Quantcast
Channel: ข่าว
Viewing all 20494 articles
Browse latest View live

สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ: ฟ้าต่ำ แผ่นดินสูง

$
0
0

ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง เป็นชื่อของภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่จะเข้าฉายอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคมนี้ สร้างโดยผู้สร้างภาพยนตร์รุ่นหนุ่ม ชื่อ นนทวัฒน์ นำเบญจพล ภาพยนตร์เรื่องนี้ มีความน่าสนใจในฐานะหนังนอกกระแส ที่มีลักษณะสัจนิยม(realistic) ถ่ายภาพและบันทึกเหตุการณ์ตามที่เป็นจริง เป็นแบบสารคดีโดยไม่อาศัยเนื้อเรื่องแบบละคร หรืออาศัยดารานำที่เป็นหนุ่มหล่อสาวสวย เป็นเครื่องจูงใจ แต่ใช้การบอกเล่าหรือฟ้องสังคมด้วยเนื้อเรื่องที่ตรงไปตรงมา

ก่อนหน้านี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้เคยเป็นข่าวมาแล้ว ตั้งแต่เมื่อสร้างเสร็จ แล้วกลายเป็นหนังที่ถูกเลือกให้ฉายในเทศกาลภาพยนตร์สารคดีนานาชาติศาลายา ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 6 เมษายน ที่ผ่านมา แต่ในวันที่ 23 เมษายน กลับมีข่าวว่า คณะอนุกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดีทัศน์ได้พิจารณาห้ามฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ในราชอาณาจักร โดยเห็นว่า เนื้อหาและภาพของภาพยนตร์นี้ก่อให้เกิดการแตกแยกทางความคิด กระทบต่อความมั่นคงของชาติ และความสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศ ขัดต่อความสงบเรียบร้อย ซึ่งอาจชักจูงให้ผู้ชมหลงเชื่อจึงไม่ควรอนุญาตให้เผยแพร่

เป็นการดีที่อีก 2 วันต่อมา คำสั่งห้ามฉายก็ถูกยกเลิกโดยคณะกรรมการพิจาณาภาพยนตร์ชุดใหญ่ เพียงแต่คณะกรรมการขอจัดหนังในเรท 18 พร้อมกันนั้น ผู้สร้างถูกขอร้องให้ดูดเสียงในช่วงต้นเรื่องความยาว 2 วินาที-ซึ่งเป็นประโยคที่พิธีกรบนเวทีในงานเคาท์เดาวน์รับปีใหม่ที่สี่แยกราชประสงค์-พูดว่า “เรามาร่วมเคาท์ดาวน์และร่วมฉลองให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระชนมายุครบ 84 พรรษา” ซึ่งฝ่ายผู้สร้างก็ยอมรับตามนั้น เพราะเห็นว่า ไม่ได้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลักของเรื่อง

เนื้อเรื่องของภาพยนตร์ เปิดฉากที่งานเคาน์ดาวน์ปีใหม่ พ.ศ.2554 แต่ก็ได้ย้อนเหตุการณ์เล่าไปถึงการกวาดล้างปราบปรามประชาชนคนเสื้อแดงเมื่อเดือนเมษายน-พฤษภาคม พ.ศ.2553 ด้วย จากนั้น ภาพยนตร์ก็เล่าถึงเรื่องชีวิตของชายคนหนึ่ง ชื่อ อ๊อด ที่เป็นชาวบ้านธรรมดา บ้านเดิมอยู่ที่ตำบลกุดเสลา อำเภอกันทรลักษณ๋ จังหวัดศรีษะเกษ ซึ่งเป็นหมู่บ้านใกล้เขาพระวิหาร เล่าถึงชีวิตวัยเยาว์ของอ๊อดที่มีการศึกษาไม่สูงนัก และใช้ชีวิตบวชเป็นเณรอยู่ถึง 4 ปี ก่อนที่จะสึก แล้วไปจับใบแดง ต้องเข้าเป็นทหารประจำการ หลังจากที่ต้องฝึกฝนอย่างหนักแล้ว ก็ถูกส่งไปประจำการที่สามจังหวัดภาคใต้ จากนั้น ก็ได้เป็นทหารชั้นผู้น้อยที่ถูกส่งมาปราบการชุมนุมของคนเสื้อแดงในกรุงเทพฯด้วย ทั้งที่ญาติพี่น้องและชาวบ้านสนับสนุนฝ่ายเสื้อแดงแทบทั้งสิ้น แต่อ๊อดก็ต้องมาปฏิบัติตามหน้าที่

ในกรณีนี้ เท่ากับว่าภาพยนตร์ได้พยายามเล่าเรื่องการปราบปรามคนเสื้อแดงในอีกทัศนะหนึ่ง ทั้งยังได้ใส่ข้อความเพื่อเสนอทัศนะเกี่ยวกับคนเสื้อแดงต่อผู้ชม เช่นเล่าว่า ที่ราชประสงค์"เคยมีการปิดล้อมสังหารหมู่ กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงซึ่งส่วนใหญ่เดินทางมาจากต่างจังหวัด"และว่า “รัฐบาลไทยในสมัยนั้นอ้างว่าเป็นการกระทำของมือที่สาม เพื่อสร้างสถานการณ์ใส่ร้ายรัฐบาล” แต่“กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงและผู้สนับสนุนเชื่อว่าเป็นการกระทำของรัฐบาลและทหาร” จากนั้นก็อธิบายต่อไปว่า “ชาวกรุงเทพฯและผู้ไม่สนับสนุนหลายคนกล่าวชื่นชมรัฐบาลและทหาร” ขณะที่ “ชาวต่างจังหวัดถูกปรามาสว่าโง่ เห็นแก่เงิน”

แต่นั่นยังไม่ใช่ประเด็นสำคัญในเรื่องนี้ เรื่องสำคัญที่สุดที่ภาพยนตร์เล่าก็คือ ผลกระทบของความขัดแย้งเรื่องเขาพระวิหาร ที่มีต่อประชาชนในพื้นที่กันทรลักษณ์ อันเป็นมุมมองที่คนเมืองและกลุ่มเสื้อเหลืองและกลุ่มรักชาติที่สนับสนุนการเรียกร้องดินแดนคืนไม่เคยคำนึงถึง เพราะเมื่อสถานการณ์ดึงเครียดและเกิดการสู้รบตามพรมแดน ประชาชนทั้งสองฝากพรมแดนได้รับความเดือดร้อนโดยตรง ต้องเสี่ยงกับกระสุนปืนร้ายแรงที่ทหารสองฝ่ายยิงตอบโต้กัน และต้องอพยพออกจากเขตพื้นที่อันตราย ดังนั้น ชาวบ้านจึงมีความพอใจมากกว่า ในการเปลี่ยนรัฐบาลจากรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาเป็นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แล้วทำให้การเผชิญหน้าระหว่างประเทศยุติลง อย่างน้อยก็ทำให้พวกเขาได้ชีวิตปกติกลับคืนมา

ภาพยนตร์ฟ้าต่ำแผ่นดินสูงยังไปไกลกว่านั้น เพราะยังได้เล่าเรื่องความขัดแย้งเดียวกันในความเชื่อและเรื่องเล่าของประชาชนฝ่ายกัมพูชาที่อุดรมีชัยด้วยว่า ฝ่ายไทยต่างหากที่พยายามบุกรุกและโกงดินแดนชองกัมพูชาตลอดมา จนถึงขนาดว่า อาศัยเงื่อนไขที่กัมพูชามีสงคราม ย้ายหลักพรมแดนตามใจชอบ เช่นกล่าวว่า “หลักเขตไม่ได้เดินย้อนกลับไปทางฝั่งไทย แต่มันเขยิบมาทางฝั่งของเรา” และทหารไทยก็เป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีกัมพูชาก่อน ฝ่ายกัมพูชาจึงเป็นสู้เพื่อปกป้องพรมแดนและชีวิตของประชาชน และยังลงท้ายเรื่องด้วยการสำรวจถนนสายใหม่ที่ขึ้นเขาพระวิหารจากฝ่งกัมพูชา ที่เป็นเรื่องใหม่ที่ยังไม่ค่อยเป็นที่รับทราบในไทย

นัยยะที่ภาพยนตร์นี้พยายามสะท้อนก็คือ เส้นเขตแดนระหว่างประเทศเป็นเพียงสิ่งสมมุติ แต่ก็กลายเป็นเส้นแบ่งประชาชนให้ขัดแย้งกัน ทั้งที่ประชาชนทั้งสองฝากพรมแดนต่างก็พูดภาษาเขมรเช่นเดียวกัน และประชาชนสองฝ่ายก็ปรารถนาที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสงบและสันติมากกว่าที่จะมีกรณีพิพาทกัน ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงให้ชื่อภาษาอังกฤษว่า Boudery ซึ่งหมายถึงเขตแดน นนทวัฒน์ นำเบญจพล ผู้สร้างภาพยนตร์ได้อธิบายว่า “หลายคนมองว่าเป็นเรื่องของเขตแดน แต่ความจริงแล้วตามความคิดของผมหมายถึงเขตแดนตามความคิดของชาวบ้านในพื้นที่ ที่ต่างคนต่างมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ดังนั้นการนำเสนอของตนในตัวภาพยนตร์แล้วจะพยายามนำเสนอให้รอบด้านให้มากที่สุด ให้ตัวละครแต่ละคนได้มีโอกาสมากที่สุด”

ภาพยนตร์เรื่องนี้ จึงเป็นสารคดีอันน่าสนใจ อย่างน้อยที่สุดก็คือการนำพาสาธารณชนชาวไทยไปรับรู้มุมมองของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งถือเป็นงานสร้างสรรค์อย่างง่าย ที่จะทำมาซึ่งประโยชน์แก่ทุกฝ่าย

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ปัญหาจากการล่มสลายของโครงการรับจำนำข้าว

$
0
0

ไม่มีใครคาดคิดว่ารัฐบาลจะกล้าตัดสินใจลดราคาจำนำข้าวและจำกัดวงเงินรับจำนำ อย่างกระทันหัน (ซึ่งเท่ากับเป็นการยกเลิกนโยบายการจำนำข้าวทุกเม็ดโดยปริยาย) เพราะตลอดเวลารัฐบาลมักจะอ้างเสมอว่าโครงการนี้เป็นนโยบายที่ดี สามารถเพิ่มรายได้ให้ชาวนา ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และรัฐบาลสามารถขายข้าวให้รัฐบาลต่างประเทศได้เป็นจำนวนมาก

สาเหตุสำคัญที่ทำให้รัฐบาลต้องลดราคาจำนำข้าว น่าจะเกิดจากรายงานของมูดดี้ส์ที่แสดงความกังวลต่อการขาดทุนในโครงการรับจำนำข้าวกว่า 2 แสนล้านบาท และมีแนวโน้มว่ารัฐบาลต้องใช้เงินเพิ่มเติมอีกจำนวนมากในการรับจำนำ ทำให้รัฐบาลอาจไม่สามารถบรรลุเป้าหมายงบประมาณสมดุลในปี 2560 และอาจส่งผลกระทบต่อการลดเครดิตของประเทศไทย การตัดสินใจครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลเพื่อไทยยอมรับฟังคำเตือนของฝรั่งหัวแดง ต่างจากในสมัยรัฐบาลทักษิณที่เคยแสดงความไม่พอใจว่า “ยูเอ็นไม่ใช่ พ่อ”

ยิ่งกว่านั้นการที่รัฐบาลยอมผิดสัญญาตามที่เคยหาเสียงไว้กับชาวนา ก็แสดงว่ารัฐบาลยอมรับว่าการจำนำข้าวมีปัญหาการคลังอย่างรุนแรง นี่คือ บทเรียนสำคัญว่าในการเลือกตั้งครั้งต่อไปประชาชนต้องใช้สติในการพิจารณาว่า “นโยบาย” ที่พรรคการเมืองต่างๆ นำเสนอนั้นจะมีผลเสียหายอย่างไร ไม่ใช่มองแต่ประโยชน์ที่ตนจะได้เพียงอย่างเดียว พรรคการเมืองเองก็ควรมีความรับผิดชอบที่จะต้องวิเคราะห์ผลดีผลเสียของนโยบายต่างๆก่อนที่นำนโยบายออกมาเสนอขายต่อประชาชน ผู้บริหารพรรคการเมืองต่างก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ และมีนักวิชาการที่มีความรู้สูง สังคมไทยคงไม่ต้องออกกฎกติกาบังคับเรื่องนโยบายหาเสียง หรือให้องค์กรอิสระมาตามตรวจสอบนโยบายหาเสียง นักการเมืองต่างคนต่างก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้วไม่ใช่เด็กๆ

การตัดสินใจลดราคาจำนำลงอย่างรวดเร็วดูเหมือนจะเน้นเฉพาะการเฉือนรายได้ชาวนาเพื่อแก้ปัญหาการขาดทุนจากราคาจำนำที่สูงลิบลิ่วเท่านั้น แต่ภาวะขาดทุนในโครงการจำนำข้าวมิได้เกิดจากราคาจำนำเพียงอย่างเดียว การขาดทุนยังเกิดจากการอุดหนุนผู้บริโภค ค่าใช้จ่ายของโครงการ ตลอดจนการขาดทุนที่เกิดจากการระบายข้าวไม่โปร่งใสและการทุจริตในโครงการ นอกจากนั้นการยกเลิกโครงการรับจำนำข้าวอย่างกระทันหันอาจส่งผลให้ราคาข้าวเปลือกลดลงอย่างฮวบฮาบ ทำให้ชาวนาที่อยู่นอกโครงการจำนำอาจประสบภาวะขาดทุนจากการขายข้าว คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติต้องนำประเด็นเหล่านี้มาพิจารณาโดยเร่งด่วน


1. การลดภาระขาดทุนจากการจำนำข้าว

ประเด็นแรก ถ้ารัฐบาลต้องการลดภาระการขาดทุนจากโครงการจำนำข้าว รัฐบาลควรต้องลดการขาดทุนจากการระบายข้าวและการอุดหนุนผู้บริโภคด้วย

การขาดทุนในโครงการรับจำนำข้าว นอกจากจะเกิดจากการตั้งราคารับจำนำข้าวเปลือกที่ 15,000 บาทต่อตัน (โดยชาวนาไม่ได้เป็นฝ่ายเรียกร้องแต่แรก) การขาดทุนอีกส่วนหนึ่งยังเกิดจากการระบายข้าวในราคาต่ำกว่าราคาตลาด และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ แต่รัฐบาลไม่เคยยอมแถลงตัวเลขราคาข้าวที่รัฐบาลขายได้และปริมาณข้าวที่ขาย

โชคดีที่ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติเมื่อ 18 มิถุนายน 2556 นายวราเทพ รัตนากร ได้รายงานตัวเลขรายรับรายจ่ายของการจำนำข้าว 3 ฤดู (ตั้งแต่ตุลาคม 2554 ถึง 31 มกราคม 2556) ทำให้ผมสามารถคำนวณหาปริมาณการระบายข้าว ปริมาณสต๊อคที่เหลืออยู่ และที่สำคัญ คือ ราคาข้าวที่รัฐขาย (ตามตัวเลขของกรมการค้าต่างประเทศ) (ดูภาคผนวก)

จากการคำนวณดังกล่าว พบว่า รัฐบาลระบายข้าวจำนวน 4.99 ล้านตัน ในราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 10.21 บาท ขณะที่ต้นทุนของข้าวสารในโครงการสูงถึง กก.ละ 33.62 บาท แปลว่ารัฐบาลขาดทุนกก.ละ 23.41 บาท การขาดทุนนี้ประกอบด้วยการขาดทุนจากการตั้งราคาจำนำสูงกว่าราคาตลาดกิโลกรัมละ 14.52 บาท ขาดทุนจากต้นทุนดำเนินการ[1] (เช่น ค่าจ้าง โรงสี ค่าเช่าโกดัง ฯลฯ) 0.74 บาทต่อกก. และที่เหลือคือขาดทุนจากการระบายข้าวในราคาต่ำกว่าราคาตลาดอีก 8.15 บาท/กก. (รูปที่ 1)

การขาดทุนจากการระบายข้าว ยังสามารถแยกได้ 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นการขาดทุนจากนโยบายข้าวสารราคาถูก ซึ่งเป็นการอุดหนุนผู้บริโภคกิโลกรัมละ 0.45 บาทและขาดทุนจากการขายข้าวให้พ่อค้าบางรายในราคาต่ำกว่าราคาตลาด

รัฐบาลเพื่อไทยประสบความสำเร็จในการทำให้ข้าวเปลือกมีราคาแพง และข้าวสารราคาถูก (รูปที่ 2) การที่รัฐบาลรับจำนำข้าวเปลือกถึงเกือบ 63.5 ล้านตัน (ประมาณร้อยละ 57 ของผลผลิต 3 ฤดู ในช่วงตุลาคม 2554-เมษายน 2555) ราคาข้าวสารในประเทศจะต้องถีบตัวสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดการโจมตีรัฐบาลอย่างรุนแรง รัฐบาลจึงต้องระบายข้าวจำนวนที่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภคในราคาที่ค่อนข้าวคงที่ (ประมาณ 22 บาทต่อกิโลกรัม)

รัฐบาลมีวิธีระบายข้าว 2 วิธี คือ การขายข้าวถุงละ 70 บาท (หรือ 14 บาทต่อกก.) จำนวน 1.8 ล้านตัน แต่ข้อมูลของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสมาชิกพบว่ามีข้าวถุงที่ส่งไปขายยังร้านถูกใจเพียง 5-10 % เท่านั้น วิธีนี้จึงไม่ได้ผลในการลดราคาข้าวขายปลีก

วิธีระบายข้าวอีกวิธีที่ช่วยให้ราคาขายปลีกข้าวสารเจ้าในตลาดมีราคาถูกเพียงถุงละ 110-120 บา (หรือ 22-24 บาท/กก.) คือ การขายข้าวทุกชนิดจำนวนมากให้พ่อค้าบางคนในราคาถูก ตัวเลขจากรายงานของรมว.วราเทพ รัตนากร ทำให้เราทราบว่ากระทรวงพาณิชย์ขายข้าวสารราคาเฉลี่ยเพียง 10.21 บาท/กก.[2]พ่อค้าที่โชคดีเหล่านี้สามารถนำข้าวไปขายส่งในราคากก.ละ 16 บาทราคาขายส่งนี้ต่ำพอที่จะทำให้พ่อค้าขายปลีกสามารถขายข้าวสารคุณภาพต่ำในราคากก.ละ 22-24 บาท ให้ผู้บริโภค

ผลการระบายข้าวสารราคาถูกทำให้ราคาขายปลีกข้าวสารทุกชนิดในตลาดกรุงเทพฯ เฉลี่ย 24.17 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ราคาขายปลีกสูงกว่าเล็กน้อย คือ 24.62 บาทต่อกิโลกรัม แปลว่ารัฐบาลควักเงินอุดหนุนผู้บริโภคข้าวกิโลกรัมละ 0.45 บาท

ดังนั้นส่วนต่างที่เหลือจึงเป็นการนำเข้าภาษีไปแจกให้พ่อค้าบางคน ส่วนต่างนี้เท่ากับ 7.7 บาทต่อกก. หรือร้อยละ 33 ของมูลค่าการขาดทุนจำนวน 1.22 แสนล้านบาท (ดูรูปที่ 1)


รูปที่ 1 การขาดทุนในโครงการจำนำข้าวเกิดจากอะไร
(เฉพาะการระบายข้าว 3 ฤดูจำนวน 4.99 ล้านตันในระหว่าง ต.ค. 54- ม.ค. 55)

 

ที่มา: คำนวนจาก
(1) วราเทพ รัตนากร “ผลการรวบรวมข้อมูลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ตามนโยบายรัฐบาล”

(2) ราคาข้าวเปลือกทุกชนิดของกรมการค้าภายใน

(3) ราคาขายปลีกข้าวสารทุกชนิดในตลาดกรุงเทพฯ ของสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า


 

รูปที่ 2: ข้าวเปลือกแพง ข้าวสารถูก

ที่มา: กรมการค้าภายใน.  และสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์.


2. การทุจริตในการระบายข้าว

ประเด็นที่สอง การขาดทุนจากการระบายข้าวเกิดจากการที่รัฐบาลขายข้าวแบบไม่โปร่งใสให้แก่พ่อค้าบางรายในราคาถูกเป็นพิเศษ คำอภิปรายของ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ระบุว่ารัฐบาลขายข้าวราคาถูกให้โรงสีแห่งหนึ่งในจังหวัดกำแพงเพชรในราคากิโลกรัมละ 5.7 บาท ทั้งๆที่ราคาขายส่งข้าวสารในตลาด คือ 16 บาท แสดงว่าโรงสีดังกล่าวพันกำไรส่วนต่างถึงกิโลกรัมละ 10.30 บาท ถ้าเราทราบปริมาณข้าวที่รัฐขายในราคาถูกๆ เราก็จะสามารถคำนวณจำนวนเงินภาษีประชาชนที่ถูกนำไปแจกให้พ่อค้าพรรคพวกได้

โชคดีที่รายงานการปิดบัญชีโครงการจำนำข้าวของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีทำให้เจ้าหน้าที่รัฐต้องออกมายอมรับว่ามีข้าวสารที่ยังไม่ได้ลงบัญชีอีก 2.5 ล้านตัน ทำให้ไม่สามารถปิดบัญชีโครงการจำนำข้าวนาปีฤดู 2555/56 ได้

ตัวเลขดังกล่าวช่วยให้เราทราบวิธีการลักลอบนำข้าวจำนวนมากในโครงการจำนำไปขายในตลาด ส่วนบนของรูปที่ 3 แสดงขั้นตอนปกติของการจำนำ เมื่อชาวนานำข้าวเปลือกไปจำนำที่โรงสีโรงสีจะต้องสีแปรสภาพใน 7 วัน แล้วนำข้าวสารส่งมอบให้โกดังกลางของรัฐบาลที่เช่าจากเอกชน

รูปที่ 3:การส่งมอบข้าวตามขั้นตอน และการแอบขายข้าวในโครงการจำนำ

ส่วนขั้นตอนการทุจริต คือ หลังจากรับจำนำข้าวเปลือกจากชาวนาแล้วโรงสีบางแห่งแอบนำข้าวที่สีแปรสภาพไปขายให้ผู้ค้าข้าว (หรือบางกรณีแอบนำข้าวเปลือกไปขายให้โรงสีผู้ส่งออกข้าวนึ่ง) จากนั้นค่อยไปหาซื้อข้าวสารราคาถูกจากประเทศเพื่อนบ้าน มาส่งคืนให้โกดังกลางของรัฐบาลในภายหลัง ส่วนโกดังบางแห่งที่ไม่สามารถหาข้าวสารราคาถูกมาเข้าโกดังก่อนมีการตรวจสอบ ก็อาจเผาโกดังทิ้งตามที่มีข่าวเป็นระยะๆ หรือถูกจับได้ตามที่เป็นข่าว

แต่การลักลอบนำข้าวไปหมุนขายแบบนี้จะทำได้ในปริมาณเล็กน้อยเท่านั้น (เช่น กรณีโรงสีที่พิจิตรลักลอบนำเข้าจำนำไปขาย 9,000 ตัน) เป็นไปไม่ได้ที่ข้าวสารจะหายไปจากโกดังกลางถึง 2.5 ล้านตันหากไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงเข้าไปเกี่ยวข้อง คำชี้แจงของเจ้าหน้าที่ต่อ รมว.วราเทพ รัตนากร ว่าข้าวจำนวนนี้ยังไม่ได้สีแปรสภาพ จึงไม่ได้ลงในบัญชีข้าวสารก็ฟังไม่ค่อยขึ้น เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริงโรงสีก็จะต้องมีข้าวเปลือกกองเป็นภูเขาหลายพันลูก ตัวเลขข้าวสารที่ไม่ได้ลงบัญชีนี้เป็นต้นเหตุของคำสั่งให้ตรวจสต๊อคข้าวของโรงสีและโกดังทั่วประเทศในวันที่ 27 มิถุนายน ศกนี้ แต่กว่าเจ้าหน้าที่จะเข้าตรวจ โรงสีและโกดังคงหาข้าวมาส่งคืนแล้ว เพราะวันเวลาล่วงเลยมานานเกือบ 5 เดือนหลังจากการทำรายงานปิดบัญชี ณ วันที่ 31 มกราคม 2556

หลักฐานสำคัญที่เป็นเงื่อนไขเอื้ออำนวยให้โรงสีไม่ต้องส่งมอบข้าวสารเข้าโกดังใน 7 วัน และสามารถนำเข้าข้าวสารราคาถูกจากต่างประเทศโดยถูกกฎหมายมาเข้าโกดังกลางแทน ไม่ต้องแอบลักลอบนำเข้าแบบกองทัพมด คือ การที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลการจำนำข้าว ได้อนุญาติให้มีการผ่อนผันให้โรงสีที่รับจำนำข้าวเปลือกไว้จำนวนมาก ไม่ต้องสีแปรสภาพและนำส่งข้าวสารเข้าโกดังกลางใน 7 วัน[3]ผู้เกี่ยวข้องในวงการข้าวคาดว่าอาจมีการผ่อนผันให้ยืดเวลาการสีแปรสภาพข้าวสารนานถึง 2 เดือน

เดิมกระทรวงพาณิชย์มีประกาศอนุญาตให้มีการนำเข้าข้าวสารจากประเทศเพื่อนบ้านตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน เฉพาะในบางเดือนที่ไม่มีการเก็บเกี่ยวข้าวในประเทศ (คือ พฤษภาคม ถึง ตุลาคม) การนำเข้าข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านจะเสียภาษีนอกโควตาความข้อตกลง WTO ในอัตรา 52% ต้นทุนการนำเข้าข้าวจึงค่อนข้างสูง แต่ผู้นำเข้าจะใช้วิธีสำแดงมูลค่าข้าวและปริมาณข้าวต่ำกว่าความจริง เช่น สำแดงว่าราคาข้าวสารนำเข้ากิโลกรัมละ 3-4 บาท แต่ในเดือนพฤศจิกายน 2555 รมว.กระทรวงพาณิชย์ได้อาศัยอำนาจตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2539 ออกระเบียบให้มีการออกหนังสือรับรองการนำเข้าที่ได้สิทธิ์ชำระภาษีในโควตาตามพันธกรณีตามความตกลงภายใต้ WTO ได้ทุกเดือนตั้งแต่ 1 มกราคม 2556 ถึง 31 ธันวาคม 2556 ประกาศดังกล่าวช่วยให้ผู้ค้าข้าวสามารถนำเข้าข้าวสารจากประเทศเพื่อนบ้านได้ทุกเดือนโดยมีต้นทุนต่ำลง

ถ้าไม่มีประกาศทั้งสองฉบับรองรับ กระบวนการขโมยข้าวของผู้เสียภาษีไปขายอย่างเป็นล่ำเป็นสันคงทำได้ลำบาก  และมีต้นทุนสูง

