเพียง ริบหนังสติ๊ก มีดพับ หัวนอต ลูกแก้ว ไฟแช็ก ไม้ขีด แต่ไม่มีระเบิดปิงปองทั้ง 24 ลูก แต่อย่างใด และในระหว่างที่ถูกควบคุมตัวนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ให้พวกเขายืนหันหน้าเข้าเสาทางด่วนและใช้อาวุธปืนจ่อบังคับ ข่มขู่ให้รับสารภาพด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 18.30 น. ทนายของนายจักกริชได้แจ้งความคืบหน้าการประกันตัวของจำเลยทั้งสองคนว่า  ในกรณีของนายวีระนั้นทางศาลอาญาได้ส่งเรื่องให้ศาลฎีกาเพื่อพิจารณาการประกันตัว  ซึ่งจะทราบผลราววันอังคารหรือวันพุธของสัปดาห์หน้า ส่วนของนายจักกริชนั้นเนื่องจากทางศาลอาญาได้เปลี่ยนเงื่อนไขการประกันตัว ซึ่งทางญาติของนายจักกริชยังไม่มีหลักทรัพย์มาประกันจึงยังไม่สามารถทำเรื่องขอประกันตัวได้  เบื้องต้นทั้งสองถูกนำตัวไปควบคุมไว้ที่เรือนจำ

 

 ===========

คำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 1 และ 2 มีความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด  ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน  พ.ศ. 2490 มาตรา 38, 55, 74, 78 วรรคหนึ่ง และพ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาตรา 4,5,9,11,18 ประกอบ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำเลยที่ 3 มีความผิดตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาตรา 4,5,9,11,18 ประกอบ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83  การกระทำของจำเลยที่ที่ 1 และ 2 เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ลงโทษฐานร่วมกันมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ จึงให้มีลงโทษตามพ.ร.บ.อาวุธฯ ปืน ม.78 วรรคหนึ่งอันเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 98 จำคุกคนละ 2 ปี และลงโทษฐานฝ่าฝืนประกาศหรือข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ โดยการเข้าร่วมการชุมนุม จำคุกคนละ 6 เดือน รวมคนละ 2 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 1 และ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม  เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้กระทงละ คนละ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 20 เดือน ลงโทษ จำเลยที่ 3 ฐานฝ่าฝืนประกาศหรือข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ โดยการเข้าร่วมการชุมนุม จำคุกคนละ 6 เดือน และปรับ 5,000 บาท ไม่ปรากฎว่า จำเลยที่ 3 เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เห็นควรให้โอกาศจำเลยที่ 3 กลับตัว เป็นพลเมืองดีต่อไป โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30 ริบหนังสติ๊ก มีดพับ หัวนอต ลูกแก้ว ไฟแช็ก ไม้ขีด ของกลางข้อหาอื่นสำหรับจำเลยที่ 3 ให้ยกเสีย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ชัยวัฒน์ สถาอานันท์: คำประกาศ BRN กับ 10 ข้อพิจารณาเกี่ยวกับ “สันติสนทนา”

$
0
0

เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2556 อุสตาซหะซัน ตอยยิบ ตัวแทนคนหนึ่งของ BRN ในกระบวนการสันติสนทนาที่เริ่มมาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2556 ได้นำเสนอคำประกาศ BRN ครั้งที่ 4 ทาง Youtube ว่าจะยุติปฏิบัติการทางทหารตลอดเดือนรอมฏอน (เริ่มประมาณวันที่ 10 กรกฎาคม) จนถึง 10 วันแรกของเดือนเซาวาล (คือประมาณวันที่ 17 สิงหาคม) ดังที่ได้เคยตกลงกันในสันติสนทนาครั้งหลังสุดเมื่อ 13 มิถุนายน 2556 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์โดยมีเงื่อนไขให้ทางการไทยต้องถอนกำลังทหาร-ตำรวจออกไปจากพื้นที่สามจังหวัดและห้าอำเภอของสงขลา ให้ทหารของกองทัพภาค 4 อยู่ในที่ตั้ง ไม่ให้ฝ่ายราชการโจมตี ปิดถนน จับ ควบคุมคน หรือ จัดกิจกรรมสังคมที่เกี่ยวข้องกับเดือนรอมฎอน กับให้ อ.ส.ที่เป็นมุสลิมไม่ต้องประจำการเพื่อให้พวกเขาไปปฏิบัติศาสนกิจที่บ้านได้ อีกทั้งห้ามขายเหล้าหรือสิ่งมึนเมาอื่นๆ ปิดแหล่งอบายมุขต่างๆตลอดเดือนรอมฎอน ทั้งหมดนี้นายกรัฐมนตรีต้องเป็นผู้ลงนามและต้องประกาศในวันที่ 3 กรกฎาคม 2556
 