คำถามสำคัญ คือ มีข้าวจำนวนเท่าไรที่ถูกลักลอบจากคลังรัฐบาล นำไปหมุนขายก่อน เราทราบว่าในช่วงที่มีการจำนำข้าวระหว่างเดือนตุลาคม 2554-สิ้นมีนาคม 2556 รัฐบาลรับจำนำข้าวเปลือกทั้ง 3 ฤดู (นาปี 2554/55 นาปรัง 2555 และนาปี 2555/56) รวมทั้งสิ้น 36.48 ล้านตัน ซึ่งแปลงเป็นข้าวสารได้ 22.52 ล้านตัน) ส่วนผลผลิตข้าวทั้งประเทศเท่ากับ 39.68 ล้านตันข้าวสาร ก็แปลว่ามีข้าวอยู่ในมือโรงสีและพ่อค้าประมาณ 17.16 ล้านตัน แต่พ่อค้าข้าวจะต้องมีสต๊อคข้าวอยู่ในมือประมาณ 1.0 ล้านตัน ดังนั้นตลาดข้าวเอกชน จะมีข้าวขายเพียง 16.16 ล้านตัน ขณะเดียวกันในช่วง 18 เดือนดังกล่าว คนไทยต้องบริโภคข้าว 15.90 ล้านตันและมีการส่งออก 10.17 ล้านตัน รวม 26.07 ล้านตัน แสดงว่าตลาดยังขาดข้าวอยู่อีก 9.91 ล้านตัน (26.07-16.16) ข้าวจำนวนนี้จะต้องมาจากการระบายข้าวของรัฐบาลอย่างแน่นอน ถ้ามีการระบายข้าวน้อยกว่านี้ ราคาข้าวสารในตลาดจะต้องแพงขึ้นกว่าสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ แต่รัฐบาลเพื่อไทยประสบความสำเร็จในการตรึงราคาข้าวสารให้มีราคาถูกกว่าสมัยอภิสิทธิ์ และทำให้ราคาข้าวเปลือกแพง (รูปที่ 2)

ทว่า นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ชี้แจงต่อสภาผู้แทนราษฏรเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2556 ว่ากระทรวงพาณิชย์ได้ระบายข้าวเพียง 7.07 ล้านตัน จึงเกิดคำถามว่าข้าวอีก 2.84 ล้านตันมาจากไหน คำตอบก็คือ นอกจากการนำเข้าข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาขายในประเทศ และข้าวบางส่วนถูกนำไปส่งมอบให้โกดังกลางแทนข้าวของชาวนาไทยที่ถูกลักลอบออกจากโกดังไปหมุนขายก่อนแล้ว ก็ยังมีข้าวสารในโครงการรับจำนำจำนวน 2.5 ล้านตัน ที่ไม่ได้ลงบัญชี แต่ถูกลักลอบนำออกไปขายในตลาดและยังมิได้นำข้าวสารมาคืนโกดัง

ถ้ารัฐบาลไม่สามารถจัดการนำข้าวดังกล่าวมาคืนคลังได้ ก็เท่ากับประชาชนต้องสูญเสียเงินภาษีจำนวน 40,000 ล้านบาท (หรือ 2.5 ล้านตันคูณราคาขายส่ง 16,000 บาทต่อตัน) หรือถ้ามีการขายข้าวจำนวนดังกล่าวในราคาต่ำกว่าราคาตลาด รัฐบาลก็ต้องขาดทุน

รัฐบาลจะต้องรีบจัดการสะสางปัญหาการทุจริตและภาระขาดทุนโดยเร่งด่วน โดยเริ่มต้นจากการแถลงรายละเอียดของการระบายข้าว ตั้งแต่ราคาข้าวปริมาณข้าวที่ขาย วิธีขาย และชื่อผู้ซื้อ เป็นต้น ผมหวังว่าหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติในวันที่ 28 มิถุนายนนี้ จะมีการแถลงข้อมูลเหล่านี้


3. ผลของการยกเลิกโครงการรับจำนำต่อราคาข้าวเปลือก

ประเด็นสุดท้าย การลดราคารับจำนำ และจำกัดวงเงินรับจำนำต่อเกษตรกร เท่ากับการยกเลิกโครงการรับจำนำข้าวเปลือกทุกเม็ดโดยปริยาย ผลที่จะตามมา คือ ราคาข้าวเปลือกในตลาดจะลดลงอย่างรวดเร็ว ทุกคนรู้ว่ารัฐบาลมีข้าวในสต๊อคจำนวนมาก (อาจสูงถึง 17 ล้านตัน) สต๊อคจำนวนนี้กับผลผลิตข้าวในฤดูใหม่จะทำให้ราคาข้าวเปลือกในประเทศลดต่ำลง ทำให้ชาวนาเดือดร้อน โดยเฉพาะชาวนาจำนวน 3 ล้านครัวเรือนที่ไม่ได้นำข้าวไปจำนำกับรัฐบาล แต่ดูเหมือนว่า รัฐบาลไม่เคยคิดถึงผลกระทบในด้านนี้เลย ข้อเสนอการเยียวยาเกษตรกรด้วยมาตรการช่วยลดต้นทุนการเพาะปลูกอาจไม่เพียงพอ และคงไม่ได้ผลมากนัก ดังนั้นรัฐบาลจะต้องพิจารณาหาหนทางป้องกันมิให้ราคาข้าวเปลือกทรุดฮวบลงมาก เช่น ทบทวนการยกเลิกโครงการแบบกระทันหันโดยหาวิธีการค่อยๆยกเลิกโครงการรับจำนำ พร้อมมาตรการเสริม เช่น กลยุทธ์การระบายข้าว อย่างระมัดระวัง เป็นต้น

 

 

................................................................................

 

 

ภาคผนวก การคำนวณหาราคาข้าว-ปริมาณข้าวที่รัฐบาลระบายและสต๊อคข้าว
(นาปี 2554/55 นาปรัง 2555 นาปี 2555/56 ณ 31 มกราคม 2556)

 

พาณิชย์

อนุฯปิดบัญชี

ล้านตัน

ข้าวสารในโครงการรับจำนำ (ข้าวเปลือก 31.7 ล้านตัน)

15.16

15.61

ล้านตัน

เงินที่จ่ายให้ชาวนา

493,014.48

493,014.48

ล้านบาท

ค่าใช้จ่ายดำเนินการ

16,634.06

16,647.94

ล้านบาท

ค่าใช้จ่ายรวมต่อตัน ((2)+(3) หาร (1))

33,618

33,619.00

บาท/ตัน

มูลค่าข้าวในสต๊อค

341,956.26

226,851.58

ล้านบาท

สต๊อคข้าว (5) ÷ (4)

10,171,827

6,747,740

ตัน

จำนวนข้าวที่ระบาย (1) – (6)

4,988,173

8,862,260

ตัน

มูลค่าข้าวที่ระบาย

50,926.15

61,741.45

ล้านบาท

ราคาข้าวที่ระบาย (8) ÷(7)

10,209.30

6,966.70

บาท/ตัน

ขาดทุน

23,408.70

26,652.70

บาท/ตัน

 

หมายเหตุ : ถ้าใช้ข้อมูลของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีราคาข้าวที่ระบายจะเท่ากับ 7,341.4 บาทต่อตันจึงหมายความว่าการระบายข้าว 8.41 ล้านตัน จะขาดทุนตันละ 26,277.5 บาท (ซึ่งสูงกว่าตัวเลขของกระทรวงพาณิชย์ที่เฉลี่ย 23,409 บาทต่อตัน)

ที่มา : วราเทพ รัตนากร “ผลการรวมรวมข้อมูลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโครงการรับจำนำข้าวเปลือกตามนโยบายรัฐบาล”
18 มิถุนายน 2556

 




[1]ใช้ตัวเลขต้นทุนของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งยังมิได้รวมค่าเสื่อมของข้าว และดอกเบี้ยจากเงินทุนที่ใช้ซื้อข้าวเก็บในโกดัง ถ้ารวมค่าใช้จ่ายเหล่านี้ ต้นทุนดำเนินการจะสูงถึงกิโลกรัมละ 3.63  บาทต่อกก.

[2]ถ้าใช้ข้อมูลของคณะอนุกรรมการปิดบัญชี ราคาขายเฉลี่ย 6.97 บาทต่อกก.และขาดทุน กก.ละ 26.65 ขาท

[3]ฝ่ายเลขานุการ กขช. “หลักเกณฑ์การดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังปี 2555”  กุมภาพันธ์ 2555

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ย้ายอีก 50 ผู้ต้องขังคดีไฟใต้ กลับคุกบ้านเกิดก่อนรอมฎอน

$
0
0

เตรียมย้ายผู้ต้องขังคดีความมั่งคงจากคุกบางขวางกว่า 50 ราย สู่เรือนจำบ้านเกิดก่อนรอมฎอน ศอ.บต.พาญาติเยี่ยมครั้งสุดท้ายที่กรุงเทพ ญาติเห็นด้วยกับบีอาร์เอ็นที่ให้ปล่อยนักโทษคดีไฟใต้ พร้อมแนะบนโต๊ะเจรจาสันติภาพต้องมีตัวแทนคนในพื้นที่

วันที่ 28 มิถุนายน 2556 ที่โรงแรมเซาเทิร์นวิว จ.ปัตตานี ญาติผู้ต้องขังคดีความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ถูกขังอยู่ในเรือนจำบางขวาง กรุงเทพมหานครกว่า 200 คน ได้รวมตัวกันเพื่อเตรียมเดินทางไปเยี่ยมผู้ต้องขังที่เรือนจำบางขวางด้วยรถทัวร์จำนวน 5 คัน ตามโครงการสานสายใจจากครอบครัวสู่ผู้ต้องขังในเรือนจำนอกพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต)

ทั้งนี้มีผู้ต้องขังในเรือนจำบางขวางที่ญาติจะไปเยี่ยมในครั้งนี้จำนวน 57 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้ต้องขังคดีความมั่นคง โดยก่อนเดินทางได้มีเจ้าหน้าที่ของศอ.บต.มาอธิบายถึงขั้นตอนและระเบียบในการเข้าเยี่ยมผู้ต้องขัง โดยมีกำหนดเข้าเยี่ยมในวันที่ 1 กรกฎาคม 2556 โดยมีกลุ่มเพื่อน จ. เป็นอาสาสมัครร่วมเดินทางไปด้วย

ก่อนออกเดินทางในเวลาประมาณ 15.00 น. พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการ ศอ.บต.ได้มาพบปะให้กำลังใจญาติผู้ต้องขังทั้งหมด และกลุ่มผู้หญิงจากเครือข่ายผู้หญิงภาคประชาสังคมเพื่อสันติภาพชายแดนใต้มาร่วมพบปะและขอข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

พ.ต.อ.ทวี กล่าวระหว่างพบปะว่า การให้ญาติเดินทางไปเยี่ยมผู้ต้องขังในครั้งนี้ ถือเป็นการไปรับผู้ต้องขังกลับบ้าน หมายถึงการย้ายผู้ต้องขังจากเรือนจำบางขวาง กรุงเทพมหานครมาอยู่ที่เรือนจำในจังหวัดบ้านเกิดของผู้ต้องขังเอง เพื่อความสะดวกและลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางของญาติ เนื่องจากมีข้อจำกัดหลายๆอย่าง

พ.ต.อ.ทวี กล่าวต่อไปว่า จะพยายามย้ายผู้ต้องขังดังกล่าวให้ได้ก่อนวันที่ 9 กรกฎาคม 2556 หรือก่อนเดือนรอมฎอนซึ่งเป็นเดือนถือศีลอดของชาวมุสลิม

พ.ต.อ.ทวี กล่าวด้วยว่า ส่วนผู้ต้องขังที่ศาลตัดสินลงโทษประหารชีวิตและคดีถึงที่สุดแล้ว ซึ่งไม่สามารถย้ายได้ เนื่องจากเป็นกระบวนการศาลและขั้งตอนตามกฎหมายนั้น มีอยู่ 2 คน แต่ก็จะพยายามให้ทุกคนได้กลับมา

พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า สำหรับผู้ต้องขังคดีความมั่นคงที่คดีสิ้นสุดแล้ว มี 6 รายที่ไม่สามารถย้ายเรือนจำได้ แต่ตนจะพยายามขอให้ได้กลับมาอยู่ที่เรือนจำกลางสงขลาให้ได้

“หลังจากการเดินทางไปเยี่ยมผู้ต้องขังในครั้งนี้แล้ว ผมจะขออนุญาตนำตัวผู้ต้องขังกลับมาอยู่ในภูมิลำเนาของตัวเอง เช่น ถ้าผู้ต้องขังเป็นคนจังหวัดนราธิวาส ก็จะขอย้ายมาอยู่ที่เรือนจำนราธิวาส แต่ถ้าเป็นผู้ต้องขังที่มีโทษหนักๆ ก็จะให้ย้ายมาอยู่ที่เรือนจำกลางสงขลา” พ.ต.อ.ทวี กล่าว

พ.ต.อ.ทวี กล่าวด้วยว่า ขณะนี้มีนโยบายที่จะบรรเทาความเดือนร้อนของญาติผู้ต้องขัง เพื่อเป็นการเยียวยาจิตใจ คลายความคิดถึงที่มีต่อผู้ต้องขังที่อยู่ในเรือนจำที่กรุงเทพมหานคร โดยจะเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมประกาศขยายอำนาจการคุมขังของเรือนจำกลางนราธิวาส ปัตตานี ยะลา สงขลา รวมทั้งเบตง จ.ยะลา ให้ครอบคลุมอัตราการลงโทษของผู้ต้องขังที่อยู่ในเรือนจำที่กรุงเทพมหานคร เพื่อให้สามารถนำกลับมาอยู่ใกล้ชิดกับญาติพี่น้องได้มากที่สุด

นางสีตีนอร์ เจ๊ะเลาะ ชาวบ้านควนโนรี อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ภรรยาผู้ต้องขังคดีความมั่นคงในคดีโจมตีเจ้าหน้าที่เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2547 หรือวันเดียวกับเหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ ซึ่งศาลพิพากษาลงโทษประหารชีวิต แต่ลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิตได้ร่วมเดินทางไปเยี่ยมในครั้งนี้ด้วย

นางสีตีนอร์ กล่าวว่า ตนยังไม่แน่ใจว่าสามีจะได้ย้ายกลับมาอยู่ในเรือนจำที่จังหวัดปัตตานีหรือไม่ เช่นเดียวกับญาติคนอื่นๆบางคนด้วย เพราะยังไม่มีใครทราบแน่ชัดว่า ผู้ต้องขัง 6 คนที่อาจจะไม่ได้ย้ายนั้นเป็นใครบ้าง

นางสีตีนอร์ กล่าวด้วยว่า กรณีที่กลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็น (BRN) มีข้อเรียกร้อง 5 ข้อ หนึ่งในนั้นคือ ให้ปล่อยตัวนักโทษคดีความมั่นคงทุกคนนั้น อยากให้รัฐบาลรับพิจารณาด้วย แต่ก็ไม่เห็นด้วยที่จะให้ปล่อยทุกคน ต้องพิจารณาดูเป็นรายบุคคลว่า ใครบ้างที่สมควรปล่อยตัวไป แต่หากคนนั้นทำผิดจริงก็ไม่สมควรปล่อย

นางสีตีนอร์ ให้ความเห็นเกี่ยวกับกระบวนการสันติภาพที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ด้วยว่า ถ้าจะให้เกิดสันติภาพขึ้นในพื้นที่ คงต้องใช้เวลาอีก 10 ปี เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก จะต้องเรียกหลายฝ่ายมาแก้ปัญหาร่วมกัน มาเจรจากัน ต้องพยายามเจรจา ต้องประนีประนอมกัน

นางสีตีนอร์ กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมา การเจรจายังไม่ได้ผล จึงควรปรับเปลี่ยนตัวหรือคณะตัวแทนเจรจาด้วย เพราะชุดเก่าที่ไปเจรจานั้น ไม่มีความน่าเชื่อถือแล้ว ที่สำคัญต้องมีตัวแทนของประชาชนด้วย เพราะย่อมรู้ดีว่าประชาชนต้องการอะไร อีกอย่างสถานการณ์ก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ ไม่หยุด และการเจรจาไม่ใช่ไปเจาะจงที่กลุ่มBRN อย่างเดียว

นางสีตีนอร์ กล่าวด้วยว่า ในการเจรจานั้น อยากให้มีการเปิดเผยแพร่ต่อสาธารณะมากกว่าเป็นการเจรจาลับ และบนโต๊ะเจรจานั้น อยากให้มีแกนนำชาวบ้านในพื้นที่ ผู้นำศาสนาและประชาชนมีส่วนร่วมด้วย และเมื่อการเจรจาเสร็จสิ้นลง ก็ให้แถลงให้ประชาชนรับทราบด้วย เพราะที่ผ่านมา ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เคยทราบว่า การเจราเป็นอย่างไร โดยเฉพาะทางฝ่ายรัฐไทยที่ไม่เคยออกมาแถลง มีแต่ฝ่าย BRN เท่านั้นที่ออกมาแถลงข้อเรียกร้องต่อฝ่ายรัฐ

           

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สนนท.จี้ สภา-รบ.แก้ รธน. เร่งด่วน วอน ตลก. ฝ่ายค้าน อำนาจนอกระบบหยุดขวาง

$
0
0

28 มิ.ย.56 เวลาประมาณ 10.00 น. ตัวแทนสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย(สนนท.) นำโดยนายสุพัฒน์ อาษาศรี เลขาธิการ สนนท. เดินทางเข้ายืนจดหมายถึงประธานรัฐสภาเพื่อเรียกร้องให้ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเร่งด่วน พร้อมทั้งเรียกร้องให้ฝ่ายตุลาการ ฝ่ายค้าน องค์กรอิสระและอำนาจนอกระบบทุกรูปแบบหยุดขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 50 ที่เป็นผลผลิตจากรัฐประหาร 19 ก.ย.49 โดยระหว่างรอยื่นจดหมาย สนนท. มีการแสดงละครล้อเลียนกลุ่มผู้ได้รับผลประโยชน์จากการรัฐประหารและรัฐธรรมนูญฉบับนี้ด้วย ก่อนที่ตัวประธานรัฐสภาออกมารับจดหมายพร้อมรับปากจะส่งต่อไปยังประธานรัฐสภา เพื่อพิจารณาต่อไป

เลขาธิการ สนนท. มองว่า ผลผลิตจากการรัฐประหารไม่ได้มีแค่รัฐธรรมนูญเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงองค์กรอิสระต่างๆและ สมาชิกวุฒิสภาสายสรรหา ที่ผู้สนับสนุนการรัฐประหารไปดำรงตำแหน่งอยู่ เป็นที่ชัดเจนว่าแม้คณะรัฐประหารจะยุบตัวลงไป แต่ขุมอำนาจในการทำลายล้างรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนยังคงอยู่และพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้รัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งต้องออกจากตำแหน่งหรือทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองเพื่อจะได้ให้เกิดนายกแต่งตั้ง ซึ่งขัดกับหลักประชาธิปไตย

นายสุพัฒน์ กล่าวถึงปัญหาการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยว่า ฝ่ายบริหารซึ่งได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนและเป็นที่พึ่งเพื่อให้การผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จ แต่ก็ไม่ได้ตอบสนองความต้องการนั้น เพียงแต่ยังคงรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลให้อยู่ยาวนานที่สุดเท่านั้น ส่วนฝ่ายตุลาการนั้นกลับไม่ได้เป็นที่หวังพึ่งของประชาชนเพราะเป็นอำนาจเดียวที่ได้รับประโยชน์จากการรัฐประหารและ ต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยทำงานกันเป็นเครือข่ายตั้งแต่ ฝ่ายค้าน กลุ่มมวลชน สว.สรรหา องค์กรอิสระ ศาลรัฐธรรมนูญ และอำนาจนอกระบบ ด้านอำนาจนิติบัญญัติถือว่าเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงในเรื่องกฎหมาย แต่ก็ไม่ได้มีการดำเนินการอย่างใด แม้ว่าจะมีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร อีกทั้งวุฒิสภาก็แบ่งออกเป็นหลายกลุ่มทำให้ไม่เป็นเอกภาพในการผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

โดยนายสุพัฒน์ เปิดเผยว่า สนนท.จะขับเคลื่อนประเด็นรัฐธรรมนูญมาอย่างต่อเนื่อง ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย สนับสนุนการมีส่วนร่วมเพื่อออกแบบรัฐธรรมนูญที่มีความเหมาะสมกับสังคมไทย และต่อต้านการรัฐประหารทุกรูปแบบ จึงได้จัดโครงการรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย โดยการจัดเวทีเสวนาเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนพูดคุยครั้งที่ 1 ในวันที่ 4 ก.ค.นี้ ณ ห้องสภานักศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง และจะเดินหน้าผลักดันการจัดเวทีเสวนาอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ต่างๆ เพื่อรับฟังความเห็น แล้วรวบรวมส่งสภาและรัฐบาลต่อไป

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ภาพบรรยากาศหาเสียงวันแรกเลือกตั้งกัมพูชา 2013

$
0
0

วันที่ 28 ก.ค.ที่จะถึงนี้ หรืออีกราว 1 เดือนจากนี้ไป จะเป็นวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้งทั่วไปของประเทศกัมพูชา การรณรงค์หาเสียงวันแรกซึ่งเริ่มขึ้นตั้งแต่ตั้งแต่ตอนสายของวันที่ 27 มิ.ย.ในเมืองพนมเปญเป็นไปอย่างคึกคักตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะพรรคประชาชนกัมพูชา หรือ Cambodian People's Party (CPP) ซึ่งนำโดยนายกรัฐมนตรีฮุนเซน จัดขบวนรถติดลำโพงและขบวนพาเหรดสวมเสื้อขาวที่มีภาพแกนนำพรรค พร้อมถือป้าย ธงชาติ และธงที่มีสัญลักษณ์ของพรรคเคลื่อนไปตามถนนสายต่างๆ ในพนมเปญ

ตาม 4 แยกมีการตั้งเต็นท์พร้อมประกาศเชิญชวนให้ประชาชนเลือกพรรค CPP ส่วนการหาเสียงของพรรคการเมืองขนาดเล็กและพรรคฝ่ายค้านค่อนข้างเงียบเหงา จะมีป้ายหาเสียงขนาดเล็กของพรรคฝ่ายค้านติดอยู่ตามเสาไฟฟ้าให้เห็นอยู่บ้างแบบบางตา และนานๆ ครั้งจะมีรถยนต์ติดลำโพงที่ไม่ใช่พรรครัฐบาลวิ่งไปบนถนนในพนมเปญ

ขณะเดียวกัน ในวันที่ 29 มิ.ย.56 กระทรวงข้อมูลข่าวสารของกัมพูชาประกาศห้ามการออกอากาศรายการของสถานีวิทยุต่างประเทศที่ถ่ายทอดเสียงเป็นภาษาแขมร์ จนถึงวันที่ 28 ก.ค.ซึ่งเป็นวันเลือกตั้งทั่วไป หนึ่งในจำนวนที่ถูกห้าม คือ สถานีวิทยุเสียงอเมริกา หรือ Voice of America (VOA) ซึ่งภายหลังการวิจารณ์อย่างหนักจากโฆษกกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐ รัฐมนตรีกระทรวงข้อมูลข่าวสารของกัมพูชาจึงยอมให้สถานีวิทยุต่างประเทศสามารถออกอากาศได้ตามเดิม


ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สุภิญญาหวั่น กรณีช่อง 5 ตัดสกู๊ปข่าว กระทบสิทธินักข่าว-ความเชื่อมั่นให้สื่อกำกับกันเอง

$
0
0

สุภิญญา กลางณรงค์ กสทช. กังวล กรณี ตัดสกู๊ปข่าวกลางอากาศ ช่อง 5 กระทบสิทธินักข่าวลดทอนแนวทางการกำกับดูแลกันเองของวิชาชีพสื่อตามแนวทาง กสทช.เตรียมเชิญผู้เกี่ยวข้องและสภาวิชาชีพข่าวฯ หาข้อเท็จจริงพร้อมสรุปบทเรียนให้สังคม

สืบเนื่องจากกรณีสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 ปล่อยโฆษณาแทรกคั่น ในรายการฮาร์ดคอร์ข่าว ขณะกำลังนำเสนอสกู๊ปข่าวโครงการการจัดการน้ำของรัฐบาลกับบริษัท เค วอเตอร์ เมื่อวันพุธที่ 26 มิถุนายนที่ผ่านมา

ล่าสุด (30มิ.ย.56) สุภิญญา กลางณรงค์  คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช.ด้านคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและผู้บริโภค กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า แม้ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ ได้ออกมายอมรับการตัดสินใจใช้ดุลยพินิจเซ็นเซอร์ตัวเองในการออกอากาศข่าวนี้แล้ว เพราะเกรงว่าข้อมูลไม่ครบรอบด้าน ในขณะที่บริษัท โพสต์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) ในฐานะบริษัทผู้ผลิตร่วม ได้ออกแถลงการณ์ว่าเป็นดุลยพินิจของสถานี พร้อมทั้งยืนยันหลักสำคัญในการนำเสนอข่าวในการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนที่ดีและยึดหลักในการทำงานในวิชาชีพมาอย่างสม่ำเสมอ แต่ความเห็นส่วนตัวคิดว่า ควรมีการฟังความเห็นของนักข่าว หรือกองบรรณาธิการที่เกี่ยวข้องถึงการนำเสนอข่าวนี้ ได้มีโอกาสออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เพราะเกรงว่าอาจกระทบต่อศักดิ์ศรีของนักข่าว คนทำข่าว หรือกองบรรณาธิการข่าวที่ทำหน้าที่สื่อสารข้อมูลข้อเท็จจริง

สุภิญญา กล่าววว่า กรณีการเซ็นเซอร์ตัวเองในรายการนำเสนอข่าวสารถือเป็นการส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพในการนำเสนอข่าวสารและการรับรู้ข้อมูลข่าวสารข้อมูลของประชาชน ตามบทบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

สุภิญญา กล่าวต่อว่า แม้การเซ็นเซอร์ตัวเองจะไม่ได้เป็นการกระทำผิดกฎหมาย แต่อาจส่งผลกระทบต่อมาตรฐานการกำกับดูแลกันเองของผู้ประกอบกิจการวิชาชีพในกิจการโทรทัศน์ ว่าได้ใช้เหตุผลที่เพียงพอต่อการกำกับตัวเองตามจรรยาบรรณหรือไม่ และในฐานะประธานคณะอนุกรรมการส่งเสริมกำกับดูแลกันเองจะนำเรื่องนี้เข้าหารือในคณะอนุกรรมการเพื่อที่จะเชิญตัวแทนสถานีโทรทัศน์ช่อง 5 รวมทั้งบริษัทผู้ร่วมผลิตและสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย มาร่วมพูดคุยเพื่อหาข้อมูลข้อเท็จจริง สรุปบทเรียนต่อสังคมและพัฒนาต่อแนวทางการกำกับดูแลกันเองของกิจการนี้ต่อไป ทั้งนี้ สถานีโทรทัศน์ช่องดังกล่าวที่กำลังจะเป็นผู้ได้รับใบอนุญาต ประเภทสาธารณะ (โดยไม่ต้องผ่านการบิวตี้คอนเทสต์) จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตระหนักถึงสิทธิเสรีภาพของสื่อในการนำเสนอข่าวสาร ตลอดจนการสร้างความน่าเชื่อและความเชื่อมั่นในสังคมต่อไปด้วย

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กอ.รมน.ภาค 4 สน.แถลงเหตุบึ้มทหาร 8 ศพ ย้ำดูแลให้เดือนรอมฎอนปลอดภัย

$
0
0
โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 สน. ยืนยันใช้แนวทางที่ผู้บัญชาการสั่งดูแลความปลอดภัยในเดือนรอมฎอน เคารพในสิทธิมนุษยชนตามกระบวนการยุติธรรม ชี้เหตุที่เกิดเป็นการกระทำของผู้บิดเบือนหลักศาสนาและมีอุดมการณ์ชาตินิยมสุดโต่ง วันเดียวกันเกิดเหตุยิงครูสาวตาดีการามัน

 
พ.อ.ปราโมทย์ พรมอินทร์ โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) อ.ยะรัง จ.ปัตตานี เปิดเผยเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2556 ว่า จากกรณีที่คนร้ายลอบวางระเบิดเจ้าหน้าที่ทหาร ร้อย.ร 4021 หน่วยเฉพาะกิจยะลาที่ 2 เมื่อช่วงเช้าวันเดียวกัน เป็นเหตุให้ทหารเสียชีวิต 8 นาย บาดเจ็บ 2 นาย และราษฎรได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 2 คน ทางกอ.รมน.ภาค 4 สน.ขอชี้แจงเพื่อสร้างความเข้าใจต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ดังนี้
 
“กอ.รมน.ภาค 4 สน. จะยังคงดำเนินความมุ่งหมายในการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ตามนโยบายและข้อสั่งการของผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ด้วยการเคารพในหลักของกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด และจะเร่งติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมโดยเร็วที่สุด รวมทั้งจะยังคงดำเนินการสนับสนุน อำนวยความสะดวก และดูแลความปลอดภัยให้พี่น้องประชาชนในการประกอบศาสนากิจ เนื่องในเดือนรอมฎอนในปีนี้อย่างเต็มที่”
 
พ.อ.ปราโมทย์ กล่าวอีกว่า นายกรัฐมนตรีได้ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาในพื้นที่ ด้วยการบูรณาการกำลังพลทุกภาคส่วน ลงมาแก้ปัญหาอย่างเป็นเอกภาพ โดยมุ่งเน้นการแก้ปัญหาผ่านศูนย์ปฏิบัติการอำเภอไปสู่หมู่บ้านเป้าหมาย ที่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้มากยิ่งขึ้น สร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยให้กับประชาชน ส่วนราชการต่างๆ ที่เอื้อต่อการพัฒนาที่ยังยืนในอนาคต
 
“กอ.รมน.ภาค 4 สน. ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งต่อครอบครัว และญาติพี่น้องของผู้ที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ ทั้งนี้ขอสดุดีในวีรกรรมอันกล้าหาญที่ได้ทุ่มเท และอุทิศตนในการปฏิบัติหน้าที่อย่างสุดความสามารถ เพื่อที่จะรักษาความสงบสุขของพี่น้องประชาชน โดยกองทัพจะดูแลเยียวยากำลังพลและสวัสดิการต่างๆ อย่างเต็มกำลังความสามารถและสมเกียรติ”
 
พ.อ.ปราโมทย์ ได้กล่าวถึงการสร้างสถานการณ์ความรุนแรงตลอด 9 ปีทีผ่านมา รวมทั้งเหตุการณ์ในครั้งนี้ว่า เป็นการกระทำของกลุ่มที่บิดเบือนหลักศาสนา มีแนวคิดอุดมการณ์ชาตินิยมสุดโต่งและตกขอบ ซึ่งได้ทำลายความหวังและโอกาสของพี่น้องประชาชนที่ต้องการความสันติสุขและมีคุณภาพชีวิตที่ดี
 
ทั้งนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของพี่น้องประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างมาก เพราะกองกำลังกลุ่มนี้ได้เข้าไปปฏิบัติงานในพื้นที่อย่างทุ่มเทร่วมกับพี่น้องประชาชนจนเป็นที่ยอมรับและได้รับความเชื่อมั่น
 
“กอ.รมน.ภาค 4 สน.ขอเรียกร้องให้ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะองค์กรพัฒนาเอกชน ภาคประชาสังคมและเครือข่ายตางๆ ร่วมกันประณามการกระทำดังกล่าวและประกาศจุดยืนในการปฏิเสธการใช้ความรุนแรงในทุกกรณี” พ.อ.ปราโมทย์ กล่าวปิดท้าย
 
ยิงครูสาวโรงเรียนตาดีกายะลาดับ 1
 
เวลา 15.50 น. วันเดียวกัน เกิดเหตุคนร้ายยิงนางสาวคอรีเย๊าะ สาเล็ง อายุ 24 ปี อยู่บ้านเลขที่ 56/7 ม. 1 ต.จะกว๊ะ อ.รามัน จ. ยะลา เป็นครูสอนโรงเรียนตาดีกาบ้านบือแนสะแต ม.5 ต.จะกว๊ะ อ.รามัน จ.ยะลา เหตุเกิดบนถนนสายชนบท บ้านตันหยงม.1 ต.จะกว๊ะ อ.รามัน จ.ยะลา ส่วนสาเหตุ เจ้าหน้าที่ระบุว่าอยู่ระหว่างการสอบสวนว่าเกี่ยวกับเหตุการณ์ความไม่สงบหรือเป็นเรื่องส่วนตัว
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ยากจนและเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่สาเหตุความขัดแย้งเหลือง-แดง

$
0
0

หลังจากเหตุการณ์พฤษภาคมอำมหิต 2553 ใหม่ๆ รัฐบาลนายอภิสิทธิ์จัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสองชุด ชุดแรกชื่อว่า คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ โดยมีอดีตนายกฯอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน ส่วนชุดที่สองคือ คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปประเทศ ซึ่งมี นพ.ประเวศ วะสี เป็นประธาน รัฐบาลหวังว่ากรรมการทั้งสองชุดจะผลิตข้อเสนอเพื่อการปฏิรูปประเทศ ซึ่งสุดท้ายจะนำไปสู่ความสมานฉันท์ของสังคมไทย ในการแถลงข่าวเปิดตัวคณะกรรมการทั้งสองชุดที่บ้านพิษณุโลก เมื่อวันที่ 8 ก.ค.2553 นั้น นายอานันท์กล่าวว่า คณะกรรมการทั้งสองชุดมีอำนาจหน้าที่ "ในการกำหนดยุทธศาสตร์ แนวทาง มาตรการ และกระบวนการต่างๆ เกี่ยวกับการปฏิรูป จัดทำข้อยุติและข้อเสนอแนะต่างๆ เกี่ยวกับการปฏิรูปเสนอต่อสาธารณชนและภาครัฐ...ที่มุ่งไปสู่ [การลด]ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย เสริมสร้างสมรรถนะ และพลังปัจจัยที่จะช่วยขับเคลื่อนสังคมไทยให้มีความเข้มแข็ง อยู่เย็นเป็นสุข มีศักดิ์ศรี มีความเป็นธรรม อันจะนำไปสู่ความสมานฉันท์ สันติสุข" 


กล่าวในอีกทางหนึ่ง ทั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์และกรรมการทั้งสองชุดมีสมมติฐานร่วมกันว่า ความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรงนั้น มีรากฐานมาจากความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย

ผู้เขียนไม่แน่ใจว่า สังคมไทยในปัจจุบันนั้นจะยังคงเชื่อถือในสมมติฐานดังกล่าวนี้มากน้อยเพียงใด เนื่องจากเรื่องราวและผลงานของกรรมการทั้งสองชุดไม่ได้รับการถกเถียงทางสาธารณะ 

ข้อมูลการสำรวจของ อาจารย์วรรณวิภางค์ มานะโชติพงษ์ คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมงานวิจัยเรื่องเหลือง-แดงร่วมกับผู้เขียน ชี้ว่าการที่คนเสื้อแดงมีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมต่ำกว่าเสื้อเหลืองนั้น ไม่ได้หมายความว่าความยากจนและความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเป็นสาเหตุที่จุดปะทุของความขัดแย้งทางการเมือง เรากลับพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามทั้งเสื้อแดง เสื้อเหลือง และผู้เป็นกลาง มีความเห็นสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันหมด คือค่อนข้างเห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อแก้ปัญหาความยากจนและปัญหาเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ 

กล่าวในรายละเอียดเรื่องความยากจนนั้น แม้กลุ่มเสื้อแดงมีแนวโน้มฐานะทางเศรษฐกิจสังคมต่ำกว่าเสื้อเหลือง แต่กลุ่มเสื้อแดงทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดที่ตอบแบบสอบถามกลับไม่ใช่กลุ่มที่เป็น กลุ่มจนที่สุด เนื่องจากกลุ่มที่เราไม่สามารถจำแนกได้ว่าเข้าข่ายสีใดทางการเมือง ซึ่งอาจเป็นกลุ่มที่ไม่มีความสนใจทางการเมืองเลยก็ได้ กลับเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มรายได้ต่ำกว่าทุกกลุ่มสีทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ดังนั้น เราจึงไม่อาจสรุปได้ว่าความยากจนเป็นสาเหตุของความเป็นเสื้อแดง 

ผู้วิจัยพบอีกว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นสีอะไร (51.5%) เห็นว่าช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนนั้น "ห่างมากแต่ยังพอรับได้"ส่วนผู้เห็นว่า "ห่างมากจนรับไม่ได้"มีเพียง 27.85% เท่านั้น ในหมู่คนกลุ่มนี้กลับปรากฏว่า คนเสื้อเหลืองมีแนวโน้มจะเห็นว่าช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนนั้น "ห่างมากจนรับไม่ได้"มากกว่าผู้ตอบแบบสอบถามที่เป็นคนเสื้อแดง 

ในทางตรงข้าม ผู้ที่ถูกเราจัดเป็นสีแดงแบบที่หนึ่ง ซึ่งเห็นว่าช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนนั้น "ไม่ห่างมาก กำลังพอดี"กลับมีมากกว่าสีอื่นๆ ทั้งหมด 

ข้อมูลข้างต้นถูกยืนยันอีกชั้นหนึ่งเมื่อใช้วิธีการทางสถิติเพื่อตรวจสอบว่า มีความแตกต่างของทัศนคติต่อเรื่องความเหลื่อมล้ำระหว่างกลุ่มแดงและกลุ่มเหลืองอย่างมีนัยยะสำคัญหรือไม่ วรรณวิภางค์พบว่าในเขตต่างจังหวัดนั้น มีเฉพาะกลุ่มที่ไม่เข้าข่ายสีใดทางการเมือง, กลุ่มเป็นกลาง, และกลุ่มเหลืองเฉดหนึ่งเท่านั้น ที่มีแนวโน้มจะเห็นว่าช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนนั้น "ห่างมากจนรับไม่ได้"มากกว่ากลุ่มเสื้อแดง ส่วนในเขต กทม.ผลปรากฏว่าทุกกลุ่มเฉดสีทางการเมือง (ยกเว้นกลุ่มที่ไม่เข้าข่ายสีใด) มีแนวโน้มจะเห็นว่า ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนนั้น "ห่างมากจนรับไม่ได้"มากกว่ากลุ่มเสื้อแดงเฉดหนึ่ง ดังนั้น ประเด็นความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจจึงไม่ใช่สาเหตุที่ลั่นไกความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างสี เนื่องจากความเหลื่อมล้ำนี้ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นปัญหาจนรับไม่ได้จากส่วนใหญ่ของกลุ่มเสื้อแดง ตรงข้าม ประเด็นนี้กลับถูกให้ความสำคัญมากกว่าจากกลุ่มเหลืองทั้งในต่างจังหวัดและกรุงเทพฯ 

สมควรกล่าวด้วยว่า ผลการศึกษาของวรรณวิภางค์ข้างต้น สอดรับกับข้อมูลที่ได้จากการสนทนากลุ่มของทีมวิจัย ซึ่งไม่พบเลยว่ามีผู้ใดเริ่มต้นพัฒนาความเป็นคนเสื้อแดงจากฐานปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ข้อมูลชี้ให้เห็นว่าส่วนใหญ่ของคนเสื้อแดงประเภท "ชาวบ้าน"หรือที่ทีมวิจัยจัดให้เป็นกลุ่ม "ชนชั้นกลางระดับล่าง"นั้นพัฒนาความเป็นแดงขึ้นมาจากการเป็นผู้ได้ประโยชน์โดยตรงจากนโยบาย "ประชานิยม"หรือนโยบายอื่น รวมทั้งความคล่องตัวทางเศรษฐกิจในยุครัฐบาลทักษิณ 

อย่างไรก็ตาม อาจมีผู้ถกเถียงว่า การที่คนเสื้อแดงเริ่มต้นความเป็นแดงจากการได้ประโยชน์โดยตรงจากนโยบายประชานิยมนั้น ก็ย่อมส่อนัยว่า ปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำนั้นน่าจะเป็นสาเหตุสำคัญของความขัดแย้งทางการเมืองในประเด็นนี้เราเห็นว่า ความยากจน ความเหลื่อมล้ำอย่างมากที่สุดก็เป็นเพียงปัจจัยที่จำเป็นแต่ไม่ใช่ปัจจัยเพียงพอที่จะก่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นได้ 

หากว่าความยากจนและความเหลื่อมล้ำเป็นทั้งปัจจัยจำเป็นและเพียงพอแล้ว สิ่งนี้ย่อมอธิบายไม่ได้ว่าทำไมความขัดแย้งทางการเมืองจึงเพิ่งมาปะทุขึ้นหลัง 2549 เป็นต้นมา ทั้งๆ ที่ปมปัญหานี้ดำรงอยู่ในสังคมมานานหลายสิบปีแล้ว 

หากผลการวิจัยของพวกเราสามารถสะท้อนความเป็นจริงได้โดยไม่คลาดเคลื่อนมากนักแล้ว ก็เป็นที่น่าเสียดายว่า ความพยายาม การลงแรง รวมทั้งงบประมาณกว่า 600 ล้านบาท ที่รัฐบาลอภิสิทธิ์อนุมัติให้กรรมการทั้งสองชุด เพื่อเสนอมาตรการปฏิรูปความเหลื่อมล้ำ โดยหวังว่าจะช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองเสื้อสีได้นั้น เป็นการลงทุนและลงแรงที่สูญเปล่า เนื่องจากเริ่มต้นการทำงานด้วยข้อสมมติฐานที่ผิดพลาดเสียแต่ต้นว่า ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ (และความยากจน) เป็นที่มาของความขัดแย้งเสื้อสี โปรดอย่าเข้าใจผิดว่า ผู้เขียนเห็นว่าระดับความเหลื่อมล้ำของสังคมไทยในปัจจุบันนั้น ไม่เป็นปัญหาหรือไม่มีผลเสียมากมายอะไร ตรงข้ามผู้เขียนเห็นว่าระดับความอยุติธรรมทางเศรษฐกิจของเรานั้นเป็นปัญหาใหญ่ 

ผู้เขียนเพียงแต่อยากชี้ว่า ต่อให้เราสามารถแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำได้แล้ว ซึ่งแม้จะเป็นเรื่องดีมากๆๆ ก็ตาม ความขัดแย้งทางการเมืองเสื้อสีก็จะยังคงดำรงอยู่ต่อไป
 

 

 

ที่มา:มติชนออนไลน์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประชุมใหญ่นปช.เลือก 'จตุพร'เป็นประธานใหม่ แต่เจ้าตัวขอเคลียร์คดีค้าง-ให้ธิดารักษาการไปก่อน

$
0
0

เว็บไซต์เดลินิวส์ รายงานว่า วันนี้ (1 ก.ค.) นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทยและแกนนำกลุ่ม นปช.เปิดเผยว่า วันที่ 29-30 มิ.ย.ที่ผ่านมา มีการประชุมใหญ่แกนนำ นปช.ทั้งหมดจากทั่วประเทศ ซึ่งเข้าพร้อมเพรียงทั้งนายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ และนางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ประธาน นปช.ที่เค รีสอร์ท ย่านรามอินทรา โดยมีมติเห็นชอบให้นายจตุพรขึ้นมาทำหน้าที่ประธาน นปช. เนื่องจากประเมินว่า 2-3 เดือนข้างหน้าสถานการณ์การเมืองจะวิกฤตแน่นอน เพราะขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์เคลื่อนไหวระดมคนในภาคใต้ขึ้นมาต่อสู้แล้ว ประกอบกลุ่มหน้ากากขาวก็เริ่มมีการขยายตัวและเข้ามาชุมนุมในกรุงเทพฯ หรือกรณีใช้องค์กรอิสระล้มรัฐบาล อย่างล่าสุดใช้เงื่อนไขโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ดังนั้นต้องเอาคนที่แข็งแกร่งขึ้นมานำทัพต่อสู้ ซึ่งนางธิดาก็ไม่ขัดข้อง
 
อย่างไรก็ตาม นายจตุพรชี้ว่ายังไม่รับตำแหน่งดังกล่าว โดยกล่าวกับประชาไทว่า ได้กล่าวกับที่ประชุมว่าขอเวลาในการสะสางภาระส่วนตัวซักช่วงหนึ่งแล้วจึงจะเข้ามารับภาระหน้าที่นี้ต่อจาก อ.ธิดา และกล่าวอีกว่าในวันพรุ่งนี้จะมีการประชุมกรรมการนปช.ต่อ และจะมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการในวันพุธที่ 3 ก.ค. ที่จะถึงนี้
 
นายวรชัย กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ที่ประชุม นปช.มีมติจะต่อสู้รักษา ปกป้องประชาธิปไตยและประชาชนอย่างเต็มที่ โดยจะเดินหน้ารักษาผลประโยชน์ประชาชนที่เกิดความสูญเสีย มีคดีความจากการต่อสู้ทางการเมืองให้ได้รับความเป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นการออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรมและการให้เงินเยียวยาจากรัฐบาล พร้อมกันนี้จะสนับสนุนให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด ไม่ว่าจะเป็นกรณีเสนอแก้ไขรายมาตราที่ยังไม่ได้มติวาระ 2 และ 3 หรือกรณีแก้ไขทั้งฉบับตาม มาตรา 291 ที่ยังค้างลงมติวาระ 3 ไม่ว่าฉบับใดถูกนำกลับเข้าสู่การพิจารณาของสภาก่อนเราก็สนับสนุนเต็มที่ โดย นปช.จะเดินสายพบปะประชาชนทั่วประเทศเพื่อทำความเข้าใจในประเด็นเหล่านี้
 
“ส่วนการปรับ ครม.ที่ไม่มีชื่อนายจตุพร เป็นรัฐมนตรี แกนนำ นปช.ไม่ได้พูดถึง เรายอมรับอำนาจการตัดสินใจของนายกฯ และการประชุมแกนนำ นปช.นัดหมายก่อนปรับ ครม.นานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งนัดเมื่อนายจตุพรไม่ได้ตำแหน่ง แต่การปรับ ครม.ครั้งนี้มีประชาชนจำนวนมากสะท้อนผ่านผู้แทนฯ ว่าดูเหมือนรัฐบาลถอยทางการเมืองหรือไม่ เพราะเอาคนอย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ออกจากรองนายกฯ ไปนั่งรมว.แรงงาน หรือคุณจาตุรนต์ ฉายแสง ไปเป็น รมว.ศึกษาธิการ ซึ่งไม่ใช่ตำแหน่งที่จะตอบโต้หรือชี้แจงแทนนายกฯ เหมือนตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี อย่างคุณจาตุรนต์ ผมว่าสามารถให้ควบตำแหน่งรองนายกฯ เพื่อคอยชี้แจง ตอบโต้ทางการเมืองด้วยได้ แต่เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ต่อไปการต่อสู้ทางสภาฯ ของฝ่ายรัฐบาลต้องถอยแน่นอน ขณะที่เกมในสภาของพรรคประชาธิปัตย์รอบจัด เขี้ยวลากพื้น” นายวรชัย กล่าว
 
นายวรชัย ยังกล่าวถึงแรงกระเพื่อมภายในพรรคเพื่อไทย หลังปรับ ครม.ว่า จะไม่กลายเป็นความขัดแย้งภายในพรรค เพราะเมื่อปรับแล้วรัฐบาลก็ต้องเดินหน้าต่อ แต่ผู้ใหญ่ในพรรคควรจะเข้ามารับฟังเสียงสะท้อนของส.ส.และชี้แจงสิ่งที่เกิดขึ้นบ้าง ถึงเหตุผลในการปรับ ครม.และการจัดวางตัวบุคคลเป็นรัฐมนตรี เพราะการปรับ ครม.เกิดขึ้นโดยไม่มีใครรู้ตัว จึงอาจทำให้มีความไม่เข้าใจอยู่บ้าง เพราะไม่ได้พูดคุยกันมาก่อน และส.ส.ก็มาจากประชาชนหลังฟังคำชี้แจงแล้วจะได้กลับไปตอบคำถามประชาชนในพื้นที่ได้.
 
นายสลักธรรม โตจิราการ บุตรชายของธิดา ฐาวรเศรษฐ ได้โพสต์ทางเฟซบุ๊กส่วนตัวราวเวลา 16.00 น. ของวันนี้ว่า ในที่ประชุมนปช. ครั้งล่าสุด ธิดาเห็นว่าน่าจะมอบตำแหน่งประธานนปช.ให้แก่ผู้อื่น เนื่องจากได้ปฏิบัติงานมากว่าสองปีแล้ว ที่ประชุมจึงได้เห็นชอบมอบตำแหน่งประธานให้แก่นายจตุพร อย่างไรก็ตาม เขาเกรงว่าตนเองยังมีคดีและเรื่องราวที่คั่งค้างอยู่ อาจถึงขั้นต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำอีกรอบ ซึ่งเป็นอุปสรรคการดำรงตำแหน่งประธาน นปช. และการขับเคลื่อนการต่อสู้ จึงขอให้ธิดาเป็นประธานรักษาการไปก่อน 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กขช. มีมติคงราคาจำนำข้าว 15,000 บาท จนถึง 15 ก.ย.

$
0
0

คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติมีมติให้คงราคาจำนำข้าวที่ 1.5 หมื่นบาท/ตัน ถึง 15 ก.ย. 56 จำกัดวงเงินไม่เกินครัวละ 5 แสนบาท หลังสามสมาคมชาวนายื่นให้ทบทวนมติลดราคาจำนำข้าวเหลือ 1.2 บาท/ตัน 

 
1 ก.ค. 56 - เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์รายงานว่า คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.)  ที่มี นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เป็นประธาน มีการประมีการพิจารณาวาระสำคัญตามที่ 3 สมาคมชาวนา ซึ่งประกอบด้วย สมาคมชาวนาไทย, สมาคมส่งเสริมชาวนาไทย และสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ยื่นหนังสือเปิดผนึกถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 มิถุนายนที่ผ่านมา เพื่อขอให้ กขช. ทบทวนมติที่ประชุมเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ที่ผ่านมา ที่เห็นชอบให้ปรับลดราคารับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ฤดูกาลผลิตปี 2555/2556 ค่าความชื้น 15% จาก 15,000 บาท/ตัน เหลือ 12,000 บาท/ตัน โดยเรียกร้องให้ กขช.ทบทวนกลับไปใช้ราคารับจำนำข้าวที่ 15,000 บาท/ตัน ตามเดิม จนกว่าจะสิ้นสุดฤดูกาลผลิตข้าวในรอบนี้
 
โดยกขช.มติให้กลับไปใช้เงื่อนไขโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ฤดูกาลผลิตปี 2555/2556 (นาปรัง) ของรัฐบาลมาใช้รูปแบบเดิมที่ราคาตันละ 15,000 บาท คงราคารับจำนำข้าวเปลือกเจ้า 100 เปอร์เซนต์ ที่ความชื้น 15% และข้าวชนิดอื่น ๆ กลับมาที่ราคาเดิมเช่นกัน โดยจะรับจำนำเฉพาะปริมาณที่ไม่เกินที่ระบุในใบรับรองเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเท่านั้น ในวงเงินไม่เกิน 500,000 บาทต่อครัวเรือน ตามมติ กขช.เดิม
 
ทั้งนี้เนื่องจากเมื่อวันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา เป็นวันสิ้นสุดการขึ้นทะเบียนเกษตรกรในฤดูกาลผลิตดังกล่าว พบว่ามีเกษตรกรขึ้นทะเบียนกว่า 200,000 คน มีปริมาณข้าว 2.9 ล้านตัน ถือว่าอยู่ในกรอบที่รัฐบาลกำหนดไว้ ซึ่งโครงการรับจำนำดังกล่าวจะสิ้นสุดในวันที่ 15 ก.ย. 2556 ยกเว้นพื้นที่ภาคใต้สิ้นสุดวันที่ 30 พ.ย.2556 โดยการขึ้นทะเบียนกษตรกรเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและชัดเจนผู้ที่มีสิทธิรับจำนำอยู่ในจำนวนที่รัฐบาลสามารถดูแลโครงการรับจำนำได้ไม่เกินกรอบที่รัฐบาลกำหนดไว้ 500,000 ล้านบาท
 
ส่วนโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ฤดูกาลผลิตปี 2556/2557 ที่ประชุม กขช.จะมีการพิจารณาความเหมาะสมอีกครั้งต่อไป โดยจะนำเสนอมติ กขช.ให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาในวันที่ 2 ก.ค.นี้
 
นายกิตติรัตน์ กล่าวอีกว่า กขช.ยังมีมติให้เพิ่มช่องทางและเพิ่มประสิทธิภาพการระบายข้าวในสต๊อกของรัฐบาลช่วงครึ่งปีหลังด้วยการขายข้าวเป็นการทั่วไปให้ผู้ประกอบการในประเทศ เพื่อการส่งออกยังต่างประเทศหรือจำหน่ายภายในประเทศ ทั้งข้าวหอม ข้าวเหนียวและข้าวขาว ข้าวเปลือก ในส่วนของปริมาณข้าวในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลฤดูกาลผลิตปี 2555/2556 (นาปรัง) และ ฤดูการผลิตปี 2556/2557 (นาปี) จากปัจจุบันที่ดำเนินการอยู่ในการเพิ่มกลุ่มประเทศส่งออกข้าวใหม่และปริมาณขายข้าวเพิ่มขึ้น ด้วยรูปแบบช่องทางเดิมการเจรจาขายแบบรัฐต่อรัฐ (G To G ) และร่วมกับภาคเอกชนผู้ส่งออกข้าวในการนำข้าวสารส่งออกให้มีความสม่ำเสมอมากขึ้น โดยเฉพาะข้าวเปลือกจะนำมาแปรรูปเป็นข้าวนึ่ง โดยมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ดำเนินการต่อไป
 
ด้าน นายวิเชียร พวงลำเจียก นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย กล่าวว่า ดีใจกับการตัดสินใจของรัฐบาล ที่เห็นชอบให้รับจำนำข้าวเปลือกที่ตันละ 1.5 หมื่นบาท ต่อไป จนถึงสิ้นฤดูการผลิตในเดือนก.ย. และในวันที่ 2 ก.ค.นี้ตัวแทนชาวนาจะขอเข้าพบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อให้กำลังใจ กรณีที่รัฐบาลรวมถึงคณะรัฐมนตรี ได้ตัดสินใจอย่างถูกต้อง ในการช่วยเหลือชาวนา
 
"ขอยืนยันว่าชาวนาจะสนับสนุนพรรคเพื่อไทยต่อไป เพราะที่ผ่านมามีแต่พรรคเพื่อไทยเท่านั้น ที่กล้าลงมาช่วยเหลือ  ชาวนาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยไม่เกรงกลัวว่า จะถูกพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามจ้องเล่นงาน"นายวิเชียรกล่าว   
 
อย่างไรก็ตามชาวนาเข้าใจและเห็นใจการทำงานของพรรคเพื่อไทยด้วยมีหลายฝ่ายทั้งกลุ่มนายทุน และนักการเมืองที่เสียผลประโยชน์จากโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลและเพียรพยายามจะล้มโครงการนี้ให้ได้
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ปาฐกถาณัฐพล ใจจริง "ชีวประวัติของพลเมืองไทยฯ"

$
0
0

คลิปการปาฐกถา "ชีวประวัติของพลเมืองไทย : กำเนิดพัฒนาการและอุปสรรคกับภาระกิจการปกป้องประชาธิปไตย (2475 - ปัจจุบัน)"โดย อ.ดร.ณัฐพล ใจจริง เมื่อ 24 มิถุนายน 2556 ที่สถาบันปรีดี พนมยงค์

เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. ที่ผ่านมา เนื่องในโอกาสครบรอบ 81 ปี การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 ที่หอประชุมพูนศุข พนมยงค์ สถาบันปรีดี พนมยงค์ ซอยทองหล่อ กรุงเทพมหานคร มีการแสดงปาฐกถาปรีดี พนมยงค์ ประจำปี 2556 โดย ดร. ณัฐพล ใจจริง อาจารย์ประจำสาขาวิชาการปกครองท้องถิ่น ภาควิชาสังคมศาสตร์ คณะ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา โดยหัวข้อการปาฐกถาคือ"ชีวประวัติของพลเมืองไทย : กำเนิดพัฒนาการและอุปสรรคกับภาระกิจการปกป้องประชาธิปไตย (2475 - ปัจจุบัน)"