คงไม่ใช่เรื่องยากที่จะคาดคะเนสีหน้าของท่านผู้บัญชาการทหารบกเมื่อได้รับรู้เนื้อหาในคำประกาศBRN ครั้งที่ 4 นี้
 
ที่จริงคงไม่ได้มีแต่ท่านผู้บัญชาการทหารบกเท่านั้นที่จะรู้สึก “ปี๊ด”กับคำประกาศครั้งหลังนี้ แต่หลายฝ่ายในสังคมไทยนอกพื้นที่ซึ่งความรุนแรงดำเนินอยู่ก็คงจะ “ปี๊ด” เช่นกัน   ปัญหามีอยู่ว่าเมื่อ “ปี๊ด” ไปแล้วผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับปัญหาความมั่นคงภาคใต้ และผู้คนในสังคมไทยควรทำอย่างไรต่อ?
 
ข้อเขียนสั้นๆนี้เป็นการชวนให้ฝ่ายต่างๆในสังคมไทยได้ทำความเข้าใจกับ “สันติสนทนา”  ที่กำลังดำเนินอยู่เพื่อให้ทุกฝ่ายในสังคมไทยมั่นใจในทิศทางการแก้ปัญหา และพร้อมเตรียมรับแรงกระเพื่อมที่จะเกิดจาก “สันติสนทนา” ได้ด้วยความรอบคอบ มีเหตุมีผลบนพื้นฐานของความรู้ในเรื่องนี้เพื่อประโยชน์สุขของประเทศ
 
1. สิ่งที่ผู้คนในสังคมไทยควรตั้งคำถามไม่ใช่ว่า BRN มีเจตนาอย่างไรจึงแถลงคำประกาศเช่นนี้หรือคิดอย่างไรจึงแถลงคำประกาศชนิดที่ก็รู้กันทั่วไปว่า ฝ่ายรัฐบาล ภาคราชการ และผู้คนในสังคมไทยจำนวนมากคงรับข้อเสนอเหล่านี้ไม่ได้  แต่ควรถามว่าคำประกาศของ BRN กำลังทำงานอย่างไรในสังคมไทยขณะนี้โดยเฉพาะที่สัมพันธ์เชื่อมโยงกับ “สันติสนทนา”
 
2. ผมเลือกใช้คำว่า “สันติสนทนา” (peace dialogue) เพราะสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นไม่ใช่ “การเจรจาสันติภาพ” (peace negotiation)ข้อต่างสำคัญคือ ผลลัพธ์ที่จะเกิดจากการเจรจาสันติภาพคือ ข้อตกลงสันติภาพ (peace agreement) แต่สิ่งที่อาจจะได้จาก “สันติสนทนา” คือความเข้าใจในกันและกันตลอดจนบรรยากาศในการร่วมกันหาทางออกจากกับดักแห่งความรุนแรงที่กำลังรัดรึงทุกฝ่ายอยู่
 
3. กฎข้อแรกที่บิดาของสันติศึกษาคือ โยฮัน กัลตุง เคยสอนเกี่ยวกับการทำงานกับความขัดแย้งโดยเฉพาะในแนวทางสันติสนทนาคือ “อย่าฟังแต่เฉพาะสิ่งที่เขาพูด แต่ต้องฟังสิ่งที่เขาไม่ได้พูดด้วย”  ในแง่นี้จะเห็นได้ว่า คำประกาศฉบับที่ 4 ของ BRN สะท้อนการทำงานที่เตรียมการมา เพราะเลือกประกาศเสนอให้ยุติความรุนแรงในช่วงเวลาเดือนอันศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาอิสลาม (holy time) ด้วยการใช้วันที่สำคัญทางการเมืองของไทยในอดีตเป็นหมุดตรึงคือ วันเปลี่ยนแปลงการปกครองสยามเมื่อ 81 ปีก่อนคือ 24 มิถุนายน อีกทั้งเสนอให้นายกรัฐมนตรีลงนามในคำประกาศของตนในวันที่ 3 กรกฎาคม อันเป็นวันครบรอบชัยชนะของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ผ่านการเลือกตั้งเมื่อสองปีก่อนพอดี กล่าวได้ว่าคำประกาศนี้เป็นการจัดวางเวลาศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาไว้ในเวลาทางประวัติศาสตร์และการเมืองประชาธิปไตยของสังคมไทย ทั้งหมดนี้หมายความว่า คงต้อง “อ่าน” ประกาศของ BRN ในฐานะคำแถลงต่อสังคม คือไม่ใช่ตั้งคำถามว่า ฝ่ายเขาต้องการอะไร แต่ที่สำคัญอยู่ที่เขากำลังบอกกับฝ่ายใด? ว่าเขาเป็นใคร? และคิดว่ารัฐและสังคมไทยเป็นอย่างไร?
 