ทั้งนี้ณัฐพลระบุว่าเป้าหมายของบทความดังกล่าว คือ บททดลองการนำเสนอประวัติศาสตร์สามัญชน เพื่อคืนตำแหน่งแห่งที่ของสามัญชน กลับสู่ประวัติศาสตร์ไทย หรือคืนบทบาทพลเมืองกลับสู่ประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทย ด้วยการพยายามฉายภาพความเป็นมาของสถานะของผู้คนที่อาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้ ภายใต้การปกครองตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงปัจจุบันว่าเป็นเช่นไร ตลอดจนให้ภาพวิถีชีวิตของผู้คนในอดีตและความยากลำบากในการเปลี่ยนแปลงสถานะหนึ่งไปสู่อีกสถานะหนึ่ง เช่น "ไพร่""ราษฎร"ที่ต่ำต้อย มาสู่ "พลเมือง"ผู้ทรงคุณค่าเป็นผู้มีเสรีภาพและความเสมอภาคภายใต้ระบอบประชาธิปไตย รวมทั้งการเรียกร้องให้พลเมืองมีความตระหนักในการพิทักษ์ปกป้องประชาธิปไตย ซึ่งเป็นระบอบการปกครองที่อำนวยถึงความเป็นคนให้กับสมาชิกทุกคนในชุมชนทางการเมืองเหมือนดังคำกล่าวที่ว่า "พลเมืองเท่ากับความเป็นคน"

ณัฐพล ระบุในปาฐกถาว่า ในประเทศประชาธิปไตย การเขียนถึงประวัติศาสตร์สามัญชน ผู้มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เป็นเรื่องปกติ ขณะที่ของไทยนั้นยากจะปรากฏ ทั้งมีงานเขียนประวัติศาสตร์มหาบุรุษ เข้ามาครองพื้นที่ความรู้อย่างมากในสังคมไทย โดยงานเขียนชนิดนี้ถูกคนชั้นปกครองใช้ครอบงำผู้ถูกปกครองให้จำนนและเจียมตัวให้สมฐานะแห่งตน จนอาจเกิดคำถามถึงผลกระทบของความรู้เช่นนี้ที่มีต่อความมั่นคงและความยั่งยืนของประชาธิปไตยไทย

หากความมั่นคงและยั่งยืนของระบอบประชาธิปไตยไทยตั้งอยู่บนความรู้ความเข้าใจ ความภูมิใจและการตระหนักในความสำคัญของคนทุกคนในฐานะผู้ที่ทรงไว้ซึ่งอำนาจอธิปไตย ที่มีสิทธิและหน้าที่แล้วไซร้ หน้าที่ประการหนึ่งที่พลเมืองในสังคมประชาธิปไตยทุกคนพึงมีคือการพิทักษ์ปกป้องระบอบประชาธิปไตย ดังนั้น หนึ่งในหนทางในการธำรงความมั่นคงให้กับระบอบการปกครองดังกล่าว คือ การส่งเสริมการสร้างความรู้ความเข้าใจในที่มาแห่งตน ความยากลำบากในการเปลี่ยนแปลงสถานะจากความต่ำต้อยสู่เสรีภาพและความเสมอภาคของผู้คนให้กับพลเมือง หรือการเขียนประวัติศาสตร์ไทยให้สอดคล้องกับสังคมประชาธิปไตยด้วย

ในวาระสำคัญแห่งการรำลึกถึง 8 ทศวรรษ 2475 และ 4 ทศวรรษ 14 ตุลาคม 2516 จึงดูเหมือนไม่มีหัวข้อใดที่เหมาะสมไปกว่าการกล่าวถึงชีวประวัติพลเมืองไทย ที่พยายามให้ภาพความเป็นมาของสามัญชนไทยผู้เคยเดินผ่านความขมขื่น ความเบิกบาน ความทุกข์ระทมที่แปรเปลี่ยนไปตามบริบทการเมืองการปกครองในแต่ละยุคสมัย

ในตอนท้ายของปาฐกถา ณัฐพลกล่าวว่า มีคำถามมากมายเกี่ยวกับอะไร คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดขบวนการพลเมืองผู้พิทักษ์ประชาธิปไตย อย่างการเคลื่อนไหวของพวกเสื้อแดงที่สร้างแนวอย่างร่วมกว้างขวางภายหลังการรัฐประหาร 2549 มีงานที่วิจัยศึกษาพบว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้พวกเขาเกิดสำนึกพลเมืองอย่างเข้มข้น เนื่องจากพวกเขาเล็งเห็นถึงคุณค่าของระบอบประชาธิปไตย จึงต้องการต่อสู้เพื่อยืนยันสิทธิและศักดิ์ศรีของความเท่าเทียมทางการเมืองภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ที่ทำให้พวกเขาได้มีโอกาสทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมผ่านการเลือกตั้ง

และหากจะการถามถึงสภาพความทางการเมืองของไทยในช่วงที่ผ่านมาว่าเกิดจากสาเหตุอะไร ได้มีนักวิชาการเสนอสาเหตุไว้ 3 ประการดังนี้ ก็คือ หนึ่ง สังคมไทยได้เกิดพลังทางการเมืองใหม่ที่สนับสนุนประชาธิปไตย คือพวกเสื้อแดง ซึ่งประกอบขึ้นมาจากผู้คนที่มาจากชนบทเป็นส่วนใหญ่ สอง กลุ่มอภิชนคนชั้นสูงหรือพวกอำมาตย์ ไม่ยอมปรับตัวตามความเปลี่ยนแปลงของโลก ที่เคลื่อนเข้าสู่กระแสประชาธิปไตย แต่คนเหล่านี้ยังต้องการบงการระบอบการปกครองของไทยต่อไป สาม ความไม่แน่นอนทางการเมือง และปัญหาผู้สืบทอดในช่วงปัจจุบัน

เป็นเวลากว่า 80 ปี ที่สถานะความเป็นพลเมือง และสำนึกความเป็นพลเมืองได้ถือกำเนิดขึ้นจากการปฏิวัติ 2475 ซึ่งได้สถาปนาระบอบประชาธิปไตย และหลักการสำคัญขึ้นในประเทศว่า อำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย ระบอบการปกครองนี้ได้ยืนยันหลักเสรีภาพ สิทธิ และความเสมอภาคให้กับทุกคน และยกสถานะให้ทุกคนพ้นจากการเป็นคนที่ถูกปกครองมาสู่พลเมืองผู้เป็นเจ้าของประเทศ เป็นผู้มีเสรีภาพ และสิทธิอย่างเต็มเปี่ยมในการปกครองและการกำหนดทิศทางของประเทศร่วมกัน

อย่างไรก็ตาม จากการที่ได้ให้ภาพมาตั้งแต่ต้น เส้นทางชีวิตของพลเมืองและระบอบประชาธิปไตยมิได้มีความราบรื่น แต่ต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคาม อุปสรรคนานัปการ จากกลุ่มอภิชนคนชั้นสูงและกองทัพที่มักเข้ามาทำลายระบอบประชาธิปไตย และลดสถานะความสำคัญของพลเมืองลงหลายครั้ง และหลายครั้งที่ผ่านมา พลเมืองก็พ่ายแพ้ และสูญเสียชีวิต แต่ก็มีบางครั้งที่พลเมืองสามารถทัดทานอำนาจของกลุ่มอภิชนคนชั้นสูงได้บ้าง ถึงกระนั้นก็ดีการประลองกำลังของฝ่ายนิยมประชาธิปไตยกับอภิชนาธิปไตยในสังคมไทยยังไม่สิ้นสุดลง ดังนั้น บนหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ของไทยที่มีสามัญชนเป็นตัวเดินเรื่องจึงเป็นเพียงหน้าแรกๆ ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับเหล่าพลเมืองที่จะมีส่วนร่วมกันในการเขียนประวัติศาสตร์สามัญภายใต้สังคมประชาธิปไตย ท่ามกลางกระแสของการประลองกำลังทั้งสองฝ่าย จึงไม่มีสิ่งใดประกันความปลอดภัยให้กับสถานะพลเมืองของเราท่านได้ นอกจากเราท่านทั้งหลายจะต้องไม่ประมาท มีความตระหนักรู้เท่าทัน และสั่งสมพลังเพื่อพิทักษ์ระบอบประชาธิปไตยของไทยต่อไป

ดังคำกล่าวที่สำคัญของรุสโซที่ว่า "การดำรงระบอบประชาธิปไตยไม่ให้เป็นอื่นนั้น จำต้องมีพลเมืองที่ระวังระไวและเข้มแข็ง พลเมืองต้องสั่งสมพลังและความหนักแน่น เพื่อไว้ใช้เป็นอาวุธและป้องกันรักษาระบอบนี้"

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลฎีกาไม่ให้ประกันคดี 112 'เอกชัย'คนขายซีดีABC – เปิดคำอุทธรณ์สู้คดี

$
0
0

 

1 ก.ค.56 นายอานนท์ นำภา ทนายความของนายเอกชัย (สงวนนามสกุล) จำเลยคดีมาตรา 112 จากกรณีจำหน่ายซีดีสารคดีการเมืองไทยที่จัดทำโดยสถานีโทรทัศน์เอบีซี ประเทศออสเตรเลีย และเอกสารวิกิลีกส์ ระบุว่า เอกชัยถูกพิพากษาจำคุก 3 ปี 4 เดือน เมื่อ 28 มี.ค.56 และถูกควบคุมตัวในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในเวลาต่อมาทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้ปฏิเสธคำร้องขอประกันตัวจำเลย ทนายจึงได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาและในวันนี้ (1 ก.ค.) ศาลฎีกาได้มีคำสั่งปฏิเสธให้ประกันตัวเนื่องจากเกรงจำเลยจะหลบหนี

"พิเคราะห์แล้ว ตามพฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง หากปล่อยชั่วคราวจำเลยอาจหลบหนี ที่ศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง"ศาลฎีการะบุ

 

ภาพจากเฟซบุ๊ค อานนท์ นำภา

ทั้งนี้ ในการยื่นคำร้องขอประกันตัวต่อศาลฎีกานั้นได้ยื่นพร้อมกับวิดีทัศน์สัมภาษณ์บิดาวัย 80 ปี มารดาวัย 78 ปี ของเอกชัยถึงความยากลำบากในการดำรงชีวิต ประกอบกับใบรับรองแพทย์เกี่ยวกับโรคพาร์คินสันของบิดา และการผ่าตัดสะโพกที่ทำให้มารดาของเขาเดินไม่ได้

ส่วนสาระสำคัญของคำร้องขอประกันตัวของจำเลยนั้นระบุว่าจำเลยได้วางหลักทรัพย์เป็นเงินสดจำนวน 500,000 บาทรวมทั้งโฉนดที่ดินย่านคลองจั่นมูลค่า 582,400 บาท พร้อมแถลงถึงเหตุแห่งความจำเป็นทางศีลธรรมจรรยาในฐานะบุตรที่มีภาระที่ต้องดูแลบิดามารดาที่แก่ชรา ที่ผ่านมาจำเลยยังเคยได้รับการปล่อยชั่วคราวระหว่างพิจารณาคดี ไม่มีพฤติการณ์หลบหนี และต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม การที่ก่อนหน้านี้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า “หากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวไม่เชื่อว่าจำเลยจะไม่หลบหนี” นั้นจึงเป็นคำวินิจฉัยที่ไม่มีข้อเท็จจริงอันเป็นข้ออ้างประกอบคำวินิจฉัย ทั้งศาลชั้นต้นก็ได้มีคำพิพากษาจำคุกจำเลยในอัตราโทษ 3 ปี4เดือน อันมิใช่อัตราโทษที่สูง จำเลยต่อสู้คดีโดยได้นำสืบถึงเจตนาอันบริสุทธิ์ต่อสถาบันกษัตริย์มาโดยตลอด เมื่อพิจารณาพฤติการณ์แห่งคดีจำเลยก็เป็นเพียงประชาชนผู้นำเสนอข่าวสาร มิได้เป็นผู้จัดทำหรือเป็นแกนนำปราศรัยทางการเมือง ขณะนี้จำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ทั้งประเด็นข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว แต่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์อาจต้องใช้ระยะเวลานาน จึงขอให้ศาลพิจารณาปล่อยชั่วคราวระหว่างการต่อสู้คดี

ผู้สื่อข่าวยังรายงานเพิ่มเติมถึงการอุทธรณ์คดีของนายเอกชัยว่า ทนายได้ยื่นอุทธรณ์โต้แย้งในคำพิพากษาศาลชั้นต้น สรุปได้ 5 ประเด็น ได้แก่ 1.ความผิดฐานจำหน่ายวิดีทัศน์ 2.ความผิดฐานหมิ่นประมาทกษัตริย์ 3.โต้แย้งการตีความเนื้อหาบางฉากตอนที่ปรากฏในสารคดีและเอกสารวิกิลีกส์ 4.เจตนาของจำเลย 5.การลงโทษเรียงตามกระทง

1.ความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ภาพยนตร์ คำร้องอุทธรณ์ระบุว่า ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดฐานประกอบธุรกิจจำหน่วยวิดีทัศน์หรือซีดีโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามมาตรา 54 พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวิดีทัศน์ 2551 ศาลชั้นต้นปรับบทกฎหมายผิดพลาดคลาดเคลื่อน เพราะหากดูตามนิยามใน พ.ร.บ.ดังกล่าว ซีดีที่จำเลยจำหน่ายไม่เข้านิยาม "วิดีทัศน์"แต่เข้าข่ายซีดี “ภาพยนตร์” การที่ศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยตาม มาตรา 54ประกอบมาตรา 82 ฐานประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายวีดีทัศน์โดยทำเป็นธุรกิจหรือได้รับประโยชน์ตอบแทน โดยไม่ได้รับอนุญาต จึงเป็นการปรับใช้กฎหมายที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน และเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ได้ขอมาในคำขอท้ายฟ้องให้ลงโทษจำเลยในฐานความผิดนี้ ประกอบกับจำเลยขายซีดีแผ่นละ 20 บาท ขายมาเพียงแค่สองครั้ง เดินขายโดยไม่ได้ผลกำไร ซึ่งจำเลยได้ให้การไว้ทั้งในชั้นสอบสวนและชั้นศาลแล้วว่าต้องการเผยแพร่ข้อมูลของสำนักข่าวเอบีซีเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงไม่เข้าข่ายความผิด

2.ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 คำร้องอุทธรณ์ระบุว่า ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยโดยหยิบยกข้อกฎหมายประกอบการวินิจฉัยและตีความกฎหมายผิดพลาดคลาดเคลื่อนในสาระสำคัญ เนื่องจากคำพิพากษาอ้างถึงรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 2 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย มาตรา 8 บัญญัติว่า องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ มาตรา 70 บุคคลมีหน้าที่รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มาตรา 77 บัญญัติว่า ต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมถึงมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา แล้วสรุปว่า "ย่อมเห็นได้โดยชัดแจ้งว่า องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นทรงดำรงอยู่ในฐานะพระประมุขของประเทศ เป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะล่วงละเมิดหรือใช้สิทธิเสรีภาพให้เป็นปฏิปักษ์ในทางหนึ่งทางใดมิได้ ทั้งรัฐและประชาชนต่างมีหน้าที่ต้องรักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ดำรงอยู่คู่ประเทศตลอดไป ไม่เพียงแต่ในกฎหมายแม้ในความรู้สึกนึกคิดของประชาชนชาวไทยอันมีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ให้ความเคารพสักการะเทิดทูนไว้เหนือเกล้าตลอดมาตั้งแต่โบราณกาล การที่จะกล่าววาจาจาบจ้วงล่วงเกินเปรียบเทียบเปรียบเปรยหรือเสียดสีให้เป็นที่ระคายเคืองต่อเบื้องพระยุคลบาทนั้น อาจทำได้ไม่” คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยดูหมิ่น หมิ่นประมาทสมเด็จพระราชินีและรัชทายาท อันมิได้เกี่ยวข้องพาดพิงกับพระมหากษัตริย์ หรือสถาบันพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด ทั้งนี้ เนื่องจากเนื้อหาในแผ่นซีดีและในเอกสารวิกิลีกส์พาดพิงถึงพระราชกรณียกิจสมเด็จของพระราชินีและองค์รัชทายาทเพียงสองพระองค์ อันเป็นบทบัญญัติแห่งความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาที่มุ่งหมายคุ้มครองตัวบุคคลโดยตรง หาได้มุ่งหมายที่จะคุ้มครอง “สถาบันกษัตริย์” แต่อย่างใด การที่ศาลชั้นต้นยกบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญข้างต้นขึ้นประกอบการวินิจฉัยจึงเป็นการยกข้อกฎหมายที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นแห่งคดี ทั้งศาลยังได้หยิบยกข้อเท็จจริงนอกสำนวนขึ้นวินิจฉัยกล่าวคือ “ความรู้สึกนึกคิดของประชาชนชาวไทยอันมีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ให้ความเคารพสักการะเทิดทูนไว้เหนือเกล้าตลอดมาตั้งแต่โบราณกาล” ในประเด็นนี้โจทก์ไม่ได้นำสืบไว้ในชั้นพิจารณาแต่อย่างใด ทั้งต้องห้ามมิได้รับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอีกด้วย ซึ่งย่อมทำให้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นเป็นคำพิพากษาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

3.คำร้องอุทธรณ์ในส่วนนี้โดยสรุปเป็นการโต้แย้งการตีความเนื้อหาของสารคดี/เอกสารวิกิลีกส์ในหลายช่วงตอน เนื่องจากในคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยเอาผิดจำเลย โดยอาศัยข้อเท็จจริงจากคำเบิกความบางส่วนของพยานโจทก์ที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ โดยคำร้องได้อธิบายยืนยันการตีความเช่นเดียวกับที่นำสืบในศาลชั้นต้นอีกครั้ง พร้อมระบุด้วยว่า เมื่อพิจารณาถึงสารคดีข่าวทั้งสารคดีโดยไม่เลือกตัดตอนเพียงข้อความตอนใดตอนหนึ่ง ย่อมจะเห็นได้ว่าเนื้อหาสาระในสารคดีข่าวนั้นไม่เป็นความผิดต่อกฎหมายแต่ประการใด ทั้งพยานโจทก์ทุกปากเบิกความตอบทนายความจำเลยถามค้านเกี่ยวกับข้อเท็จจริงในเนื้อหาแห่งข้อความ มักตอบคำถามว่า “ไม่ทราบ” ในข้อเท็จจริงนั้นๆ แต่กลับเบิกความให้ความเห็นไปในทางที่มีผลร้ายต่อจำเลย ย่อมแสดงให้เห็นว่า พยานโจทก์ทุกปาก แม้จะเป็นเจ้าพนักงานตำรวจแต่ก็ไม่มีความรู้ในข้อเท็จจริง ทั้งยังมีเจตคติที่หวาดกลัวต่อการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ คำเบิกความของพยานโจทก์ทุกปากจึงไม่อาจรับฟังได้ การที่ศาลจะรับฟังพยานในชั้นพิจารณา พยานนั้นต้องให้การหนักแน่น เป็นเหตุเป็นผล และเข้าเบิกความด้วยความเป็นกลาง แต่สำหรับคดีนี้ พยานโจทก์ตกอยู่ในความหวาดกลัวหวาดระแวงต่อพระราชอำนาจและแบกรับความกดดันทางสังคม ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กลับทรงมีพระราชดำรัสเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2548 เกี่ยวกับการดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่าพระองค์ไม่ทรงเห็นด้วย เพราะจะเป็นการส่งผลเสียต่อสถาบันกษัตริย์เสียเอง ถ้อยคำสำนวนของพยานโจทก์ทุกปากในคดีนี้จึงไม่อาจรับฟังได้

4.เรื่องเจตนาของจำเลย คำร้องอุทธรณ์ระบุว่า ศาลชั้นต้นได้รับฟังและยกข้อเท็จจริงแวดล้อมในหลายประการเพื่อจะชี้เจตนาที่แท้จริงของจำเลยอันเป็นข้อเท็จจริงที่เลื่อนลอยและยังได้วินิจฉัยในข้อกฎหมายที่ขัดกับหลักกฎหมายอาญาในสาระสำคัญเกี่ยวกับองค์ประกอบเรื่องเจตนาแห่งการกระทำของจำเลยอีกด้วย โดยคำพิพากษาตอนหนึ่งระบุว่า “เห็นว่าจำเลยมีเจตนาหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นหรือไม่ ต้องดูความเข้าใจของวิญญูชนโดยทั่วไปที่ได้อ่านข้อความนั้น มิใช่ตามความเข้าใจหรือความรู้สึกของจำเลย...” อย่างไรก็ตาม ในคดีอาญา การจะพิจารณาว่าการกระทำใดเป็นความผิดทางอาญาหรือไม่นั้นต้องพิจารณาจากเจตนาที่อยู่ภายในจิตใจของจำเลยเป็นหลัก หากจำเลยไม่มีเจตนาก็ย่อมไม่มีความผิด ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 59 ส่วนการจะพิจารณาถึงเจตนาซึ่งเป็นเรื่องที่อยู่ภายในจิตใจต้องดูจากพฤติการณ์ของการกระทำและองค์ประกอบแวดล้อมอื่นๆ ประกอบ แต่ในคดีนี้ศาลชั้นต้นกลับวินิจฉัยว่า การพิจารณาเจตนาของจำเลยไม่อาจพิจารณาตามความเข้าใจของจำเลยได้ แต่ต้องดูความเข้าใจของ “วิญญูชน” อีกทั้งคดีนี้โจทก์ไม่ได้นำสืบถึงความเข้าใจของ “วิญญูชน” เนื่องจากไม่ได้นำพยานบุคคลอื่นนอกจากเจ้าพนักงานตำรวจ ซึ่งย่อมไม่ใช่ตัวแทนของวิญญูชน การกล่าวอ้างความเข้าใจของ “วิญญูชน” ในคำพิพากษา จึงเป็นความเข้าใจตามมาตรฐาน “ส่วนตัว” ของผู้พิพากษาในคดีนี้เท่านั้น ในขณะเดียวกันศาลชั้นต้นกลับมิได้กล่าวไว้ในคำพิพากษาให้ชัดเจนว่า เนื้อหาส่วนใดในซีดีและเอกสารที่ทำให้พระราชินีและรัชทายาทเสื่อมเสีย และเสื่อมเสียอย่างไร อันเป็นคำวินิจฉัยที่ไม่ได้แสดงข้อเท็จจริงและเหตุผลประกอบการวินิจฉัย นอกจากนี้การพิจารณามาตรฐานของ “วิญญูชน” นั้น เป็นหลักการที่ปรากฏในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่หลักในคดีอาญานั้นแตกต่างกัน เพราะเป็นเรื่องของสิทธิเสรีภาพของจำเลย ความรับผิดของจำเลยในคดีอาญาต้องพิจารณาที่ “เจตนา” ของจำเลย ด้วยเหตุนี้ คำว่ามาตรฐานของ “วิญญูชน” จึงไม่อาจนำมาปรับใช้กับคดีอาญา นอกจากนี้คดีนี้โจทก์นำสืบเพียงว่า จำเลยได้จำหน่ายซีดีและเอกสารในการพื้นที่การชุมนุมของกลุ่มแดงสยาม ลำพังเพียงข้อเท็จจริงนี้ไม่อาจรับฟังประกอบเป็นพฤติการณ์แวดล้อมที่ชี้เจตนาของจำเลยว่าประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นต่อผลเพื่อจะดูหมิ่น หมิ่นประมาท สมเด็จพระราชินีหรือองค์รัชทายาท ประกอบกับการตรวจสอบบ้านพักของจำเลยรวมทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ของจำเลยก็ไม่ปรากฏว่ามีข้อบ่งชี้ใดที่แสดงให้เห็นเป็นที่แวดล้อมได้ว่าจำเลยมีเจตนาที่เป็นปฏิปักษ์ต่อทั้งสองพระองค์ หรือเพียงพอให้เห็นว่าจำเลยน่าจะจำหน่ายซีดีของกลางและเอกสารวิกิลีกส์โดยมีเจตนาประสงค์หรือย่อมเล็งเห็นผล ในทางตรงกันข้ามจำเลยกลับเลือกที่จะนำเสนอข้อมูลจากสาระคดีข่าวของสำนักข่าวเอบีซีของประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นสำนักข่าวที่มีความน่าเชื่อถือ ทั้งเมื่อพิจารณาเนื้อหาทั้งสารคดีข่าวแล้วก็เป็นการนำเสนอข้อเท็จจริงอย่างรอบด้านเป็นในเชิงวิชาการ ไม่ได้มีถ้อยคำสำนวนหยาบคาย ใส่ร้ายป้ายสีหรือนำเสนอข้อมูลอันเป็นเท็จแต่อย่างใด เอกสารวิกิลีกส์ก็เป็นเอกสารที่มีความน่าชื่อถือเนื่องจากเป็นเอกสารที่ได้จากการสัมภาษณ์บุคคลสำคัญของประเทศไทย ทั้งพยานโจทก์ทุกปากก็ได้เบิกความถึงพฤติการณ์แวดล้อมในสถานการณ์ทางการเมืองในห้วงเวลาที่ถูกกล่าวถึงทั้งในซีดีและเอกสารวิกิลีกส์ ทั้งหมดย่อมเป็นเครื่องชี้ให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยที่ต้องการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น นำเสนอข้อมูลที่เป็นกลางและเป็นธรรมให้กับประชาชนโดยทั่วไป

5.การวินิจฉัยลงโทษเรียงตามกระทงความผิด คำร้องอุทธรณ์ระบุว่า แม้ศาลชั้นต้นจะรับฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง แต่การวินิจฉัยโดยลงโทษจำเลยเรียงตามกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 นั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะความผิดฐานหมิ่นประมาทพระราชินีหรือรัชทายาทจะเป็นความผิดสำเร็จก็ต่อเมื่อข้อความที่ดูหมิ่น หมิ่นหมิ่นประมาทนั้นถูกเผยแพร่ออกไปยังบุคคลที่สามแล้ว และความผิดฐานจำหน่ายวีดีทัศน์โดยไม่ได้รับอนุญาตจะเป็นความผิดสำเร็จก็ต่อเมื่อมีการ “จำหน่าย” สำเร็จสมบูรณ์แล้วเท่านั้น หากจำเลยเพียงแค่ดาวน์โหลดข้อมูลมาไรท์ลงแผ่นซีดี ย่อมไม่เป็นความผิดทั้งสองฐาน ดังนั้นในคดีนี้หากแม้ศาลวินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้องจริง ความผิดทั้งสองฐานย่อมเป็นการกระทำกรรมเดียวกัน คือความผิดจะสำเร็จก็ต่อเมื่อจำเลยได้ “จำหน่าย” ซีดีไปยังบุคคลที่สามแล้ว แม้ข้อหาตามคำฟ้องในคดีนี้ทั้งสองข้อหาจะมุ่งคุ้มครองคุณธรรมทางกฎหมายคนละประการ ความผิดฐานจำหน่ายซีดีโดยไม่ได้รับอนุญาตมุ่งคุ้มครองจัดระเบียบการประกอบธุรกิจ ส่วนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 มุ่งคุ้มครองพระเกียรติยศของพระราชินีและรัชทายาท แต่เมื่อการกระทำของจำเลยที่ถูกฟ้องเป็นคดีนี้ คือ การ “จำหน่าย” เป็นการกระทำในทางกายภาพเพียงครั้งเดียว จึงต้องถือว่าจำเลยได้กระทำการอันเป็นความผิด กรรมเดียวแต่ผิดต่อกฎหมายหลายบท ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 ไม่ใช่ความผิดต่างกรรมต่างวาระตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91

ท้ายที่สุด คำอุทธรณ์ระบุว่า "จำเลยขอเรียนยืนยันว่า จำเลยมิได้มีเจตนาที่จะกระทำผิดต่อกฎหมายใดๆ การกระทำของจำเลยกระทำไปในกรอบกฎหมายและกระทำไปด้วยความสุจริต มิได้มีจิตคิดร้ายหมายอาฆาตต่อสถาบันกษัตริย์แต่อย่างใด จำเลยขอเรียนต่อศาลอุทธรณ์ว่า การวิพากษ์วิจารณ์เป็นหัวใจที่สำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตย ปัจจุบันประเทศไทยได้รับการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากบรรดาองค์กรสิทธิมนุษยชนและนานาอารยะประเทศอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน การพิจารณาว่าการกระทำของผู้ใดมีเจตนาเป็นการ ดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย กับการกระทำใด เป็นการวิพากษ์วิจารณ์จึงต้องพิจารณาเป็นกรณีกรณีไป คดีนี้จำเลยได้นำเสนอข้อเท็จจริงจากสารคดีของสำนักข่าวที่มีชื่อเสียง และมีความน่าเชื่อถือ รวมทั้งเอกสารวิกิลีกส์ก็เป็นเอกสารที่มีความน่าเชื่อถือ แม้จะมีข้อความที่อาจดูละเอียดอ่อน หรือเถรตรงไปบ้าง แต่ก็เป็นข้อเท็จจริงที่เป็นถ้อยความจริงอันอยู่ในกรอบของการวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความเป็นจริง และเป็นธรรม ทั้งจากการตรวจค้นบ้านของจำเลยรวมทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ของจำเลย ก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงให้เห็นถึงพฤติการณ์ใดๆที่จำเลยจะจาบจ้วงล่วงเกินสถาบันพระมหากษัตริย์ จำเลยได้ให้การเป็นประโยชน์และยืนยันถึงเจตนาอันบริสุทธิ์ของจำเลยตั้งแต่ต้น ขอศาลอุทธรณ์ได้ให้ความเป็นธรรมแก่จำเลย ได้โปรดพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ยกคำฟ้องโจทก์เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมด้วย"

                                               

อ่านรายละเอียดคดี ที่ http://freedom.ilaw.or.th/case/68#detail

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

Why or why not: นาปรังอินทรีย์ในที่ลุ่มภาคกลาง

$
0
0

บทความชิ้นที่ 6 ของ นิรมล ยุวนบุณย์ ในชุดบทความ ข้าวนาปรัง : ความสัมพันธ์ ความเปลี่ยนแปลงและความขัดแย้งของสังคมไทยในชุมชนเกษตรภาคกลาง โดยจะทำการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับการผลิต  ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับระบบเศรษฐกิจ การเมืองและวัฒนธรรมไทย ในการศึกษาชุดความรู้นี้ ทางประชาไทจะทยอยนำเสนอบทวิเคราะห์ที่มีความเชื่อมโยงกับประเด็นข้างต้นจำนวน 6ชิ้น

อนึ่ง ภายในไตรมาสที่สองของปี  2556 ประชาไท จะทยอยนำเสนอบทความที่จะพยายามทำความเข้าใจวิถีชีวิตและความสัมพันธ์การผลิตของชนบทไทยในปัจจุบัน 4ประเด็นคือเกษตรอินทรีย์, เกษตรพันธสัญญากรณีข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภาคเหนือ,พืชเศรษฐกิจในภาคอีสาน และการทำนาปรังในภาคกลางที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้

ต้องขอบคุณรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ให้ความสำคัญกับฐานเสียงสำคัญของพรรคเพื่อไทยซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนชนชั้นกลางระดับล่างอย่างชาวนา  และรักษาสัญญาที่ให้ไว้ในช่วงหาเสียงกับพวกเขา  หลัง ครม. มีมติเห็นชอบตามผลสรุป การประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ที่จัดให้มีขึ้นทันทีหลังเปลี่ยนตัว รมต.กระทรวงพาณิชย์คนใหม่  เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ซึ่งเสนอให้กลับไปใช้ราคารับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ที่ตันละ 15,000 บาท เหมือนเดิม โดยจะรับจำนำเฉพาะปริมาณที่เกษตรกรได้ลงทะเบียนและได้ใบรับรองแล้วเท่านั้น  และกำหนดวงเงินไม่เกินครัวเรือนละ 500,000 บาท กำหนดเวลารับจำนำไปจนถึงวันที่ 15 กันยายน นี้  ส่วนชาวนาที่จำหน่ายข้าวในราคารับจำนำ 1.2 หมื่นบาท ไปเมื่อ 30 มิถุนายน ซึ่งเป็นช่วงรอผลการประชุม กขช. ครั้งล่าสุดนั้น รัฐบาลจะชดเชยคืนให้เท่ากับราคาที่ปรับกลับมาเท่าราคาเดิม 

นับตั้งแต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์เริ่มดำเนินโครงการรับจำนำข้าว องค์กรในภาคประชาสังคมที่ทำงานส่งเสริมระบบเกษตรอินทรีย์และวิถีพอเพียงได้แสดงความไม่เห็นด้วยต่อโครงการฯ นี้มาอย่างต่อเนื่อง โดยให้โครงการฯ ส่งผลให้ชาวนาทำนาอินทรีย์น้อยลง คุณภาพข้าวทั่วไปที่ได้ก็ด้อยลง เพราะการเร่งผลิตเพียงให้ได้ปริมาณมากเพื่อนำผลผลิตมาเข้าโครงการ[1]เดชา ศิริภัทร แกนนำเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก เสนอว่าจะแก้ไขปัญหาของชาวนาได้ก็ต้องพัฒนาระบบผลิตอินทรีย์ให้ได้ หรือ “พึ่งตนเองก่อน”  รัฐบาลควรหันมาสนับสนุนการทำนาอินทรีย์และยกเลิกการใช้/โฆษณาสารเคมีการเกษตร [2]   และควรเก็บภาษีสารเคมีการเกษตรแล้วนำเงินที่ได้มาจัดตั้งกองทุนเพื่อส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์ รูปแบบเดียวกับการตั้งกองทุนของสำนักงานกองทุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) [3]   พ้องกันกับสำนักงานมาตรฐานสินค้าและอาหารแห่งชาติ  ที่เสนอว่าไทยควรจัดเก็บภาษีสารเคมีการเกษตร อันจะช่วยลดการใช้ส่วนที่ไม่จำเป็นลง[4] โดยควรเก็บภาษีสารเคมีตามระดับความรุนแรงของสารออกฤทธิ์  แต่ก็ยอมรับว่ายังไม่มีข้อมูลเพียงพอเรื่องการใช้สารเคมีการเกษตรของเกษตรกร[5]

บทส่งท้ายของกรณีศึกษานี้จะว่าด้วยเรื่องเทคนิคการผลิตที่ชาวนาปรังภาคกลางในพื้นที่รับน้ำนองเลือกใช้ท่ามกลางเงื่อนไขต่างๆ โดยจะเน้นการทำความเข้าใจว่าเหตุใดพวกเขาถึงไม่เลือกทำนาแบบอินทรีย์ แต่กลับพยายามใช้วิธีการอื่นๆ ในการลดต้นทุนการผลิต ในขณะที่ผลผลิต/ไร่ในระดับที่สามารถพออยู่รอดได้ก็ต้องไม่ต่ำกว่าไร่ละ 80 ถัง ทั้งนี้ บทความนี้ต้องการเสนอข้อมูลและมุมมองอื่นที่พ้นไปจากการด่วนประณามชาวนาว่าโลภและไม่รู้จักพอเพียง จนนำมาสู่การใช้สารเคมีการเกษตร รวมทั้งการดูแคลนชาวนาว่าขาดความรู้ความเข้าใจในการใช้สารชีวภาพต่างๆ อย่างถูกวิธี

 

ข้าวราคาดีไม่ทำให้ใช้สารเคมีเพิ่มขึ้นเสมอไป

แน่นอนว่าชาวนาต้องการเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุน ไม่ว่าพวกเขาจะขายข้าวได้ราคาถูกหรือแพง  เพราะนี่คือหนทางเดียวที่พวกเขาสามารถควบคุมได้ภายใต้โครงสร้างการผลิตที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศที่เพิ่มมากขึ้นและส่งผลกระทบต่อแผนการผลิต  การแพร่กระจาย และสะสมของโรคแมลง   โครงสร้างการจัดการน้ำ  การกระจุกตัวของที่ดินในมือนายทุน  และกลไกตลาดที่พวกเขามักถูกเอาเปรียบ  

จากการสำรวจการจัดการข้าวตั้งแต่เริ่มหว่านจนถึง เก็บเกี่ยว ผู้ศึกษาพบว่า   ปัจจุบันชาวนาปรังมีการนำปุ๋ยอินทรีย์และสารชีวภาพเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิตเพิ่มมากขึ้น  ทั้งแบบที่จำหน่ายสำเร็จรูปและแบบที่นำหัวเชื้อมาหมักเองเพื่อลดต้นทุน  โดยใช้ควบคู่ไปกับสารเคมีกำจัดศัตรูพืชและปุ๋ยเคมี   ดังกรณีของสมดี ตันติโน  และกรณีของประเสริฐ  พุ่มพวง และเพื่อนชาวนาในทุ่งนาคู [6]ซึ่งหันมาทำนาลดต้นทุนเมื่อเข้าโครงการรับจำนำ


รูป A001-สารชีวภาพและเคมี

สมดีบอกว่าปุ๋ยอินทรีย์ใช้ได้สะดวกรวดเร็วโดยใช้ร่วมกับเครื่องพ่นปุ๋ยเคมี ทั้งนี้ สมดีเห็นผลชัดเจนในการลดต้นทุน ขณะที่ผลผลิตก็ไม่ได้ลดลงจากเดิมนัก ส่วนประเสริฐนั้นเขาหันมาใช้บิวเวอร์เรียและสารสมุนไพรชีวภาพควบคุมแมลงศัตรูพืชเพราะสามารถในการเข้าถึงความรู้ เทคนิควิธี  วัตถุดิบทางเลือก  และหาซื้อปุ๋ยอินทรีย์สำเร็จรูปได้ง่าย  จนทำให้มีผลกำไรเพิ่มขึ้นจากเดิมแม้ต้นทุนค่าเช่าที่นาจะเพิ่มสูงขึ้น  ซึ่งทั้ง 2 กรณีนี้สะท้อนให้เห็นว่า ราคาข้าวรับซื้อที่เพิ่มสูงขึ้นไม่ได้มีผลทำให้พวกเขาเพิ่มผลผลิตโดยใช้สารเคมีการเกษตรเพิ่มขึ้นเสมอไป  ราคาข้าวที่เพิ่มขึ้นไปถึงตันละ 1.5 หมื่นบาท ทำให้ประเสริฐคำนวณได้ว่าแม้ผลผลิตจากการทดลองใช้ชีวภาพจะลดลง แต่ก็ทำให้ผลกำไรเพิ่มสูงขึ้น

“เราคิดแล้วว่าถ้าลองมาใช้วิธีแบบนี้แล้วผลผลิตลดเหลือ 80 ถัง แต่ทุนต่ำกว่า แต่ยังขายข้าวในราคาจำนำ(ที่1.5 หมื่นบาทในขณะนั้น-ผู้ศึกษา)  ก็ยังพอคุ้มอยู่”  ประเสริฐกล่าว

 

ปลูกข้าวอายุสั้น เพราะมันจำเป็น

พยงค์  สภาพโชติ  เลือกปลูกข้าว 51 ซึ่งเป็นข้าวอายุสั้น มีอายุตั้งแต่การหว่านจนถึงเก็บเกี่ยวเพียง 85 วันเท่านั้น ข้าวพันธุ์นี้ไม่ใช่พันธุ์ที่กรมการข้าวส่งเสริมและไม่สามารถขายเข้าโครงการรับจำนำได้[7] เมื่อขายจึงมีราคาถูก แต่เนื่องจากสภาพแปลงนาของเธอเสี่ยงต่อน้ำท่วมมาก เธอจึงเลือกปลูกข้าวชนิดนี้ โดยพยายามใช้เทคนิคการผลิตที่ช่วยให้ได้ผลผลิตไม่ต่ำกว่า 1 ตัน/ไร่/ฤดูปลูก [8]   สอดคล้องกับ วิชัย นิลเขต ชาวนา ม.4 ต.นาคู ซึ่งมีนาตัวเองแค่ 5 ไร่และเช่านาทำอีกเกือบ 40 ไร่ วิชัยปลูกข้าว กข.47 ซึ่งมีคุณสมบัติต้านเพลี้ย มีอายุการผลิตเพียง 90วัน ซึ่งน้อยกว่า 110 วัน เป็นยังเป็นพันธุ์ข้าวที่โครงการรับจำนำข้าวรับรอง  ชาวนาเหล่านี้ต้องการทำนาปรังให้ได้ปีละ 2 ครั้ง ก่อนพื้นที่จะถูกน้ำจะท่วมจนหมดเป็นเวลานาน 4 เดือน

 

ข้าวหอมปทุม  :ข้าวดีที่ยังรอความหวัง

ช่วงที่ข้าวพันธุ์หอมปทุมหรือข้าวปทุมธานีถูกคิดค้นออกมาใหม่ๆ มีเสียงวิจารณ์ว่าพ่อค้าส่งออกข้าวมักนำข้าวชนิดนี้ไปปะปนกับข้าวหอมมะลิ เนื่องจากมีคุณสมบัติหอมและเม็ดเรียวยาว ใกล้เคียงกับข้าวขาวดอกมะลิ 105 จนเกิดผลเสียต่อการส่งออกข้าวหอมมะลิของไทยในต่างประเทศ  แต่สำหรับชาวนาปรังภาคกลางแล้ว มันเป็นโอกาสที่พวกเขาจะได้ผลิตข้าวนาปรังราคาดี  สามารถขายให้โรงสีสีเป็นข้าวกล้องและข้าวขาวได้  แม้ข้าวพันธุ์หอมปทุมจะไม่นุ่ม หอม และกินอร่อยเท่าข้าวหอมมะลิก็ตาม

สมดี  ซึ่งมีนา 38 ไร่ และเช่านาทำเพิ่มหลายแปลงในหลายทุ่ง รวม 160 ไร่  เล่าว่า  เขาเคยปลูกข้าวหอมปทุมตั้งแต่ช่วงที่ข้าวชนิดนี้ออกมาใหม่ๆ เมื่อราวปี พ.ศ. 2548 – 49  เพราะข้าวนี้ขายได้ราคาดีและให้ผลผลิตดี คือประมาณ 1 ตัน/ไร่   ดีกว่าข้าวนาปรังทั่วไป เช่น กข.41 และ ชัยนาท ที่เอาไว้ใช้ทำแป้ง เส้นก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน และข้าวนึ่ง อย่างไรก็ดี ต่อมามีการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลเมื่อปี พ.ศ. 2552-53  จนเกิดความเสียหาย  เขาจึงเลิกปลูกข้าวชนิดนี้มาจนถึงปัจจุบัน นี่ก็สอดคล้องกับที่กรมการข้าวเองก็แนะให้ชาวนาหลีกเลี่ยงการปลูกข้าวพันธุ์หอมปทุมในช่วงที่มีเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลแพร่ระบาด อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่มีโครงการประกันรายได้สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็ยังมีชาวนาบางรายเสี่ยงปลูกข้าวชนิดนี้เพราะราคาเป็นแรงจูงใจ   แต่เนื่องจากราคาข้าวหอมปทุมสูงกว่าข้าวนาปรังทั่วไป ผู้ปลูกจึงมักหลีกเลี่ยงการขึ้นทะเบียนพันธุ์ข้าวหอมปทุมและใช้ชื่อพันธุ์ข้าวนาปรังทั่วไปแทนเพื่อให้ “ส่วนต่างหรือเงินชดเชย” [9]ที่มากกว่า   นั่นเท่ากับเป็นการตอบโต้ของพวกเขาต่อการเลือกผลิตข้าวคุณภาพดีที่มีความเสี่ยงเพิ่มสูงขึ้น แต่ราคาขายและค่าชดเชยยังต่ำกว่าที่พวกเขาคาดหมาย

 

ข้าวหอมชลสิทธิ์ อีกทางเลือกของชาวนาในที่รับน้ำนอง?   

คณะนักวิจัยจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำพันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์ [10]  ซึ่งเป็นข้าวนาปรังไม่ไวแสงสายพันธุ์ใหม่  มีคุณสมบัติพิเศษคือทนน้ำท่วมฉับพลันได้นาน 2 สัปดาห์  มาทดลองปลูกในนาที่เป็นจุดเส้นทางน้ำใน จ. พระนครอยุธยา อุตรดิตถ์  และพิจิตร ทั้งนี้  สหกรณ์การเกษตรผักไห่ จำกัด ได้เข้าร่วมโครงการนี้และทำการทดลองปลูกครั้งแรกเมื่อต้นฤดูปลูกปี 2553 ผลจากการการปลูกทดลองในฤดูปลูกนาปรังที่ 2 พบว่า สามารถเจริญเติบโตได้ดีโดยไม่จำกัดความลึกของระดับน้ำ ให้ผลผลิตระหว่าง 900-1,000 กิโลกรัม/ไร่   ผลดังกล่าวทำให้  สวทช. ตั้งเป้าหมายที่จะขยายการผลิตให้ครอบคลุมพื้นที่ปลูก 1.6 แสนไร่ ในภาคกลาง โดยมีงบประมาณสนับสนุนถึง 40 ล้านบาท [11]  อย่างไรก็ดี ชาวนาในทุ่งลาดชะโดส่วนใหญ่ไม่สนใจข้าวหอมชลสิทธิ์ มีบางรายที่ทดลองปลูกแต่ผลที่ได้ก็ไม่น่าพอใจ

อดีตครูมัธยมในกรุงเทพฯ รายหนึ่งกลับมาอยู่บ้านและเริ่มทำนาได้ไม่นาน  ตัดสินใจเข้าร่วมโครงการทดลองปลูกข้าวหอมชลสิทธิ์ ในช่วงเดือนมกราคม-เมษายน 2553 โดยใช้ที่นาตนเอง 3 แปลง รวม 36 ไร่ ใน อ.จักราช และ อ.นาคู  ปลูกแบบนาดำ ดูแลและควบคุมแมลงศัตรูพืชใช้ตามวิธีปกติ ผลที่ได้คือ แปลงนาขนาด 24 ได้ยข้าวแค่ 6 ตัน เท่านั้น  ส่วนอีก 2 แปลง ขนาด 4 ไร่และ 6 ไร่ รวมเป็น 10 ไร่ ได้ผลผลิต 6 ตัน อดีตครูสรุปบทเรียนได้ว่า ผลผลิตที่ต่ำเกิดขึ้นจากการที่ที่นาของเธอยังปรับได้ไม่เรียบ ทำให้จัดการน้ำและปุ๋ยไม่ได้ดี ประกอบกับใช้ปุ๋ยเคมีมากไปทำให้ต้นข้าวอวบงาม อีกทั้งยังเป็นช่วงที่เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลแพร่ระบาด   

“ตอนแรกหลังจากดำนา ข้าวดีมากเลย แต่พอใกล้เก็บเกี่ยว อีก 10 วัน เพลี้ยมันไปอยู่ในกอข้าว  เราฉีดยามันก็ไม่ลง มันก็เกิดการสะสมอยู่อย่างนั้น  มันลงเป็นบางจุดแต่เราคุมไม่อยู่ เราคิดว่าอยู่แล้วแต่มันไม่อยู่  ลงดำเมื่อ 17 มกราคม   ถ้าเกี่ยวตามกำหนดก็ประมาณวันที่ 23 เมษายน  แต่เราเกี่ยวก่อนคือ 17 เมษายน เกี่ยวหนีเพลี้ย นา 24 ไร่ ได้ข้าว 6 ตัน และมีข้าวลีบปนมาก เกี่ยวมาแล้วเครียดมาก   อีกแปลงเราเก็บข้าวดีดหมดแล้ว ไปเจอเพลี้ย ที่ไปตกแอ่งมีน้ำขัง เพลี้ยลงหมด แต่แปลงนี้ นา 4 ไร่ กับ 6 ไร่ รวมกันได้ข้าว 6 ตัน เม็ดเต่งดี”

หลังจากทดลอง เธอคิดว่าถ้าหากจะทดลองทำข้าวหอมชลสิทธิ์อีกก็จะลองทำแปลงเล็กๆ ปรับที่นาให้เรียบ  แต่สุดท้ายความเข็ดขยาดเรื่องเพลี้ย ทำให้เธอชะลอแผนการทดลองไว้ก่อนและหันมาปลูกข้าวที่ทนเพลี้ยอย่างชัยนาท 1 และ กข.47 ที่เคยปลูกมาก่อนและให้ผลผลิตไม่ต่ำกว่า 80 ถัง/ไร่  แม้จะข้าวทั้งสองพันธุ์นี้จะขายได้ราคาที่ต่ำกว่าข้าวหอมชลสิทธิ์[12] ก็ตาม

 

โครงการข้าว “อ่อนหวาน” เพื่อสุขภาพ[13]


รูป A002-ข้าวอ่อนหวาน

สหกรณ์การเกษตรผักไห่ ยังคงมีความหวังกับข้าวหอมชลสิทธิ์ และดำเนินโครงการส่งเสริมต่อเนื่อง โดยเน้นจุดเด่นคือ ความสามารถในการทนน้ำท่วมได้นานถึง 2 สัปดาห์ รวมทั้งการสร้างจุดขายแก่คนชั้นกลางที่สนใจเรื่องสุขภาพ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวาน เนื่องจากข้าวชนิดนี้เมื่อผ่านกระบวนการย่อยสลายแล้วจะปลดปล่อยน้ำตาลได้น้อยและมีธาตุเหล็กสูง  สหกรณ์ตั้งเป้าหมายจะให้ข้าวชนิดนี้ข้าวหอมขึ้นชื่อของจังหวัด โดยริเริ่มจำหน่ายข้าวในแบรนด์ “อ่อนหวาน” โดย ทั้งนี้มีกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์สนับสนุนงบประมาณ 10 ล้านบาทในการจัดหาเครื่องอบข้าวและเครื่องคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ [14]  ปัจจุบัน  มีพื้นที่ปลูกข้าวหอมชลสิทธิ์ 100 ไร่ จากสมาชิก 50 ราย จากสมาชิกทั้งหมด 1,999 คน

จำเนียร (นามแฝง)  ชาวนาในทุ่งผักไห่ เขต ต.ท่าดินแดง วัย 55 ปี เป็นสมาชิกสหกรณ์การเกษตรผักไห่อีกรายที่ทดลองทำข้าวหอมชลสิทธิ์ในปีแรก เธอได้รับพันธุ์ข้าวมาทดลองดำลงในนา 60 ไร่ และได้ผลผลิตต่ำมากแค่ 10 ตัน  เพราะการระบาดของเพลี้ยกระโดด จึงขาดทุนไปหลายแสนบาท โดยเฉพาะจากค่าจ้างดำนา และค่าเช่านาไร่ละ 1,000 บาท/ฤดู อีกเกือบ 40 ไร่  ความล้มเหลวนี้ไม่ได้รับการชดเชย อีกทั้งนาเธอยังถูกน้ำท่วมในปีต่อมาอีก แต่ก็เคราะห์ดีที่สหกรณ์ฯ ยกหนี้ให้เป็นหนี้ปลอดดอกเบี้ยเป็นเวลา 4 ปี สำหรับผู้ประสบมหาอุทกภัยปี54  ประกอบกับที่ลูกๆ ของเธอต่างมีหน้าที่การงานทำมั่นคงดี     อย่างไรก็ดีเธอได้ตัดสินใจทดลองทำข้าวหอมชลสิทธิ์อีกครั้ง   โดยปรับทำแบบหว่านแทน ภายใต้เงื่อนไขสหกรณ์ฯ ที่สนับสนุนให้ทำนาปลอดสารเคมี เลิกเผาตอซัง แล้วใช้สารชีวภาพสลายตอซัง ร่วมกับการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ และสารชีวภาพ รวมทั้งซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวจากสหกรณ์  และรับซื้อคืนในราคาตันละ 18,000 บาท ความชื้น 15 %  ซึ่งเทียบเท่ากับราคาข้าวที่โครงการรับจำนำตั้งไว้เพื่อส่งเสริมการปลูกข้าวหอมประจำจังหวัด   

แรงจูงใจที่สำคัญที่ทำให้เธอสนใจมาปลูกข้าวหอมชลสิทธิ์ในครั้งนี้ คือ การที่สหกรณ์ฯ เพิ่งตั้งโรงสีเพื่อรับซื้อข้าวของสมาชิกในราคาสูง  อีกทั้งเธอยังเชื่อมั่นในความสามารถของผู้จัดการ ว่าสามารถบริหารจัดการร้านค้าจนมีสินค้าปัจจัยการผลิตที่หลากหลายมาบริการสมาชิก  และมีช่องทางและแผนการตลาดข้าวที่ดูว่าน่าจะแจ่มใส 

“ผู้จัดการเขาเก่ง  ทำข้าวนี้ขายสหกรณ์ ขายตันละ 14,000 บาท ความชื้น 27  ขายแล้วได้เงินเชียว ไม่ยุ่งยากไปขึ้นทะเบียนเหมือนจำนำข้าวแล้วก็ได้เงินช้า  สหกรณ์เขาอยากให้ทำปลอดสารเคมี เพราะว่าตลาดขายตลาดต่างประเทศเขาต้องการ”

ในด้านการผลิต จำเนียร ไม่ได้ทำตามสิ่งที่สหกรณ์ฯ  คาดหวังไปทั้งหมด  แม้จะมีอาจารย์จากศูนย์ไบโอเทคมาตรวจเยี่ยมเป็นประจำ   แปลงนาของเธอที่ยกคันคูกันน้ำไว้สูง และมีน้ำท่าสมบูรณ์เพราะอยู่ใกล้คลองส่งน้ำใหญ่ ผักไห่-เจ้าเจ็ด การจัดการวัชพืชก็ยังจำเป็นต้องเผาฟางข้าวแทนการใช้น้ำหมัก เพราะหญ้าขึ้นหนามาก   และต้องใช้ยาคุมหญ้าทั้งแบบแห้งและแบบเปียกอย่างละเที่ยว [15]เหมือนนาทั่วๆ ไป   เธอทำน้ำหมักภาพใช้เองด้วย  และหว่านปุ๋ยเคมีครั้งละ 25 กก. โดยแบ่งใส่ 3 รอบ ช่วงข้าวแตกกอ ข้าวตั้งท้อง และข้าวออกรวง  การฉีดยากำจัดแมลง 4 – 5 ครั้ง/ฤดู โดยสังเกตการแพร่ระบาดก่อน  รวมทั้งใช้ฮอร์โมนอามูเร ช่วงรับท้องเพื่อให้ได้เมล็ดข้าวใส มีน้ำหนัก    

“พันธุ์ข้าวซื้อจากสหกรณ์ ตันละ 24,000 บาท  ปุ๋ย ยา น้ำมัน ก็ซื้อจากสหกรณ์ปลอดดอกเบี้ย มีทุกอย่าง  โครงการนี้หลวงเขาให้ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เขาว่าจะเอามาให้แต่อย่างว่า  ของหลวงมันช้า  เราทำไปก่อนก็เลยต้องซื้อปุ๋ยเคมีจากสหกรณ์มาใส่ก่อน”