4. ทุกครั้งและเกือบทุกหนแห่งที่เริ่มใช้  “สันติสนทนา” ความรุนแรงก็มักเพิ่มขึ้น ที่เป็นเช่นนี้เพราะ “สันติสนทนา”ไม่ใช่ “เทคนิค” ในการเผชิญกับความขัดแย้งที่ถึงตาย แต่ “สันติสนทนา” เป็น “การเมืองแห่งความขัดแย้ง” ชนิดที่การหาทางลดและมุ่งขจัดความรุนแรงให้หมดไปสัมพันธ์กับปัญหาความชอบธรรมที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงของคนที่ก้าวเข้าสู่เวที “สันติสนทนา” กล่าวคือ ถ้า “สันติสนทนา” สร้างความชอบธรรมให้กับหะซัน ตอยยิบและมิตรสหายของเขาซึ่งก็มีบทบาทให้ฝ่ายอื่นๆซึ่งต่อสู้กับรัฐไทยอยู่ต้องยอมรับ ขณะที่ฝ่ายที่ไม่ได้ขึ้นรถไฟสันติภาพขบวนนี้ก็ต้องหาวิธีลดทอนความชอบธรรมของ BRN ซึ่งรวมทั้งการใช้ความรุนแรงเป็นฐานความชอบธรรมของตน เป็นไปได้ว่าเพราะเหตุนี้ในกรณีของไทยคณะทำงาน ศอ.บต.ที่ศึกษาเรื่องนี้จึงพบว่า นับแต่เริ่มสันติสนทนาเมื่อ 28 มีนาคม 2556 จนปัจจุบัน ความรุนแรงในพื้นที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
 
5. แต่ถ้าถามว่าแล้วยังจะต้อง “สนทนา” กันต่อไปอีกหรือ คำตอบก็คือแน่นอน เพราะในการศึกษากลุ่มใช้ความรุนแรงโดยเฉพาะการ “ก่อการร้าย” ตั้งแต่ปี พ.ศ.2511 จนถึงปัจจุบัน จำนวน 268 กลุ่ม ของ Rand Corporation  พบว่า มีเพียงร้อยละ 7  หรือ 20 กลุ่มเท่านั้นที่รัฐใช้กำลังทหารเอาชนะได้ ขณะที่ ร้อยละ 43 ของกลุ่มใช้ความรุนแรงหรือ 114 กลุ่มโดยเฉพาะที่มีสมาชิกเกินพันคนเลิกสู้รบ เพราะหันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทางการเมืองปรกติ (Dudouet 2013) ได้  ปัญหาความขัดแย้งที่ถึงตายอย่างที่เกิดขึ้นในภาคใต้ ที่สุดก็เช่นเดียวกัน ความรุนแรงคงไม่อาจทำให้ความขัดแย้งนี้จบลงได้ 
 
6. หลายคนคงถามว่า ถ้าเช่นนั้นจะต้อง “คุย” กันไปอีกนานเท่าใดกว่าจะตกลงกันได้? ผมคิดว่าไม่มีใครบอกได้ว่าในกรณีของไทยสันติสนทนาจะใช้เวลาเท่าใด เพราะเรื่องนี้เป็นกระบวนการที่อาจต้องใช้เวลากว่าจะกลายเป็นข้อตกลงสันติภาพ ในกรณีของอาเจะห์กับรัฐบาลอินโดนีเซียก็ใช้เวลา 16 ปี ตั้งแต่ 2532 ถึง 2548 จึงบรรลุข้อตกลงเฮลซิงกิ (เพราะมีฟินแลนด์เข้ามาช่วยกระบวนการ) หรือ กรณีมุสลิมมินดาเนากับรัฐบาลฟิลิปปินส์ก็ใช้เวลาพูดคุยกันนาน 26 ปีตั้งแต่ 2529 ถึง 2555 ผ่านข้อตกลงหยุดยิงหลายครั้งหลายหน และมีรัฐบาลจากหลายประเทศรวมทั้งมาเลเซียเข้ามามีส่วนร่วม
 