ชาวนาทั่วไปที่หว่านข้าว 3 – 4 ถัง/ไร่ เพราะเผื่อไว้สำหรับนก หนู ที่มากัดกินเมล็ดข้าวหลังหว่าน  และเห็นว่าเป็นการประหยัดต้นทุนและเวลาแทนการจ้างหว่านซ้ำอีกครั้งหากเมล็ดข้าวหรือต้นกล้าถูกทำลาย  หากหว่านบางจะทำให้ต้นข้าวน้อย ได้ข้าวน้อย ไม่ได้น้ำหนัก   หากเป็นพันธุ์ข้าวที่แตกกอดีก็จะลดปริมาณข้าวพันธุ์ลงเหลือราว 2.5 ถัง ส่วนการป้องกันเพลี้ยหรือแมลงศัตรูพืชนั้นจะใช้วิธีฉีดพ่นสารกำจัดแมลง    ในขณะที่กรมส่งเสริมการเกษตรฯ แนะนำให้ชาวนาหว่านเมล็ดพันธุ์ข้าวเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลที่ไร่ละ  1.5 ถัง ช่วงที่มีการแพร่ระบาดเพื่อให้สภาพนาโปร่ง ลดการสะสมของแมลงศัตรูพืช  และให้หว่านข้าวเพียง 2 ถัง ในสภาพปกติเพื่อลดต้นทุน[16] แต่เธอใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์หว่านไร่ละ 2.5 ถัง เธอให้เหตุผลว่า 

“ข้าวพันธุ์นี้แตกกอดี   ไร่หนึ่งหว่านแค่ 2.5 ถัง แต่ถ้าหว่านบางแค่ไร่ละ 2 ถังที่เขา (ไบโอเทค) บอก  ต้นข้าวจะบางมากเกินไป  นี่ว่าเที่ยวหน้าก็จะเก็บเองบางส่วนแต่ต้องไปจ้างเขาตาก จะได้ประหยัด  ที่เหลือก็ซื้อเขา จากสหกรณ์นั่นแหละบางส่วน” 


รูป A003...-นาข้าวหอมชลสิทธิ์

ปีนี้ จำเนียรปันที่นา 20 ไร่ ให้ลูกชายคนโตวัย 36 ปี ปลูกข้าว กข.47 เข้าโครงการรับจำนำ เพื่อเป็นรายได้ควบคู่กับการเปิดร้านคาร์แคร์ โดยยังคงเหลือที่นาเพื่อข้าวหอมชลสิทธิ์ไว้ 60 ไร่ ซึ่งครั้งล่าสุดเธอได้ผลผลิตข้าวเปลือก 40 ตัน มีต้นทุนการผลิตประมาณ  6,150 บาท/ไร่   ผลผลิตเฉลี่ย 66.7 ถัง/ไร่   หรือต้นทุนประมาณ 9,220 บาท/ตัน  รวมต้นทุนทั้งหมด 369,000 บาท ได้กำไรทั้งหมด  191,000 บาท  เธอพอใจกับข้าวหอมชลสิทธิ์ที่ได้และยังมีความหวังว่าถ้าเธอดูแลนานี้ให้ดีมากขึ้น ผลผลิตอาจจะได้ดีกว่านี้   

 

ข้าวดีด  นาดำ  กับความจำเป็นในการใช้ยาฆ่าหญ้า 

ข้าวดีด เป็นข้าววัชพืชที่มีชื่อเรียกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น  มีลักษณะเหมือนต้นข้าว และมีความแข็งแรงกว่าข้าวปลูก และเพิ่มจำนวนได้อย่างรวดเร็วจนปกคลุมต้นข้าวปลูก  มีผลทำให้ข้าวไม่สมบูรณ์  ไม่เต็มเมล็ด  ได้ปริมาณน้อยหรือไม่ได้ข้าวเลย  และเมื่อขายก็ได้ราคาต่ำ   แม้ชาวนาปรังในทุ่งลาดชะโด และ ต.สระแก้วจะใช้สารกำจัดการงอกของวัชพืชในการคุมเปียกและคุมแห้งแล้วก็ตาม แต่ถ้าหากมีเมล็ดข้าวดีดติดมากับพันธุ์ข้าว ต้นข้าวดีดก็มักเจริญเติบโตจนชาวนาต้องหาวิธีการกำจัดข้าวดีด โดยเฉพาะช่วงที่ต้นข้าวดีดเริ่มออกรวง เพราะรวงข้าวดีดจะชูช่อสูงกว่าต้นข้าว 

จำเนียร เล่าว่าเธอเคยกำจัดข้าวดีดโดยใช้วิธีนำผ้าชุบสารกำจัดวัชพืชแล้วขึงให้ตึงกับเชือกแล้วจับปลายเชือกทั้ง 2 ข้าง เดินลูบยอดข้าวดีดเพื่อให้ข้าวดีดตายก่อนจะเมล็ดข้าวดีดร่วงลงนา และปล่อยให้ต้นข้าวในแปลงเดียวกันออกรวงจนเก็บเกี่ยว  เธอว่าแม้วิธีการนี้จะประหยัดค่าจ้างได้มากกว่าการจ้างเหมารายวันให้ผู้รับจ้างมาเดินตัดรวงข้าวดีดออกไปกองทิ้งไว้นอกนา แต่ก็เหนื่อยมาก   ปัจจุบันเธอใช้วิธีการจ้างคนงานให้ใช้เครื่องเกี่ยวหญ้าแบบเหวี่ยง มาเกี่ยวต้นข้าวดีดช่วงที่ข้าวดีดออกรวงและก่อนที่ข้าวในแปลงเดียวกันจะตั้งท้อง  เพราะหลังจากตัดยอดข้าวดีดแล้วต้นข้าวจะยังสามารถเติบโตเกี่ยวข้าวได้  แม้ค่าจ้างเหวี่ยงจะลดลงเหลือค่าจ้างไร่ละ 120 บาท ซึ่งต้องเติมน้ำมันเองและซื้อ M-100 ให้คนงาน แต่เธอก็บอกว่าต้องใช้ปุ๋ยเคมีหว่านลงนาถึง 75 กก./ไร่ เพราะต้นข้าวดีดยังคงมีชีวิตและแย่งสารอาหารจากต้นข้าว

วิธีการทำนาดำ จึงกลายเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ผู้ประสบปัญหาข้าวดีดและพอมีเงินทุนมากพอ ปัจจุบันอุตสาหกรรมรับจ้างเพาะกล้าข้าวและดำนาซึ่งริเริ่มมาจากเขตอุตสาหกรรมข้าวก้าวหน้าใน จ.สุพรรณบุรี ได้เริ่มแพร่ขยายมาใน อ.ผักไห่แล้ว จ.อยุธยา แล้ว แต่ยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก  เพราะชาวนาส่วนใหญ่ยังใช้วิธีการเดิมๆ เช่นการล่อข้าวดีดแล้วไถกลบแบบพยงค์ สภาพโชติ  ซึ่งทำให้ต้องใช้เวลาและทุนเพิ่ม และมีผลทำให้ช่วงระยะการปลูกข้าวเสี่ยงต่อน้ำท่วมมากขึ้นในช่วงนาปรังครั้งที่2 จนต้องปลูกข้าวอายุ 85 วัน  หรือสารกำจัดวัชพืช ซึ่งราคาถูกกว่า

เชิด ศรีราชา วัย 44 ปี ชาวอำเภอวิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง ทำนาในทุ่งกะเทพ  ห่างจากทุ่งลาดชะโดไม่เกิน 5 กม.  เพิ่งดำนาหนีข้าวดีดเป็นครั้งที่ 3 เมื่อกลางเดือนมิถุนายน 56   ครั้งแรกที่เขาเริ่มหันมาทำนาดำเป็นช่วงที่เริ่มโครงการรับจำนำครั้งที่ 2 เขาลดต้นทุนในการกำจัดแมลงด้วยการใช้สาร  6-G  และผงซักฟอกละลายน้ำ  

แปลงนาที่เชิดเช่ามีขนาด 25 ไร่  ค่าเช่า 30,000 บาท/ฤดูปลูก  นาถูกแบ่งเป็น 2 ฟากด้วยคูน้ำ ฟากหนึ่งเป็นนาลุ่ม 12 ไร่  และอีกฟากเป็นนาดอน ขนาดเท่ากัน  นาลุ่มนั้นเขาเลือกใช้วิธีดำนาเพื่อคุมข้าวดีดเพราะน้ำมักลงไปขังในกระทงนา  ซึ่งแม้ประหยัดต้นทุนค่าน้ำมันที่วิดน้ำออกและไม่ต้องจ้างคนตัดข้าวดีด  แต่เขาต้องจ่ายค่ากล้าและค่าจ้างดำรวมทั้งค่าขนส่ง และต้องใช้สารกำจัดวัชพืชที่ขึ้นในน้ำอย่างผักบุ้ง และต้นพริก (ก้ามกุ้ง)   มีต้นทุนทั้งหมดประมาณ 9,000 บาท/ไร่   ในขณะที่นาดอนซึ่งเขาใช้วิธีทำนาหว่านน้ำตมนั้นต้องคอยสูบน้ำเข้านาอยู่เป็นระยะ มีต้นทุนต่ำกว่าและผลผลิตพอๆ กับนาดำ จึงทำให้มีผลกำไรมากกว่า   แต่ช่วงก่อนที่จะมาทำนาดำและยังไม่มีข้าวดีดระบาด เขาเคยทำนาหว่านในพื้นที่ทั้งหมด 24 ไร่ ได้ผลผลิตสูงถึง 27 ตัน


รูป A004-เชิด ศรีราชา

 “ตีเทือกและเตรียมแช่ข้าวไว้แล้ว   พวกกันโทรมาบอกมีกล้าเหลือก็ติดต่อคนขายกล้าที่ดอนเจดีย์มาลงให้ เขาก็มาเลย คุยกันเรื่องค่าใช้จ่ายก็นัดวันมาดำ  ข้าวที่แช่ไว้ก็เลยขายคนอื่น  ขอดน้ำไม่แห้งก็เลยต้องดำ  บางคนเจอข้าวดีด 10 ไร่ได้ข้าวแค่ 1 ตัน   กล้าที่ดำเป็นพันธุ์ข้าว 41-หนัก  อายุ 110 วัน  เอากล้าอายุ 37 วัน มาลงมันเกี่ยวได้ไวกว่าแปลงที่หว่าน 10 กว่าวัน  เสี่ยงน้ำท่วมน้อยกว่าหว่าน   นาดำเที่ยวที่แล้วปลูก 1 ไร่ได้ 1.2 ตัน แต่ถ้าจะขายข้าวให้ได้ตันละ 14,000 บ. น้ำหนักก็จะเหลือแค่ 1 ตัน  นาดำได้กำไรไร่ละประมาณ 4,000 กว่าบาท ถามว่าคุ้มไหม?  เราไม่รู้จะทำอะไรก็ต้องเอา” 

ต้นทุนสำคัญในการทำนาดำได้แก่ ค่าปั่นนาและตีเทือกเหมือนนาปกติ  550 บาท/ไร่  แต่ไม่ต้องจ้างฉีดพ่นสารกำจัดวัชพืช 2 หนเหมือนนาหว่าน  มีค่าต้นกล้า 500 ต้น/ไร่ มีราคา 500 บาท  ค่าจ้างดำไร่ละ 1,600 บาท  ค่าจ้างขนข้าวทั้งหมด 900 บาท ใช้เวลาดำ 2 - 4 วัน แต่เที่ยวนี้หลังคนงานดำเสร็จแล้ว เชิดต้องนำกล้าที่เหลือลงดำซ่อมเองเพราะไม่คุ้นกับระยะกล้าที่ห่างเกินไป นอกนั้นเป็นค่าจ้างหว่านปุ๋ยและค่าปุ๋ยซึ่งใช้แม่ปุ๋ยผสมปุ๋ยเม็ด แบ่งใส่ 2 เที่ยว เที่ยวละ 15 ก.ก. ช่วงหลังดำกล้า 2 – 3 วันกับช่วงรับท้องข้าว  และฉีดพ่นกำจัดแมลงประมาณ 5 – 6 ครั้ง/ฤดูปลูก โดยพ่นด้วยผงซักฟอกละลายน้ำซึ่งเป็นความรู้ที่ได้มาจากการไปฝึกอบรมที่ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยี ต.หน้าโคก

“ก่อนหน้านี้เคยใช้บิวเวอเรียควบคุมเพลี้ยเหมือนกัน แต่บางที ที่ศูนย์เขาก็ไม่มี เราเลยหันมาใช้แบบนี้ก็ถูกดีและไม่อันตราย  ส่วน 6–G (ฟูราดาน-ผู้ศึกษา) ก็ใช้ช่วงลงกล้าข้าวใหม่ๆ ผสมไปกับปุ๋ยที่ใส่ในช่วงแรก”

 

“ข้าวขวัญสุพรรณ”  กับกระบวนการผลิตข้าวอินทรีย์โดยโรงเรียนชาวนา  [17]

สภาอุตสาหกรรมจังหวัดสุพรรณบุรี   มูลนิธิข้าวขวัญ และนักเรียนโรงเรียนชาวนาสุพรรณบุรี ได้ร่วมกันทำ MOU เพื่อพัฒนาสินค้ข้าวหอมประจำจังหวัดสุพรรณบุรีที่ปลอดสารพิษจำหน่าย โดยเน้นความโดดเด่นของสายพันธุ์ ซึ่งทางมูลนิธิข้าวขวัญได้พัฒนาปรับปรุงจากพันธุ์ข้าวท้องถิ่นซึ่งผ่านกระบวนการคัดเลือกโดยนักเรียนชาวนา[18]   


รูป A005-ข้าวขวัญสุพรรณ

เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิฯ ผู้เชี่ยวชาญการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ข้าวในระบบนาอินทรีย์เล่าว่า  ข้าวขวัญสุพรรณก็คือข้าวขาวตาเคลือบ  นักเรียนชาวนาเลือกพันธุ์นี้มาปรับปรุงเพราะให้ผลผลิตดี ต้านทานโรค เมล็ดใหญ่ เมื่อสีแล้วได้น้ำหนัก มีกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายข้าวหอมมะลิ แม้จะไม่นุ่มเท่า  ทั้งหมดนี้ถือเป็นลักษณะข้าวที่ดีที่สามารถขายให้กับโรงสีทั่วไป  

“ข้าวพันธุ์นี้ทนมากและให้ผลผลิตดีมาก  มีพันธุ์อื่นๆ ที่ให้ผลผลิตรองลงมา กินอร่อยกว่า แต่คะแนนรวมจากการเลือกของชาวนาแต่ละคนแล้วได้ไม่เท่าข้าวขาวตาเคลือบ” 

นั่นหมายถึงว่า หากผู้บริโภคอยากได้พันธุ์ข้าวที่หอมอร่อยและปลูกแบบปลอดสารเคมีกำจัดแมลง ต้องยอมจ่ายแพงขึ้นเพราะผลผลิต/ไร่ ที่ได้จะได้น้อยกว่าข้าวขาวตาเคลือบ

เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ อีกรายหนึ่ง เล่าว่า โครงการนี้ เริ่มเมื่อกันยายน 2554  มีเป้าหมายการผลิตที่ 120 ไร่ มีผู้ผลิตเป็นนักเรียนชาวนา 17 รายซึ่งต้องผ่านขั้นตอนการเรียนการทำนาอินทรีย์ 3 หลักสูตรพื้นฐาน[19]  อย่างไรก็ดี นักเรียนชาวนาเหล่านี้ส่วนใหญ่เคยผ่านกระบวนการฝึกอบรมต่างๆ ของมูลนิธิฯ มาตั้งแต่ปี 2546  การเก็บเกี่ยวเมื่อต้นปี 2555  ได้ข้าวเปลือกทั้งหมด 69 ตัน ราคารับซื้อตันละ 15,800 บาท โดยใช้เกณฑ์รับซื้อตามความชื้นในราคาที่แพงกว่าข้าวทั่วไปในโครงการรับจำนำข้าวถึง 1,000 บาท อย่างไรก็ดี มีชาวนา 4 – 5 รายประสบปัญหาน้ำท่วมจึงไม่ได้เกี่ยวขายเข้าโครงการฯ พวกเขาได้รับค่าชดเชยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในอัตราเท่ากับนาทั่วไป

ผู้เข้าร่วมโครงการรายหนึ่งเล่าว่า ปลูกข้าวในโครงการนี้ 25 ไร่ ได้ข้าว 21 ตัน  ผลผลิต/ไร่ 84 ถัง ต้นทุนไร่ละประมาณ 3,500 บาท   ซึ่งมาจากค่าปั่นนา ค่าตีเทือก ค่าจ้างฉีดพ่นและค่าสารกำจัดวัชพืช  และไม่ใช้ปุ๋ยเคมีและทำนาแบบปล่อย

“โครงการอนุญาตให้สมาชิกใช้สารกำจัดวัชพืชสารเคมีควบคุมการงอกของวัชพืช 2 ครั้ง เพราะเป็นวิธีที่ถูกที่สุดและชาวนารับได้  ส่วนปุ๋ยเคมีไม่ให้ใช้  แต่ให้ใช้สมุนไพรและฮอร์โมนชีภาพ  แต่ตัวเองไม่ได้ใช้  มูลนิธิมีปริมาณพันธุ์ข้าวจำกัดจึงปลูกได้แค่ 120 ไร่ ในปีแรก ใครจะปลูกกี่ไร่ก็ได้แต่ไม่มากเกินนี้ ” 

แผนการผลิตในรอบที่ 2 นี้ทางมูลนิธิฯ มีเป้าหมายเพิ่มพื้นที่เป็น 150 ไร่ และมีสมาชิกเข้าร่วม 15 ราย เหตุที่ต้องจำกัดพื้นที่ไว้เพียงเท่านี้เพราะข้าวที่ได้มีลักษณะแข็งและยังทำตลาดได้ค่อนข้างยาก

 

การทำนาลดต้นทุนหลากรูปแบบเพราะหวังรวย

ก.- นักเรียนชาวนารายหนึ่งวัย 49 ปี จาก อ.เมืองสุพรรณบุรี ทำหน้าที่ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวขาวตาเคลือบอินทรีย์ให้กับโครงการส่งเสริมส่งข้าวขวัญสุพรรณเล่าว่า เขาก็อยากปลูกข้าวพันธุ์ใหม่นี้และขายให้โครงการฯ เพราะเห็นว่าได้ราคาดี แต่โควตามีจำกัด และตนก็ถนัดในการผลิตเมล็ดพันธุ์อินทรีย์และได้ทำนาลดต้นทุนในรูปแบบอื่นๆ แล้ว จึงไม่ได้เข้าร่วมโครงการนี้มาตั้งแต่ต้น 

“เขาจะมาถามว่าใครสมัครใจทำ  ทำไหม  ใครทำก็จดไว้ว่าจะทำกี่ไร่  เขาก็จะจัดสรรพันธุ์มาให้เท่าที่จะเข้าโครงการ  ฉันจะทำ เขาบอกมันเต็มพอดี  เลยได้แต่ทำพันธุ์ให้เขา”

ชาวนารายนี้รู้จักมูลนิธิข้าวขวัญตั้งแต่ปี 2545 และเข้าโรงเรียนนักเรียนชาวนาของทางมูลนิธิฯ ที่จัดขึ้นในชุมชนของตนในปีถัดมา จนกระทั่งผ่านหลักสูตร 3 ขั้น  ต่อมาได้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวอินทรีย์โดยใช้เทคนิคนาดำควบคุมวัชพืชด้วยน้ำ   ซึ่งเป็นเทคนิคที่นอกจากจะต้องมีความเข้าใจระบบนิเวศน์ของแมลงในนาข้าวแล้ว ยังต้องอาศัยความประณีต   อดทนเฝ้ารอให้ดินและแปลงนาปรับสู่สมดุลทางนิเวศน์  และต้องมีแปลงนาที่ทำเลดีอยู่ใกล้แหล่งน้ำ เพราะต้องสูบน้ำเข้านาทุก 7 – 10 วัน ที่สำคัญจะต้องมีเงินหมุนเวียนเป็นค่าจ้างดำนา   และลงทุนปรับนาให้เรียบเพื่อประสิทธิภาพของการใช้น้ำควบคุมวัชพืชและการใส่ปุ๋ยอินทรีย์บำรุงต้นข้าว   ในขณะที่การผลิตพันธุ์ข้าวขาวตาเคลือบในปี 54 ครั้งแรกจำนวน 11 ไร่ ได้ข้าว 9.5 ตัน  คิดเป็นผลผลิต 86.4 ถัง/ไร่ ส่วนครั้งที่ 2 ได้ข้าว 6 ตัน ผลผลิต  55 ถัง/ไร่   มีต้นทุนการทำข้าวพันธุ์ ไร่ละ  3,168 บาท  และ ขายข้าวไม่กำหนดความชื้นได้ในราคาตันละ 16,000 บาท    ( ดูตาราง A006-ต้นทุนทำนาสุรัตน์)


ตาราง A006-ต้นทุนทำนาสุรัตน์

 

ทำนาลดต้นทุนปลดหนี้ได้จากโครงการรับจำนำ

ชาวนารายที่ว่านี้มีพื้นที่ทำนาอินทรีย์ไม่มากนัก  เขาเลือกใช้ที่นาของภรรยา ขนาด 5 – 11 – 8 ไร่ ทำนาอินทรีย์ทั้งหมด โดยทำนาดำคัดพันธุ์  นาขยายพันธุ์ที่ผลิตให้มูลนิธิข้าวขวัญ และนาโยนเพื่อปลูกข้าวกินเองในครอบครัว    ในขณะที่เช่านา 27 ไร่  ที่บ้านเกิดใน อ. ผักไห่ จ.อยุธยา และอีกสองผืนขนาด 8 และ 18 ไร่ ตามลำดับ ที่อยู่ใกล้บ้านของภรรยา ผลิตในรูปแบบนาลดต้นทุนและขายให้โรงสีแบบปกติทั้งหมด    ทั้งนี้ การที่ต้องเช่านาคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขา รวมทั้งชาวนาคนอื่นๆ ไม่ทำนาระบบอินทรีย์    ทั้งนี้ ชาวนาในทุ่งลาดชะโดมีสัดส่วนชาวนาเจ้าของนา:ชาวนาเช่า  คือ 38: 62 โดยชาวนาส่วนใหญ่กว่า 80 % มีที่ดินถือครองไม่เกิน 20 ไร่ 

“นาเช่านี่ไม่ทำอินทรีย์เพราะเราเช่าเขา  เขาคิดเป็นข้าว  เราก็เลยไม่ทำอินทรีย์ เดี๋ยวไปขึ้นค่าเช่าให้เขา ไร่ละ 15 ถัง  ไม่ดี  เหมือนมันเพิ่มให้เขา แต่ไม่มีการลดค่าเช่า  ทำอินทรีย์มันก็มีค่าใช้จ่าย  มันต้องดำ  แต่เราต้องหาที่ตกกล้ามาอีก  ที่ตกกล้าต้องพอกับกล้าอีก 10 ไร่  แล้วเราต้องรอให้กล้าโตอีก  มันจะห่างกันอีกเป็นเดือน  โดยมากจะเอาแต่แปลงที่สำคัญ   ถ้ามีที่ตกกล้าตีซะ 20 ไร่ ห่างกัน 7 วันก็ดำได้ "ดูรูปรูป A007-นาดำทำพันธุ์ข้าวอินทรีย์


รูป A007-นาดำทำพันธุ์ข้าวอินทรีย์

 

ปรับความรู้เทคนิคทำนาอินทรีย์มาทำนาลดต้นทุนแทนเพราะตลาดกว้างกว่า

ชาวนาอีกรายที่เป็นอดีตนักพัฒนาเอกชนและมีความรู้ดีในการทำเกษตรกกรรมทางเลือก มีประสบการณ์ทำนาอินทรีย์ทั้งแบบนาโยน และนาหว่าน เล่าว่า

“เริ่มตอนแรกปี 53  ทำนาโยน   ครั้งแรกก็ร้อนวิชา อยากทำอินทรีย์ โดยทำข้าวพิษณุโลกแล้วขายตามช่องทางทั่วไป ก็มาสรุปกับตัวเองว่ามันไม่ได้ มันไม่คุ้ม ต้นทุนมันสูง หากจะทำอินทรีย์แล้วขายแบบทั่วไป ก็คืออยากลอง  ลองดู ก็รู้ว่ามันไม่ได้   นา 4.5 ไร่ ได้ 3.8 ตัน ผลผลิตก็คือพอใจ โดยเทคนิคถือว่าผลผลิตดีมาก เพราะมากกว่า 84.4 ถัง/ไร่ เหมือนกัน  แต่จัดการเรื่องหญ้า เรื่องแรงงาน ก็อานเหมือนกัน  ขายข้าวได้ตันละ 7,000 บาท ยังไม่เป็นโครงการรับจำนำ ต้นทุน 6,804บาท” 

เมื่อล้มเหลวครั้งที่1 เธอและสามีตัดสินใจปรับแผนการผลิตนาอินทรีย์รอบใหม่ คราวนี้เลือกผลิตพันธุ์ข้าวทางเลือกที่ตลาดข้าวอินทรีย์นิยมและมีมูลค่า คือข้าวหอมนิล 2.5 ไร่ และข้าวหอมปทุม 2 ไร่  เริ่มทำประมาณ 4 พฤศจิกายน 53  ซึ่งเป็นช่วงโครงการประกันรายได้ของรัฐบาลอภิสิทธิ์

“เที่ยวแรกเราคิดว่าทำน้อยขายโรงสีไม่คุ้มต้นทุน ก็เลยจะทำสีขายเอง  ทำข้าวพรีเมี่ยม  เพลี้ยกระโดดระบาดไง  ได้ขายข้าวแค่ 18,000 บาท เป็นข้าวหอมนิล ให้ตลาดทางเลือกโลละ 60 บาท  300 โล(ข้าวกล้อง)  ได้ข้าวก็ไปจ้างเขาสี  ไม่เหลือข้าวไว้กินเลย  ปทุมนี่เอาไว้กินอย่างเดียวไม่ได้ขาย  ขายเขาไปกระสอบนึง (ประมาณ 40 กก.) เพราะได้น้อยมาก  เพราะมันเป็นเพลี้ยกระโดด  มันระบาดแล้วมันก็เอาไม่อยู่  ก็คุยกันว่าเราได้เกี่ยวก็ดีแล้ว เพราะบางคนไม่ได้เกี่ยวเลย  เราก็ฉีดสมุนไพร ไปตั้ง 6 เที่ยว  แต่มันไม่ต้านทานเพลี้ยกระโดด”

นาอินทรีย์พรีเมียมที่เธอหวังจะขายในตลาดอินทรีย์ได้ผลผลิตไม่ดีนัก  เงินลงทุนทั้งหมด 30,080 บาท หรือไร่ละ 6,684 บาท ต้องนำมาจ้างสีแปรรูปขายข้าวได้เงินมาทั้งหมดเพียง 19,200 บาท กับเงินชดเชยส่วนต่างประกันราคาไร่ละ 1,000 กว่าบาท  จะเห็นว่าช่วงที่เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลแพร่ระบาด  นาอินทรีย์ก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังทำได้ในขนาดแปลงนาจำกัด   ดังนั้น ในปีที่ 3 เธอจึงปรับเปลี่ยนมาทำนาลดต้นทุนแบบหว่าน

เธอยังชี้ให้เห็นว่า    เมื่อคำนวณปริมาณการใช้ปุ๋ยขี้หมูกับปุ๋ยเคมีแล้ว ปุ๋ยขี้หมูต้องใช้ในปริมาณที่มากกว่าเมื่อเทียบกับปริมาณปุ๋ยเคมีที่ใช้ และราคาก็ไม่ได้ถูกกว่ากันมาก   แต่ค่าจ้างหว่านปุ๋ยคิดเท่าเดิมคือจ่ายเป็นไร่ซึ่งแรงงานที่รับจ้างต้องแบกปุ๋ยลงนาหนักขึ้น    อีกทั้งปุ๋ยอินทรีย์คือปลดปล่อยธาตุอาหารช้ากว่า ในขณะที่ข้าวมีอายุเพียง 4 เดือน  ปุ๋ยเคมีจึงตอบสนองต่อความต้องการสารอาหารของพืชได้ทันใจกว่า  แต่เธอเพิ่มอินทรียวัตถุในดินไม่ให้ดินแข็งด้วยการหมักฟางหลังเกี่ยว    ในขณะที่การใช้ปุ๋ยเคมีก็ใช้ปริมาณ 25 – 30 กก. โดยผสมปุ๋ยเคมีและปุ๋ยอินทรีย์ ในอัตราส่วน 2 : 1 แบ่งหว่าน  หว่าน 2ครั้ง/ฤดูปลูก   ช่วงแตกกอและตั้งท้อง  บางฤดูอาจต้องเพิ่มปุ๋ยยูเรียด้วย   ส่วนการเตรียมแปลงก็เหมือนกับนาทั่วไปคือฉีดพ่นสารกำจัดวัชพืช 2 ครั้ง แบบ คุมเปียกและคุมแห้ง  รวมทั้งทำน้ำหมักปลา-ฮอร์โมนไข่เอง   แต่ถึงกระนั้น เมล็ดข้าวที่เธอได้ก็ไม่สวยเต่ง และรวงสวยทุกรวงเหมือนอย่างที่ชาวนาทั่วไปใช้ฮอร์โมนฉีดเป็นธาตุอาหารเสริมในช่วงรับท้อง

ประสบการณ์ทำนาลดต้นทุนเพื่อขายโรงสีครั้งแรกเธอได้ข้อสรุปว่า    การปลูกข้าวโดยใช้พันธุ์ข้าว ไร่ละ 2.5 ถัง นั้นยากมากที่จะได้ผลผลิตมากเกินกว่า 80 ถัง ยกเว้นที่นาที่เรียบเสมอกันเพราะคุมน้ำได้  ทั้งนี้เพราะธาตุอาหารไม่เพียงพอ  หากต้องการผลผลิต/ไร่ มากกว่า 90 ถังขึ้นไป ก็ต้องหว่านพันธุ์ข้าวไร่ละ 3 ถัง และใช้ปุ๋ยเคมีผสมอินทรีย์และปรับโครงสร้างดินดังที่กล่าวไว้ข้างต้น

เธอยังชี้ให้เห็นว่า  การส่งเสริมให้ชาวนาเก็บพันธุ์ข้าวเองเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่เธอเองไม่สะดวกและไม่มีสถานที่ตากข้าว จึงซื้อข้าวเกรดเอจากเอกชนเพราะมีคุณภาพดีกว่า และช่วยลดปัญหาเรื่องข้าวดีดซึ่งต้องเพิ่มทุนอย่างมากในการกำจัดทิ้งเมื่อมีการแพร่ระบาด   การทำนาปรังลดต้นทุนจำนวน  20 ไร่ ในรอบนี้ได้ผลผลิต 15 ตันที่ความชื้น 18% โดยขายโครงการรับจำนำได้ในราคาตันละ  14,200 บาท รวมเป็นเงิน 213,000 บาท  โดยมีต้นทุนรวมทั้งสิ้น 86,150 บาท หรือไร่ละ 4,307.5 บาท ซึ่งถือเป็นผลตอบแทนที่น่าพอใจ

 

ข้ออภิปรายส่งท้าย

1.การเพิ่มราคาสร้างแรงจูงใจในการปรับเปลี่ยนเทคนิคการผลิตเพื่อลดต้นทุน

ท่ามกลางสถานการณ์ที่หน่วยธุรกิจเอกชนที่ก่อนหน้านี้ได้เข้าไปปักหลักลงทุนทำการผลิตข้าวในกลุ่มประเทศอาเซียน [20]รวมทั้งกระแสการลงทุนผลิตข้าวหอมข้ามชาติของประเทศต่างๆทั้งในประเทศเพื่อนบ้านและแอฟริกา [21]   ชาวนาไทยจึงไม่ใช่แค่ต้องแข่งขันกับชาวนาชาติเพื่อนบ้าน      หากแต่เป็นทุนขนาดใหญ่ที่มีความยืดหยุ่นสูงและพร้อมเสมอที่จะเข้ามาเบียดชิงส่วนแบ่งการตลาด    ในขณะที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ควรจะต้องแสดงฝีมือและสร้างมั่นใจให้ชาวนาที่สนับสนุนนโยบายจำนำข้าวของพรรคเพื่อไทยที่มีเป้าหมายตั้งแต่แรกเริ่มหาเสียงว่าจะมาสร้างเกณฑ์ราคาใหม่ที่สูงขึ้นกว่าเดิมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของชาวนาเราปฏิเสธไม่ได้ว่า  “ราคาที่สูงกว่า” เป็นแรงจูงใจที่ชาวนาตัดสินใจทดลองทำการผลิตเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มคุณภาพผลผลิต  ในขณะเดียวกันช่วงระหว่างการทดลองก็มีความเสี่ยงที่ไม่คุ้นเคยกับการทดลองผลิตในแบบที่แตกต่างจากความคุ้นชินของชาวนา  ซึ่งกระบวนการทดลอง เรียนรู้ และสรุปผลเหล่านี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเป็น “ราคาเพื่อสร้างแรงจูงใจให้เปลี่ยนระบบการผลิต”  เป็นหลักประกัน   ซึ่งรัฐบาลอาจจำเป็นต้องตั้งเกณฑ์ราคารับซื้อข้าวชนิดต่างๆ ตามคุณภาพผลผลิตและสะท้อนต้นทุนการผลิตที่แท้จริง บวกกำไรจากการขายสินค้าการเกษตร 25 % และค่าแรงจูงใจ ในลักษณะที่เป็นขั้นบันได ในช่วงระยะเวลาที่กำหนด เช่น 4 – 6 ฤดูปลูก  ควบคู่ไปกับการติดตามผลการทดลอง และควบคุมการรับซื้อให้ตรงตามเกณฑ์คุณภาพ       (ดูภาพ A008 แบบทดลองเสนอ) 


แผนภูมิ A008 แบบทดลองเสนอ

2.การสร้างองค์กรธุจกิจเพื่อชาวนา

 “ใช้ (ปัจจัยการผลิต – ผู้ศึกษา) หลายอย่าง หลายตัว พอเย็นๆ เวลา 2 ทุ่ม มาแล้ว ประกาศแล้ววิทยุบ้านบ้านแพนนี่ ตอนนี้เขาเรียกหุ้นแล้ว น่าไปสมัครหุ้น มีเงินเล่นหุ้นกับเขามั่ง หุ้นละ 20 บาท”

นี่คือความเห็นของชาวนาวัย 60 ปี ที่ทำนามาตลอดชีวิต ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับได้ถึงบทบาทของทุนและภาคธุรกิจที่สามารถเข้ามาแสวงกำไรกับชาวนา    ขณะเดียวก็เขาเห็นว่าควรมีช่องทางที่จะเข้าไปมีส่วนในการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เหล่านั้นด้วย  เช่นเดียวกับสีนวล ศรีชาติ ที่พึงพอใจกับบทบาทด้านการตลาดและบริการของสหกรณ์ฯ    พ้องกันกับข้อเสนอของ กานดา นาคน้อย ที่เสนอให้มีการจัดตั้งโรงสีในรูปรัฐวิสาหกิจเพื่อลดอำนาจตลาดของโรงสีเอกชน [22]  ผู้ศึกษามีความเห็นว่า หากรัฐบาลประการลดราคาจำนำนาปรังตันละเหลือ 12,000 บาท[23]และนำการโซนนิ่งข้าวมาปรับปรุงการผลิตข้าวเพื่อลดต้นทุน เพิ่มคุณภาพข้าว ให้สามารถแข่งขันได้เมื่อเปิด AEC โดยโครงการสมาร์ทฟาร์มเมอร์นั้นก็ยังอาจไม่พอ   ควรสนับสนุนให้มีการใช้ -และค้าขายปัจจัยการผลิตชีวภาพที่มีคุณภาพให้สามารถแข่งขันได้กับสารเคมีการเกษตร   และควรแปรรูปกรมส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ์ฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐที่ใกล้ชิดกับชาวนาและเกษตรกรที่สุด ให้เป็นหน่วยส่งเสริมธุรกิจการเกษตรที่แสวงกำไรในรูปรัฐวิสาหกิจ  ที่มีชาวนาไปร่วมเป็นคณะกรรมการและสมาชิกเป็นผู้ร่วมถือหุ้น  และเปิดให้มีการตรวจสอบได้โปร่งใส   เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้ปฏิบัติงานแทนการเป็นข้าราชการประจำ    




[1]ทางเลือกตลาดชาวนาไทย : เมื่อจำนำข้าวสอยราคาข้าวอินทรีย์ร่วง  ศูนย์ข่าวเพื่อชุมชน  9-09-55 

[2]เดชา ศิริภัทรปราชญ์ชาวนา (2): “ทำนาผิดวิธีอนาคต สิ้นนา สิ้นชาติ  thaipublica  27-05-55 http://thaipublica.org/2012/05/deja-siripat-2/

[3]ปราชญ์ชาวนาแนะเก็บภาษีนำเข้าปุ๋ยเคมี ตั้งกองทุนเกษตรอินทรีย์”  ศูนย์ข่าวเพื่อชุมชน 31-12-55   

[4]เสนอรัฐคิดต้นทุนสิ่งแวดล้อม-สังคม รีดภาษีสารเคมีเกษตรผู้ผลิต”  เข้าถึงเมื่อ 6-01-56   http://www.peoplepress.in.th/archives/autopagev3/show_page.php?group_id=1&auto_id=43&topic_id=85&topic_no=186&page=1&gaction=on

[5]“เศรษฐศาสตร์ว่าด้วยนโยบายสารเคมีเกษตร THE ECONOMIC OF AGRICULTURAL CHEMICAL POLICY” วราภรณ์ ปัญญาวดี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เชียงใหม่ Dec.2007  http://www.ennrjournal.com/20081/20varaporn_f.pdf

[6]ดูเพิ่ม “โครงการจำนำข้าว: วิกฤตหรือโอกาสของคนทำนาเช่า ?” ประชาไท 6-06-56   http://prachatai.com/journal/2013/06/47101

[7]ดู “ประกาศรายชื่อข้าวที่มีอายุต่ำกว่า 110 วัน ที่มีคุณภาพต่ำ ไม่ให้เข้าร่วมโครงการรับจำนำ”  ของ กรมการข้าว ที่  http://www.ricethailand.go.th/home/index.php?option=com_content&view=article&id=568:---110---&catid=14:2012-01-31-06-16-00

[8]ดูเพิ่ม  “นิรมล ยุวนบุณย์ :การเลื่อนชั้นและยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวนา” ประชาไท 10-06-56 http://prachatai.com/journal/2013/06/47150

[9]ส่วนต่างจากราคาจากการขายข้าวให้โรงสีที่ต่ำกว่าราคาประกันรายได้ที่รัฐกำหนด โดยดูวันปลูกและเก็บเกี่ยวที่ชาวนาขึ้นทะเบียนไว้ให้ตรงกับวันที่กรมการค้าภายในประกาศราคาอ้างอิง ซึ่งขึ้นกับราคาตลาด ทั้งนี้รัฐได้กำหนดราคาประกันข้าวเปลือกหอมปทุมธานีไว้ที่ตันละ 11,000 บาท และข้าวเปลือกนาปรังทั่วไป ตันละ 10,000 บาท  แต่ส่วนต่างของข้าวเปลือกหอมปทุมธานีจะต่ำกว่าข้าว

[10]ข้าวหอมชลสิทธิ์ เป็นข้าวลูกผสมของข้าวทนน้ำท่วมกับข้าวขาวดอกมะลิ 105 ที่คัดเลือกและปรับปรุงพันธุ์โดยรศ.ดร.อภิชาติ วรรณวิจิตร และคณะ  โดยอาศัยเทคโนโลยีเครื่องหมายดีเอ็นเอ(DNA marker) ดูเพิ่มที่ http://dna.kps.ku.ac.th

[11]รมว.วิทย์ลุยอยุธยาโชว์นาข้าวทนน้ำท่วม คมชัดลึก  30-10-53

[12]ดูราคารรับจำนำข้าวชนิดต่างๆ ปี 2554/55 ได้ที่เว็บกรมส่งเสริมการเกษตร http://www.edoae.doae.go.th/project_rice.htm

[13]ข้าวเศรษฐกิจ , วารสาร  หน้า 28-41  ฉบับที่ 3/34/2556  ปีที่3

[14]ดูคลิ๊ปประชาสัมพันธ์โครงการข้าวหอมชลสิทธิ์ และผลิตภัณฑ์ “อ่อนหวาน” ของสหกรณ์การเกษตรผักไห่ ได้ที่ https://www.facebook.com/photo.php?v=253362551433432&set=vb.100002790675491&type=2&theater

[15]คุมแห้ง   หมายถึง  การควบคุมเม็ดวัชพืชโดยฉีดพ่นสารเคมีควบคุมการงอกของวัชพืชหลังจากหว่านข้าวและปล่อยน้ำแห้งแล้ว 3 วัน  จากนั้นจึง คุมเปียก คือฉีดพ่นสารกำจัดวัชพืชอีกครั้งเมื่อข้าวอายุ 9 วัน

[16]ดูเพิ่มที่ “เปิดผลสำรวจชาวนารวยขึ้น พึงพอใจโครงการจำนำข้าว กรมข้าวแนะ7วิธีลดต้นทุน”มติชนออนไลน์ 20-06-56 http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1371708485&grpid=03&catid&subcatid

[17]'ข้าวขวัญสุพรรณ'ต้นแบบผลิตข้าว”  ฐานเศรษฐกิจ 12-04-56   http://www.thannews.th.com/index.php?option=com_content&view=article&id=117049:2012-04-12-09-48-22&catid=87:2009-02-08-11-23-26&Itemid=423

[18]ดูรายละเอียดการคัดเลือกพันธุ์ข้าวเพิ่มเติมที่  http://www.suphan.biz/khaokwan.htm 

[19]“โรงเรียนชาวนา”  มูลนิธิข้าวขวัญ  http://www.khaokwan.org/farmerschool.html

[20]จับตา "เบียร์ช้าง-ซี.พี."จับมือทุนท้องถิ่น-ผูกขาด "ข้าว"  ผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21 - 27 ก.ย. 2552  http://www.afet.or.th/v081/thai/news/commodityShow.php?id=2255

[21]“ชาติร่ำรวยแห่หาที่ปลูกข้าว”  ฐานเศรษฐกิจ 20-06-54  http://www.thannews.th.com/index.php?option=com_content&view=article&id=71767&catid=85&Itemid=417

[22]“กานดา นาคน้อย: ข้าว เหล้า ไวน์”ประชาไท 23-06-56  http://prachatai.com/journal/2013/06/47346

[23]ดูรายละเอียดการปรับราคารับจำนำข้าวชนิดต่างๆ หลัง ครม.รัฐบาลยิ่งลักษณ์ มีมติลดราคารับจำนำข้าวนาปรังเหลือตันละ 12,000 บาท เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2556 ได้ที่ข่าว “พาณิชย์คาดกำหนดราคารับจำนำข้าวในฤดูนาปี56/57 ได้ภายในนก.ค.”ฐานเศรษฐกิจ 21-06-56   http://www.afet.or.th/v081/thai/news/commodityShow.php?id=5920

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ปชป.ระบุรัฐบาลปรับราคาจำนำข้าวตันละ 15,000 ทำเพื่อการเมืองล้วนๆ

$
0
0

พรรคประชาธิปัตย์ตั้งคำถามถึงรัฐบาล 8 ข้อ กรณีคณะกรรมการนโยบายข้าวฯ ปรับราคาจำนำข้าวจาก 12,000 บาท กลับไปเป็น 15,000 บาท พร้อมถามหามาตรการป้องกันทุจริต

กรณีที่คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติหรือ ก.ข.ช.มีมติคงราคารับจำนำข้าว 15.000 บาทถึงวันที่ 15 เดือนกันยายน 2556 นั้น (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)ล่าสุด มติชนออนไลน์รายงานว่า วันนี้ (2 ก.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษก ปชป. แถลงถึงกรณีที่คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.)  มีมติปรับราคารับจำนำข้าว จากตันละ 12,000 บาท เป็นตันละ 15,000 บาท ว่าถือเป็นการทำเพื่อการเมืองล้วนๆ ขอตั้งคำถามไปยังรัฐบาล 8 ข้อ

1.หากรัฐบาลยืนยันว่าสภาวะการคลังสามารถรับจำนำข้าวเปลือกได้ถึงวันที่ 15 กันยายน พ.ศ.2556 แล้วจะประกาศลดราคารับจำนำข้าวลงมา 12,000 บาท ทำไม

2.น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พูดเองว่าการลดราคาลงมาที่ตันละ 12,000 บาท เป็นเพราะต้องการรักษาสมดุลทางการคลัง เพื่อให้สอดคล้องต้นทุนการผลิต และราคาตลาดโลก อยากถามว่า ปัจจัยต่างๆ ที่นายกฯอ้างมานั้น วันนี้มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง

3.จริงหรือไม่ที่ในการประชุม กขช. ฝ่ายข้าราชการประจำให้ยืนราคารับจำนำอยู่ที่ตันละ 12,000 บาท เพราะรู้ว่าไม่มีเงินพอที่จะดำเนินการได้ แต่มีแรงกดดันจาก 2 รองนายกรัฐมนตรีที่ดูแลถือเป็นแรงกดดันจากฝ่ายการเมือง ให้ปรับราคารับจำนำกลับไปที่ตันละ 15,000 บาท

4.โครงการรับจำนำข้าว ในราคาตันละ 15,000 บาท อาจทำให้กรอบวงเงินที่อนุมัติเบื้องต้น 1.5 แสนล้านบาท ปีนี้อาจปิดบัญชีไม่ได้ และไม่มีเงินเพียงพอในการดำเนินโครงการ รัฐบาลมีแนวทางแก้ไขอย่างไร

5.การที่นายยรรยง พวงราช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่าจะระบายข้าวได้ดีขึ้น ตั้งเป้าการระบายไว้ที่  7.2 หมื่นล้านบาท ในช่วง 6 เดือนหลังนั้น มีเพียงประเทศจีนประเทศเดียวที่มีสัญญาซื้อขายข้าวกับไทย ขณะที่ประเทศอื่นๆ อยู่ระหว่างการเจรจา ทั้งประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ โตโก และอิหร่าน ฉะนั้นสมมติฐานที่อ้างว่าจะขายข้าวได้นั้น เป็นเพียงการตั้งความหวังและมองโลกในแง่ดีเกินไป

6.รายงานของ กขช. ยืนยันว่าสต๊อกข้าวในไทย มีสูงกว่า 20 ล้านตัน ชี้ให้เห็นว่าข้าวทั้งหมดยังไม่มีการระบายออกไปตามที่กล่าวอ้าง จึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมรัฐบาลถังแตก และไม่มีเงินเพียงพอในการทำนโยบาย

7.นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุการรับจำนำข้าวจะมีความยืดหยุ่นได้นั้น ถือว่าสร้างความสับสนให้กับชาวนา และผู้ค้าข้าวทั้งในและนอกประเทศ จะสร้างความเสียหายต่อตลาดข้าวไทยในอนาคต

8.จะมีมาตรการป้องกันการทุจริตอย่างไร ถ้าหากรัฐบาลไม่สามารถชี้แจงได้ คงปฏิเสธคำกล่าวหาว่าพวกท่านมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตไม่ได้

โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. ที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ในรายการ 101 องศาข่าว ช่วง "ตรงไปตรงมากับอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ"โดยตอนหนึ่งนายอภิสิทธิ์กล่าวแสดงความไม่เห็นด้วย กรณีที่รัฐบาลจะลดราคาการจำนำข้าวจาก 15,000 บาท เหลือ 12,000 บาท โดยยืนยันว่าการจำนำข้าวเป็นวิธีการช่วยเกษตรกรที่ไม่คุ้มค่า และเสนอให้ใช้การประกันรายได้แทนโดยหลักการคือเอาเงินไปให้ชาวนาเต็ม โดยไม่ต้องยุ่งการซื้อขาย "ฝ่ายค้านไม่เคยเรียกร้องให้ลดเหลือ 12,000 ครับ ฝ่ายค้านบอกว่า คุณไปบริหารโครงการยังไงก็ได้ อย่าให้ 100 บาท ไปถึงชาวนา 50 บาท อย่างที่เป็นมา"(อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

ที่มาของภาพประกอบ: เว็บไซต์พรรคประชาธิปัตย์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

"แก้วสรร"ชี้เสียงเลือกตั้งในหีบ ไม่ใช่ใบอนุญาตให้เป็นเจ้าของประเทศ

$
0
0

"ไทยสปริง"จัดชุมนุมออนไลน์ครั้งที่ 2 "ปู จิตกร"เปรียบยิ่งลักษณ์เหมือนป้ายวิญญาณให้ทักษิณสิงสู่ ด้าน "แก้วสรร"โต้ "เซีย ไทยรัฐ"อัดระบอบทักษิณกำลังจะฉีก รธน. ชี้ถ้าแก้ไข รธน. แล้วเป็นประชาธิปไตยจะไม่ว่าเลย ลั่นจะขอต่อต้านทรราชย์เสียงข้างมาก ที่ปฏิเสธการตรวจสอบ

ตามที่เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ที่ผ่านมา มีการจัดชุมนุมออนไลน์ "ไทยสปริง"ในหัวข้อ "ระบอบทักษิณรัฐบาลขี้หมูไหล"โดยมีวิทยากรประกอบด้วย นายแก้วสรร อติโพธิ นายขวัญสรวง อติโพธิ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ผู้ประสานงานไทยสปริง ดำเนินรายการโดย นายจิตกร บุษบา (ชมการอภิปรายของไทยสปริงที่นี่)

 

จิตกร บุษบาเปรียบยิ่งลักษณ์เหมือนป้ายวิญญาณให้ทักษิณสิง

"วันนี้เราจะชี้ให้เห็นว่าองค์ประกอบของรัฐบาลในระบอบทักษิณ ที่พัฒนามาสู่การใช้เจว็ดคือป้ายตั้งวิญญาณ ยิ่งลักษณ์เป็นป้ายๆ หนึ่งที่ทักษิณสิงสู่อยู่ เพราะฉะนั้นอีนี่ก็งงอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากว่าได้รับมอบหมายให้เป็นแค่ป้ายตั้งไว้ ให้ลูกน้องกราบกรานเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นเวลาทำงานจึงงงตลอด สื่อมวลชนไปถามอะไรก็ทำหน้าเอ๋อใส่ แล้วก็บูรณาการท่าเดียว วันนี้จึงจะจำแนกแยะแยะให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของรัฐบาลหุ่นเชิดระบอบทักษิณ"

 

โต้ "เซีย ไทยรัฐ"อัดระบอบทักษิณต่างหากที่ฉีก รธน. 

ด้านนายแก้วสรร อติโพธิ ผู้ประสานงานกลุ่มไทยสปริง ได้วิจารณ์การ์ตูนของเซีย ไทยรัฐ ที่เป็นภาพยิ่งลักษณ์ถือป้าย "แก้ รธน.50 ให้เป็นประชาธิปไตย"และมีภาพผู้ชุมนุมหน้ากากขาวถือป้ายคัดค้านการแก้รัฐธรรมนูญ ด้านหลังเป็นภาพกระบอกปืน และรองเท้าท็อปบู๊ต และภาพคล้ายนายแก้วสรร โดยนายแก้วสรรวิจารณ์ภาพการ์ตูนดังกล่าวว่า คนวาดเป็นขาประจำพวกเสื้อแดง และการ์ตูนภาพดังกล่าว เซียได้วาดการ์ตูนให้พื้นที่กับยิ่งลักษณ์ ชินวัตรมาก และใครก็ตามที่ไม่เห็นด้วยเซียจะผลักให้เป็นเผด็จการ อิงแอบทหาร นี่เป็นเทคนิคของเขา

ทั้งนี้หากเอาความเข้าใจเรื่อง "ความหมายทางสังคมวิทยาของระบอบทักษิณ"ของบรรเจิด สิงคะเนติมาวิเคราะห์ จะพบว่าในการ์ตูนซึ่งเป็นภาพยิ่งลักษณ์ถือป้าย แก้ รธน.50 นั้น แท้จริงคือการฉีกรัฐธรรมนูญ ซึ่งถ้าแก้รัฐธรรมนูญแล้วเป็นประชาธิปไตยขึ้นจะไม่ว่า แต่นี่คือการฉีกรัฐธรรมนูญ ปฏิเสธระบบการตรวจสอบ จะล้มศาลรัฐธรรมนูญ แค่ศาลรัฐธรรมนูญยกฟ้องก็มีการยกอันธพาลไปขู่ฆ่าศาลรัฐธรรมนูญ

 

ขอต่อต้านทรราชย์เสียงข้างมาก ยันเสียงในหีบเลือกตั้งไม่ใช่ใบอนุญาตเป็นเจ้าของประเทศ

หมายความว่า เขาถือว่าเมื่อได้เสียงข้างมากในหีบเลือกตั้งแล้ว พวกคุณทั้งหลายคือกบใต้ตีนนกกระสาอย่างึกงัก ใครเข้าด้วยกับเขามาเอารางวัลไป ภูเก็ตไม่เลือก ไม่ต้องเอาหอประชุม เขาเห็นคนเป็นนกกระสา แล้วใครมากกว่า มาอยู่ในกรงเขาเลี้ยงดูจนอ้วนท้วน และตอนนี้ก็ทะเลาะกันเรื่องราคาข้าวอยู่

"เพราะฉะนั้นพวกนี้คือเสียงข้างมากที่ปฏิเสธรัฐธรรมนูญ พวกเราต่างหากที่ต่อต้านการแก้รัฐธรรมนูญ เราต่อต้านทรราชย์เสียงข้างมาก อย่าอ้างเสียงข้างมากมาเป็นเผด็จการ ลำพังเสียงเลือกตั้งในหีบนั้นน่ะ มันไม่ใช่ใบอนุญาตให้เป็นเจ้าของประเทศ"

"ดังนั้นกระบวนการทั้งหลายเป็นเรื่องของการเรียกร้องที่จะปลดแอกจากระบอบทักษิณ ให้ออกไป ให้บ้านเมืองกลับสู่ปกติสุข ปฏิบัติโดยเสมอภาค เห็นต่างกันไม่ว่า ทีวีสื่อมวลชนเป็นอิสระ ไม่ใช่ใครไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลก็ไปตบกลางเมืองแบบนั้น"

วาทะของนายแก้วสรร อติโพธิ ผู้ประสานงานกลุ่มไทยสปริง โดยมีการเผยแพร่ต่อจำนวนมาก (ที่มาของภาพ: ไทยสปริง)

โดยในเพจของไทยสปริงมีการเผยแพร่วาทะดังกล่าวของนายแก้วสรรด้วย โดยมีผู้กดไลค์และเผยแพร่ต่อจำนวนมาก

 

อัดทักษิณซื้อลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกหวังล้างสมอง

ขณะเดียวกัน กรุงเทพธุรกิจออนไลน์รายงานคำอภิปรายของนายแก้วสรร ตอนหนึ่งว่า "มีบริษัทหนึ่งประมูลราคาพรีเมียร์ลีกเป็นที่สองของโลก โดยเป็นบริษัทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อาจจะขาดทุนแต่คุ้มทางการเมือง เพราะใช้ฟุตบอลเป็นตัวดึงดูด และใช้สถานีนี้เพื่อเป็นการล้างสมอง นี่ไม่ใช่เป็นการลงทุนทางธุรกิจแต่เป็นการลงทุนการเมือง ส่วน ผอ.อสมท. ก็บอกช่อง 9 ให้ซื้อพรีเมียร์ลีกจากบริษัทดังกล่าว"