7. ถ้าถามว่าที่สนทนากันมาแล้วได้อะไร? คำตอบก็คือนอกจากจะได้พบเห็นตัวตนของฝ่าย BRNผู้เข้ามาเจรจา สร้างบรรยากาศแห่งการพูดคุยแล้ว ที่สำคัญยิ่งคือการเปลี่ยนแปลงดุลยภาพแห่งความชอบธรรมในความขัดแย้งนี้ เพราะการเมืองของสันติสนทนาเป็นการลดทอนความชอบธรรมของการใช้ความรุนแรงของผู้ใช้ (ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด) โดยเฉพาะเมื่อเหยื่อเป็น เด็ก เป็นผู้หญิง เป็นคนแก่ หรือเป็นครูทั้งที่เป็นครูสอนศาสนาและครูโรงเรียนของรัฐ อาจเพราะเช่นนี้งานวิจัยของศอบต.จึงพบว่า หลังจากเริ่มสันติสนทนาเมื่อเดือนมีนาคม 2556 จนถึงบัดนี้ จำนวนเหยื่อความรุนแรงที่เป็นพลเรือนจึงลดลงครึ่งหนึ่ง
 
8. ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่มีหน้าที่กำหนดนโยบายเพื่อแก้ปัญหานี้ควรคิดให้ชัดเจนว่า ที่ตัดสินใจเลือกเส้นทาง “สันติสนทนา”  ก็ไม่เพียงเพราะเห็นว่าหนทางนี้เป็นหนทางที่ถูกด้วยมีคุณค่าทางศีลธรรมแฝงอยู่ในตัว แต่เพราะประวัติศาสตร์ความขัดแย้งที่ถึงตาย (deadly conflicts) รอบโลกสอนเราว่า ในที่สุดคู่ขัดแย้งก็ต้อง “คุย” กัน ไม่ว่าจะรบรากันนานเพียงไร แม้ที่ “ดูเหมือน” ว่าจะจบลงได้ด้วยการใช้กำลัง (อย่างในศรีลังกา) ก็พบว่าการใช้ความรุนแรงไม่ได้นำมาซึ่งสันติภาพยั่งยืน เพราะได้ทิ้งเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชัง โกรธแค้น ที่รอเวลาปรากฏตัวใหม่ภายใต้เงื่อนไขที่เหมาะสมในอนาคต และต้องหาหนทางเพาะสร้างสมานฉันท์ในสังคมด้วยความยากลำบาก(Keethaponcalan 2013) อีกทั้งความรุนแรงก็มีต้นทุนสูงไม่ว่าจะเป็นชีวิตผู้คนทั้งพลเรือนและนักรบของทั้งสองฝ่าย หรือต้นทุนทางวัฒนธรรมตลอดจนเงินทองมากมายที่หมดไปกับการใช้ความรุนแรง
 
9. ฝ่ายความมั่นคงทั้งทหารและพลเรือนควรทดลองพิจารณาว่า “สันติสนทนา” เป็นวิธีการ/กระบวนการต่อสู้จัดการกับความขัดแย้งที่ถึงตาย โดยอาศัย “อาวุธ” ชุดใหม่ “อาวุธ” ที่ว่านี้มีอยู่ในเนื้อตัวทางวัฒนธรรม ในประวัติศาสตร์ของสังคมไทย เป็นอาวุธที่เคยใช้เอาชนะความขัดแย้งใหญ่ๆมามาก ไม่ว่าจะเป็น “อาวุธ” ที่ช่วยให้ประเทศรอดจากการเป็น “ฝ่ายแพ้” ในสงครามโลก หรือเอาชนะภัยคุกคามจากอุดมการณ์ในอดีต
 
10. แต่ “อาวุธ” ชนิดนี้ก็เหมือน “อาวุธ” อย่างอื่นคือ คนใช้ก็ต้องใช้ด้วยความเข้าใจ และการใช้ “อาวุธ” เช่นนี้ต้องอาศัยการสนับสนุนจากสังคมไทยโดยรวม ด้วยเหตุนี้จึงต้องกำหนดยุทธศาสตร์การใช้ สันติสนทนาด้วยการตระเตรียมจริงจัง พร้อมจะทำงานเช่นนี้ในระยะยาวและท่ามกลางมรสุมอุปสรรคต่างๆ ทั้งหมดนี้เพื่อสถาปนาความมั่นคงที่ยั่งยืนในอนาคตบนพื้นฐานของความเป็นจริงที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในสังคม
 
 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 20494 articles
Browse latest View live