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประชาธิปัตย์ยื่นวุฒิสภาถอดถอน ครม.ทั้งคณะ-กรณีอนุมัติโครงการน้ำ 3.5 แสนล้าน

$
0
0

พรรคฝ่ายค้านเข้าชื่อต่อวุฒิสภา ยื่นถอดถอน ครม.ชุด 2 หลังอนุมัติโครงการจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ระบุส่อทุจริตและผิดกฎหมาย 5 ฉบับ

เวลา 13.00 น. วันนี้ (2 ก.ค.) ที่รัฐสภา เว็บไซต์พรรคประชาธิปัตย์รายงานว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน นำ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 270 และ 271 ยื่นรายชื่อสมาชิกไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 ยื่นถอดถอนคณะรัฐมนตรีชุดที่ 2 (ครม.ปู 1/2) ต่อประธานวุฒิสภา เพราะในโครงการบริการจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท

โดยในคำร้องถอดถอนระบุว่า มีการส่อทุจริตและกระทำผิดกฎหมาย 5 ฉบับ คือ 1.ผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 57และ 67 , 2.ผิดพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 103/7, 3. พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535, 4.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 (พ.ร.บ.ฮั้ว) และ 5.ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ละเลยการปฏิบัติหน้าที่

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กสทช. ชี้กรณีช่อง 5 แทรก 'ฮาร์ดคอร์ข่าว'ไม่ผิด แต่ต้องตอบคำถามสังคม

$
0
0

ประธานอนุกรรมการด้านผังรายการและเนื้อหารายการ กสทช. แจงกรณีช่อง 5 แทรกฮาร์ดคอร์ข่าวกลางคัน ชี้ทำได้ แต่ไม่เนียน และต้องตอบสังคมให้ได้ ส่วน กสทช.เรียกดูเนื้อหาไม่ได้ เพราะยังไม่ได้ออกอากาศ 


เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ รายงานว่า เมื่อวันที่ 2 ก.ค. พลโท พีระพงษ์ มานะกิจ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในฐานะประธานอนุกรรมการด้านผังรายการและเนื้อหารายการ กล่าวถึงกรณีเหตุการณ์โฆษณาแทรกคั่นกลางอากาศในรายการฮาร์ดคอร์ข่าว กำลังนำเสนอสกู๊ปข่าวโครงการที่เกี่ยวข้องกับบริษัทหนึ่งทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมา ว่า วานนี้ (1 ก.ค.) คณะอนุฯ ได้เรียกทุกส่วนที่เกี่ยวข้องซักถามและหารือกับเรื่องที่เกิดขึ้น โดยได้รับแจ้งจากช่อง 5 ว่าสาเหตุที่ตัดรายการออกเพราะข่าวสารคลุมเครือ เพื่อจะนำมาปรับแก้ไขใหม่ ขณะที่ บริษัท โพสต์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) ในฐานะบริษัทผู้ผลิตร่วม ได้ออกแถลงการณ์ว่าเป็นดุลพินิจของสถานี

ประธานอนุกรรมการด้านผังรายการและเนื้อหารายการ กล่าวต่อว่า ส่วนตัวมองว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่น่าจะเกิดขึ้น แม้ว่ากรณีการตัดรายการนั้นจะทำได้ แต่จะเกิดคำถามจากสังคมตามมา และส่วนตัวได้ตั้งคำถามว่าทำไมไม่ตรวจสอบ ซึ่งวานนี้ที่ประชุมสรุปว่าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากการจัดการภายใน และฝ่ายข่าวรับหน้าเสื่อ

“ช่อง 5 ชี้แจงว่า ข่าวสารคลุมเครือถึงได้ตัดออก เพื่อจะเอามาฉายใหม่ ถ้ามองในแง่บวก ช่อง 5 มีระบบการตรวจสอบที่สามารถทำได้ ไม่มีอะไรผิด แต่ในกรณีนี้ทำไม่เนียน ซึ่งต้องรับผิดชอบต่อสังคม และตามกฎหมาย กสทช. ไม่สามารถเอาอะไรมาดูได้ เพราะยังไม่ได้ออกอากาศ”

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

วิทยุชุมชน: เติบโตและแตกตัวมาเพื่อเล็กลง

$
0
0
เมื่อเดือนเมษายน – พฤษภาคมที่ผ่านมา ผมมีโอกาสสำรวจข้อมูลเพื่อศึกษาคุณสมบัติปัจจัยความพร้อมสำหรับการดำเนินกิจการวิทยุชุมชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือแล้วพบว่า ครั้งหนึ่งกิจกรรมการสื่อสารอันเป็นการสะท้อนสิทธิการสื่อสารและการใช้ทรัพยากรคลื่นความถี่อันเคยคึกคักในนามวิทยุชุมชน ของชุมชน โดยชุมชน เพื่อชุมชนได้กำลังจัดรูปตัวเอง หาที่ทางให้ตัวเองและไม่ได้ฟูฟ่องเหมือนเมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา
 
ข่าวที่เกี่ยวข้องกับการออกใบอนุญาตประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ระบุว่า มีผู้ประกอบการวิทยุกระจายเสียงที่เข้าสู่กระบวนการขอใบอนุญาตประมาณ 7,000 ราย และไม่เข้าสู่กระบวนการอีกกว่า 1,000 รายนั้นสะท้อนการเติบโตอย่างเต็มที่ของกิจการวิทยุกระจายเสียง แต่ไม่ใช่วิทยุชุมชน
 
แต่เมื่อพิจารณาตามประเภทการประกอบกิจการคือ บริการธุรกิจ บริการสาธารณะ และบริการชุมชน ก็จะพบว่า “บริการชุมชน”มีสัดส่วนที่น้อยกว่าบริการประเภทอื่นอย่างเห็นได้ชัด หรือแม้แต่เทียบกับบริการสาธารณะที่มีองค์กรด้านศาสนาและหน่วยงานความมั่นคงเข้ามาจับจองอย่างแน่นหนาและครอบคลุมพื้นที่ก็พบว่า วิทยุชุมชนมีจำนวนน้อยกว่าหลายเท่า
กล่าวสำหรับภาคตะวันออกเฉียงเหนือแล้ว ครั้งหนึ่งวิทยุชุมชนตามหลักการ “วิทยุประชาธิปไตย” เคยเป็นโครงการนำร่องของการชูธงปฏิรูปสื่อที่กระจายตัวอยู่แทบทุกจังหวัด โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความเคลื่อนไหวเชิงประเด็นไม่ว่าจะเป็นดิน น้ำ ป่า และทรัพยากรอื่น ๆ ซึ่งก็คือปัญหาหลักของผู้คนบนดินแดนที่ราบสูง
 
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เครื่องมือการสื่อสารที่เคยเฟื่องฟูในช่วง 2544 - 2548 ก็กลายเป็น “ภาระ” อันล้นเกินของขบวนการประชาชนที่เรียกร้องสิทธิอันเกี่ยวข้องกับสิทธิและการทำมาหากินผู้ฝันถึงการเครื่องมือการสื่อสารที่จะขยายแนวคิดเรื่องสิทธิชุมชน การปกป้องทรัพยากรท้องถิ่น หรือแม้แต่การใช้สิทธิการสื่อสาร 
 
ทั้งนี้ เพราะทั้งหมดที่เป็นวิทยุชุมชนนั้นล้วนต้องมี “ต้นทุน”สำหรับการจัดการ ต้องใช้งบประมาณและต้องการคนผู้มีจิตรอาสาอย่างเข้มข้นจำนวนมากพอเพื่อมาอยู่ในกระบวนการผลิตเนื้อหาเพื่อนำพาวิทยุชุมชนให้ดำเนินไปได้ นั่นก็หมายความว่า วิทยุชุมชนแทนที่จะเป็นเครื่องมือก็กลับกลายเป็นภาระของขบวนประชาชนในหลายพื้นที่
 
การหายตัวไปจำนวนหนึ่งของวิทยุชุมชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เคยเฟื่องฟูนั้นมาจาก การต่อสู้อันยาวนานของกระบวนการปฏิรูปสื่อตามแนวอุดมการณ์นั้นมันมาพบทางตันเมื่อพบว่า องค์กรอิสระที่จะมาทำหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่ตามมาตรา 40 ของรัฐธรรมนูญ 2540 นั้นไม่เคยเกิดขึ้นจริง แม้จะมีความพยายามหลาย ๆ ครั้ง แต่สุดท้ายก็พบว่า คนที่ถือธงนำขบวนปฏิรูปสื่อวิทยุชุมชนเองต่างเผชิญชะตากรรมที่ไม่รู้ว่าจะไปต่ออย่างไร
 
มิหนำซ้ำการเกิดขึ้นอย่างแพร่หลายและขยายตัวแบบไร้ทิศทาง ไร้คนจัดระเบียบคลื่นของวิทยุบริการธุรกิจที่กระจายตัวอย่างรุนแรงนับตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมานั้นมันได้สร้างปัญหาสั่นคลอนคลื่นวิทยุชุมชนที่มีความเชื่อมั่นในแนวทาง “ไม่แสวงหางกำไรในทางธุรกิจ ไม่แสวงหาอำนาจทางการเมือง” ของบางกลุ่ม บางสถานีจนต้องไขว้เขวและบางส่วนหันเหจากเส้นทางวิทยุประชาธิปไตยไปสู่วิทยุธุรกิจ
 
การมาถึงของวิทยุธุรกิจที่เรียกตัวเองว่า วิทยุชุมชนแต่มีโฆษณา พร้อมกำลังส่งสูง เสาสูงนั้น มันได้สร้างปัญหาคลื่นทับซ้อน ปัญหาคลื่นแทรก จนเบียดขับและดับฝันวิทยุชุมชนผู้ยึดมั่นเสาสูง 30 เมตร กำลังส่ง 30 วัตต์ รัศมีกระจายเสียง 15 กิโลเมตรให้ตายกลางอากาศจำนวนมาก
 
ประกอบกับการมาถึงของคณะรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่มาพร้อมกับข่าวด่วนพิเศษและการเข้มงวดกวดขันการสื่อสารทุกระนาบนั้นได้มีส่วนกำราบการเติบโตของวิทยุชุมชนพอสมควร
 
แกนนำหลายพื้นที่ที่มีวิทยุชุมชนของตนเองได้รับจดหมายแจ้งเตือนจากหน่วยงานความมั่นคง และถูกสะกดรอยตามยามมีความเคลื่อนไหว และมันค่อย ๆ ทำลายความกล้าหาญที่จะสื่อสารแม้แต่ประเด็นการต่อสู้ที่ตนต่อสู้กันมายาวนาน 
 
หลังรัฐประหาร บางส่วนปิดตัวไปอย่างเงียบงัน บางส่วนหันไปร่วมมือกับหน่วยงานความมั่นคง บางส่วนเปลี่ยนแนวทางไปเป็นวิทยุธุรกิจขายน้ำผลไม้สรรพคุณล้นเหลือรักษาสารพัดโรค
 
เมื่อคณะรัฐประหารแต่งตั้งคณะกรรมการยกร่าง พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติและผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 มวลชนผู้เฝ้ารอการมาถึงขององค์กรอิสระที่จะมาจัดสรรคลื่นความถี่จึงได้เห็นโฉมหน้าของ กสทช. ในเวลาต่อมา แต่ทว่า บางส่วนไม่ได้คงอยู่ในแนวทางวิทยุชุมชนอีกต่อไป บางส่วนล้มหายตายจากไปก่อน
 
การมาถึงของ กสทช.และเงื่อนไขทางเทคนิคที่ปลดล็อค 30 – 30 – 15 เป็นกำลังส่งไม่เกิน 500 วัตต์ เสาสูงไม่เกิน 60 เมตรนั้นมันได้ปลดปล่อยวิทยุชุมชนที่เฝ้ารอการส่งเสียงที่ไม่มีใครได้ยิน แต่มันก็อาจจะสายเกินไปสำหรับผู้ที่หล่นหายไปพร้อมกับการมาถึงของวิทยุธุรกิจ วิทยุศาสนาที่มีคลื่นแรงและไกลและไม่สนใจว่าคลื่นจะทับซ้อนกับคลื่นใครในปี 2548 และจากไปหลังจากการมาถึงของข่าวด่วนพิเศษในคืนรัฐประหาร19 กันยายน 2549
 
สภาพปัจจุบัน วิทยุชุมชนของชุมชน โดยชุมชน และเพื่อชุมชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้นกระจายตัวอย่างบางเบาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลางและตอนล่าง และยังคงอบอุ่นอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนที่แอ่งสกลนคร 
 
ความเป็นอยู่ของวิทยุชุมชนที่ไม่แสวงหาผลกำไรทางธุรกิจนั้น บางส่วนได้อาศัยเงินตระกูล ส ทั้งจากการเขียนโครงการเสนอ สสส การเข้าร่วมกับเครือข่ายสมัชชาปฏิรูป เพื่อได้งบประมาณโครงการมาหล่อเลี้ยงสถานีและมีเนื้อหาจากแหล่งทุนมาส่งกระจายเสียงผ่านคลื่นวิทยุชุมชน บางส่วนซึ่งน้อยมากได้รับการสนับสนุนจากชุมชนหล่อเลี้ยงตัวเอง บางส่วนยังอาศัยใบบุญหลวงพ่อเพื่อบรรเทาเยียวยาค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ค่าอินเตอร์เน็ต บางส่วนควักเงินส่วนตัวเพื่อประคับประคองสถานี
 
ความเป็นไปของวิทยุชุมชนที่ไม่แสวงหาอำนาจทางการเมืองนั้น เหมือนบางส่วนเข้าใจกันไปเองว่า เรื่องการเมือง เรื่องความคิดเห็นทางการเมืองหรือความเห็นต่างทางการเมืองนั้นไม่สามารถพูดออกอากาศได้ ต้องเน้นความเป็นกลาง แต่ก็กลับพบว่า สารจากบรรดาแหล่งทุนตระกูล ส ทั้งหลายนั้นมันกลายเป็นวาทกรรมหลักในสื่อเล็กๆที่เรียกว่าวิทยุชุมชนจนล้นเกินในบางรายการ
 
บางครั้ง เมื่อฟังวิทยุชุมชนที่ยังยืนหยัดเป็นวิทยุชุมชนนั้น แม้เราจะได้ฟังสำเนียงเสียงพูดแบบชาวบ้าน แต่เราก็แทบไม่ได้ฟังภาษาชาวบ้านอีกต่อไป เพราะมันเต็มไปด้วยคำขบวน คำใหญ่ ๆ คำของหัวหน้า คำทางวิชาการ คำที่พูดอย่างไรก็ดูดี คำที่ฟังแล้วอัศจรรย์ใจ แต่มันเป็นคำที่ห่างไกลเหลือเกินจากวิถี จากชีวิตของผู้คนที่อยู่รายรอบสถานีวิทยุชุมชน สุดท้าย แทนที่วิทยุชุมชนจะทำหน้าที่รับใช้คนในชุมชน มันกลับกลายไปรับใช้แหล่งทุนเหล่านั้น 
 
นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งใช่ไหม ที่ทำให้วิทยุชุมชนเล็กลงและลดลงไปเอง?
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

บรรยง พงษ์พานิช: การทุจริตข้ามชาติ

$
0
0

เคยมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า บริษัทไอทีชั้นนำของโลก โดยเฉพาะของสหรัฐฯ มักไม่ได้เข้ามาทำสัญญาซื้อขายกับรัฐบาลไทย ทั้งๆ ที่หน่วยงานรัฐของประเทศเรามีความจำเป็นต้องจัดซื้อจัดจ้างทางไอทีนี้ปีละเป็นหมื่นๆ ล้านบาท

วันหนึ่ง เมื่อได้มีโอกาสเจอกับผู้บริหารใหญ่ของหนึ่งในบริษัทเหล่านี้ จึงได้ลองถามดูว่าทำไมถึงได้เป็นอย่างนั้น ก็ได้คำตอบว่าเป็นเพราะว่าสัญญาการจัดซื้อจัดจ้างต่างๆ ของประเทศเรา ซึ่งมีสำนักงานอัยการสูงสุดเป็นผู้ร่างหรือตรวจสอบนั้น "เขี้ยวเหลือเกิน" 

กล่าวคือสัญญาของเรานั้นดูเหมือนจะเอาเปรียบเอกชนท่าเดียว เอะอะอะไรก็ให้เอกชนเป็นฝ่ายแบกรับความเสี่ยง ยิ่งกว่านั้นยังมีความไม่ยืดหยุ่นอย่างมาก กล่าวคือไม่ค่อยเปิดโอกาสให้มีการแก้ไขสัญญาสักเท่าไหร่แม้มีเหตุสมควร ทั้งที่ในโลกของความเป็นจริงนั้น สถานการณ์เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การจะให้เอกชนยอมเซ็นสัญญาและถูกผูกพันที่จะต้องส่งมอบสิ่งต่างๆภายใต้เงื่อนไขตามสัญญาไปตราบฟ้าสิ้นดินดับ ไม่ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปเพียงใดนั้น จึงเป็นความเสี่ยงทางกฎหมายที่เอกชนไหนๆ ก็รับไม่ได้ นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเอกชนเหล่านี้ต้องเซย์โน ไม่ทำธุรกิจกับรัฐบาลไทย

เมื่อได้ฟังอย่างนี้ ใจหนึ่งก็นึกกังขาในสำนักงานอัยการสูงสุดของเราว่าใจคอท่านจะไม่เปิดหูเปิดตาสังเกตแนวปฏิบัติของธุรกิจในโลกเขาบ้างหรืออย่างไร ว่าควรจะร่างสัญญาเพื่อจัดสรรและบริหารความเสี่ยงในลักษณะไหน ที่ทั้งจะไม่ทำให้รัฐถูกเอกชนเอาเปรียบ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังพอมีช่องว่างให้เอกชนเขาทำธุรกิจได้บ้าง เหตุใดจะต้องร่างสัญญาให้มันเขี้ยวเสียจนบริษัทไอทีขนาดใหญ่ซึ่งเขาทำธุรกิจในที่อื่นๆมาแล้วทั่วโลกพากันมาขยาดประเทศไทยอยู่ประเทศเดียว 

เพราะการทำอย่างนั้น ทางหนึ่งไม่เพียงเป็นการบีบให้บริษัทซึ่งมีมาตรฐานดีๆ  และทำอะไรตรงไปตรงมาจำนวนมากไม่เข้ามาทำธุรกิจกับรัฐบาลไทย เพราะกลัวว่าจะได้ไม่คุ้มเสียเท่านั้น แต่ในทางตรงกันข้าม ยังแปลได้ว่า บริษัทใดก็ตามที่ยอมเข้ามาทำธุรกิจกับรัฐบาลไทย ภายใต้เงื่อนไขสัญญาโหดผิดปกติอย่างนั้น อาจเป็นบริษัทที่อยู่ในสถานะจนตรอกเต็มทีจึงไม่มีทางเลือก หรือไม่ก็เห็นทางจะ "เอาคืน"รัฐบาลไทยในทางอื่นๆ ได้อยู่แล้ว ซึ่งแน่นอนย่อมหมายถึงการโกง เช่นหลอกเอาของที่ไม่มีคุณภาพมาขายให้รัฐบาล เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม จะปักใจเชื่อบริษัทเอกชนเหล่านี้เสียทีเดียวก็ไม่ได้ เพราะแม้บริษัทไอทียักษ์ใหญ่เหล่านี้จะไม่ได้เข้ามาทำธุรกิจกับรัฐบาลไทยโดยตรง แต่สุดท้ายบริษัทเหล่านี้ ก็เข้ามาโดยอ้อมอยู่ดี กล่าวคือมักปรากฏว่าบริษัทเหล่านี้นี่แหละที่เป็นซัพพลายเออร์ให้กับบริษัทที่เข้ามาเซ็นสัญญากับรัฐบาลอีกทีหนึ่ง 

จนมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า จริงๆแล้ว ที่บริษัทไอทีขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ไม่เข้ามาทำสัญญากับรัฐบาลไทยนั้นไม่ใช่ว่าสัญญาเขี้ยวอะไรทั้งนั้น แต่เป็นเพราะสหรัฐฯ นั้นมีกฎหมายว่าด้วยการกระทำอันเป็นการทุจริตข้ามชาติ (U.S. Foreign Corrupt Practices Act) หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า FCPA ซึ่งเอาผิดกับผู้ที่ไปติดสินบนเจ้าหน้าที่ของรัฐในต่างประเทศ 

โดยในเมื่อประเทศไทยของเรานั้นก็มีชื่อเสียงขจรขจายอยู่แล้วในเรื่องความเข้มข้นของคอร์รัปชันในภาครัฐ บริษัทไอทีเหล่านี้ก็เลยกลัวกันหมด ไม่กล้าเข้ามาเซ็นสัญญากับรัฐโดยตรง เพราะเดี๋ยวเกิดต้องเลี้ยงน้ำร้อนน้ำชาเป็นค่าจรดปากกาเซ็นสัญญาของบรรดาเจ้าหน้าที่แล้ว บริษัทเหล่านี้ก็จะมีความผิดตาม FCPA และถูกกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ หรือ Department of Justice (DOJ) เล่นงานเอาได้ ซึ่งจากคดีของอดีตผู้ว่า ททท. ถูกกล่าวหาว่ารับสินบนจากเอกชนสหรัฐฯ อันเป็นความผิดตาม FCPA เช่นกัน ก็คงเห็นฤทธิ์กันอยู่แล้วว่า DOJ ของสหรัฐฯ นั้นเขาโหดแค่ไหน เรียกได้ว่าขณะเจ้าหน้าที่ไทยผู้ถูกกล่าวหาว่ารับสินบนยังอยู่ในขั้นฟ้องร้องกันอยู่ในศาลไทย ฝ่ายผู้จ่ายสินบนคนสหรัฐฯ นั้นถูก DOJ เล่นเสียจนถูกฟ้องถูกพิพากษาและถูกจำคุกจนครบกระบวนการแล้ว

อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นอย่างที่ว่ามานี้จริง ลำพังการทำตัวเป็นซัพพลายเออร์ให้กับบริษัทที่เซ็นสัญญากับรัฐอีกทีหนึ่งของบริษัทไอทีเหล่านี้ โดยหวังว่าถ้ามีการทุจริตติดสินบนอะไรก็เป็นเรื่องของบริษัทที่เซ็น ไม่เกี่ยวกับตัวนั้น ก็ใช่ว่าจะทำให้บริษัทไอทีเหล่านี้พ้นผิดเสียทีเดียว เพราะถ้าพลิกกฎหมาย FCPA นั้นจะเห็นได้เลยว่าเขาใช้ถ้อยคำกว้างขวางมาก กล่าวคือนอกจากกฎหมายจะเอาผิดแก่บริษัทที่มีสัญชาติสหรัฐฯที่ไปติดสินบนแล้ว คำว่าบริษัทที่มีสัญชาติสหรัฐฯนั้น นั้นยังมีการนิยามให้รวมความถึง "กรรมการ เจ้าหน้าที่ ลูกจ้าง ตัวแทน ผู้แทนจำหน่าย และผู้ถือหุ้น ผู้ซึ่งกระทำการเพื่อประโยชน์ของบริษัทสัญชาติสหรัฐฯ"ด้วย ซึ่งย่อมแปลว่า ไม่ว่าบริษัทไอทีทั้งหลายจะหาบริษัทอื่นมาเป็น "กันชน"ของตัวเองกี่ทอดก็ตาม ถ้ามีการพิสูจน์ได้ว่าบริษัทกันชนเหล่านั้นมีการให้สินบนแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐขึ้นมา สุดท้ายแล้ว DOJ ก็อาจจะไล่เบี้ย ไล่ชนไปจนถึงตัวบริษัทไอทีซึ่งนั่งทำท่าไม่รู้ไม่ชี้อยู่จนได้นั่นเอง

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะบอกว่า ในเมื่อกฎหมายเขามีพร้อมอยู่แล้ว ทรัพยากรในการบังคับใช้เขาก็มีพร้อมอยู่แล้ว การร้องเรียนให้ DOJ ของสหรัฐฯ เข้ามาตรวจบริษัทต่างๆ ที่เข้ามาทำธุรกิจกับรัฐบาลไทยและมีพฤติกรรมน่าสงสัย ไม่ว่าทางตรง ทางอ้อมก็นับเป็นอีกหนึ่งมาตรการในการต่อต้านคอร์รัปชันที่ประเทศเราสมควรจะทำอย่างยิ่ง เพราะได้ทั้งประสิทธิภาพ ได้ทั้งประหยัด

ดังนั้น ใครมีเบาะแสก็ขอเรียนเชิญนะครับ

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เพจ V for Thailand ประกาศ "พักกิจกรรม"ใน กทม.

$
0
0

แต่ยืนยันว่าจะกลับมาอีก "ในซีซั่นต่อไป"เมื่อทุกคนพร้อมที่จะดำเนินการในวิถีแห่ง V ขณะที่สมาชิกเพจจำนวนหนึ่งโพสต์แสดงความไม่เห็นด้วย เนื่องจากเห็นว่าจัดกิจกรรมมาอย่างต่อเนื่องแล้ว และที่ กทม. มีผู้ออกมาชุมนุมมากขึ้น

เมื่อวานนี้ (2 ก.ค.) เพจ V for Thailand ซึ่งเป็นเพจศูนย์กลางของผู้ชุมนุมหน้ากายฟอว์กส์ หรือหน้ากาก V ได้เผยแพร่ "แถลงการณ์ พักกิจกรรม"โดยมีใจความว่า "แถลงการณ์ "พักกิจกรรม"เพื่อให้เป็นการกลับไปทบทวนบทบาทของทุกกลุ่มที่กำลังดำเนินการโค่น อำนาจเผด็จการ และคอร์รัปชั่น ว่าแนวทางของท่าน ใช่แนวทาง ที่เราชาว V ต้องการหรือไม่"

"V for Thailand ขอประกาศ พักกิจกรรม ในกรุงเทพมหานครแล้ว V จะกลับมาเปิดกิจกรรมใน Season ต่อไป เมื่อทุกกลุ่ม ทุกท่านพร้อมที่จะดำเนินการในวิถีแห่งความเป็น V = We = พวกเรา = ประชาชน ที่ไม่ใช่คนของใคร แต่เป็นคนที่จะทำหน้าที่เพื่อประเทศไทย (ลงชื่อ) V F T"

นอกจากนี้ในโพสต์ดังกล่าว ยังมีการพิมพ์ข้อความกำกับเพิ่มด้วยว่า "พักกิจกรรมชั่วคราว เนื่องจากประชาชนหลายกลุ่มยังไม่พร้อมเป็น V ต่างจังหวัดจัดต่อได้ตามปกติครับ "

โดยภายหลังที่เพจ V for Thailand เผยแพร่แถลงการณ์ออกไป ได้ทำให้สมาชิกเพจได้แสดงความเห็นในเชิงเสียดาย และไม่เห็นด้วยเนื่องจากผู้ชุมนุมหน้ากากกายฟอว์กส์ หรือหน้ากาก V ได้จัดการชุมนุมไปแล้วทั่วประเทศ และมีผู้ชุมนุมมาสมทบมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ขณะที่บางคนโพสต์แจ้งในเพจว่าจะยังคงไปรวมตัวที่หน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์เพื่อยืนยันจุดยืน นอกจากนี้ ยังคงมีสมาชิกเพจรายหนึ่งส่งข้อความมายังผู้ดูแลเพจ V for Thailand แจ้งว่าเขาเป็นผู้ขายหน้ากากกายฟอว์กส์ และเพิ่งได้รับสินค้า โดยผู้สนใจสามารถขอดูก่อนได้

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 20494 articles
Browse latest View live