Quantcast
Channel: ข่าว
Viewing all 20494 articles
Browse latest View live

กานดา นาคน้อย: ข้าว เหล้า ไวน์

$
0
0

ช่วงนี้รัฐบาลโดนโจมตีว่านโยบายจำนำข้าวสร้างภาระทางการคลังมากมายมหาศาล   ยังไม่ชัดเจนว่ามหาศาลเท่าการขาดทุนขององค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน(ปรส.)หรือเท่าการเพิ่มงบประมาณกลาโหมอย่างต่อเนื่องตั้งแต่รัฐประหารปี 2549หรือไม่?    บ้างก็เสนอว่านโยบายประกันราคาข้าวดีกว่านโยบายจำนำข้าว     ที่จริงแล้วมีนโยบายช่วยชาวนาที่ดีกว่าการแทรกแซงราคาข้าวแต่ยังไม่มีรัฐบาลไหนสนใจทำ  อาทิ  การจัดตั้งโรงสีในรูปรัฐวิสาหกิจเพื่อลดอำนาจตลาดของโรงสีเอกชน   เปิดเสรีธุรกิจสุราเพื่อส่งเสริมการแปรรูปข้าว   ฯลฯ 

ไทยเปิดเสรีสุราแล้วตั้งแต่พศ. 2546แล้วไม่ใช่หรือ?

แม้ว่าในยุครัฐบาลทักษิณ 1 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ส่งเสริมการใช้ผลผลิตทางการเกษตรทำสุรากลั่นชุมชนของประชาชนในท้องถิ่น   การส่งเสริมดังกล่าวมีข้อจำกัดมากจนเกินกว่าจะเรียกได้ว่าไทยเปิดเสรีสุราแล้ว   ข้อจำกัดที่สำคัญมีดังต่อไปนี้

1.    อนุญาตให้ผลิตสุราชุมชนได้ทั้ง“สุรากลั่น”และ “สุราแช่”แต่ไม่ให้ผลิต “สุราแช่ประเภทเบียร์”  และกำหนดว่าสุรากลั่นชุมชนต้องมีแรงแอลกอฮอล์เกินกว่า 15 ดีกรีแต่ไม่เกิน 40 ดีกรี  ส่วนสุราแช่ต้องไม่เกิน 15 ดีกรี

สุราแช่อาศัยการหมักซึ่งให้สุราที่มีแอลกอฮอล์ต่ำกว่าสุรากลั่น   สุราแช่มีแอลกอฮอล์ระหว่าง 4-23 ดีกรี (อาทิ ไวน์คูลเลอร์  เบียร์ ไวน์  พอร์ต)  ประเด็นสำคัญคือมติครม.สงวนสุราแช่ประเภทเบียร์ไว้ให้ผู้ผลิตรายใหญ่   หมายความว่ารัฐบาลยินยอมให้ผู้ผลิตเบียร์ไม่กี่รายเป็นอภิมหาเศรษฐีโดยไม่แบ่งกำไรให้ผู้ผลิตชุมชน   การจำกัดไม่ให้ผลิตไวน์ทีสูงกว่า 15 ดีกรีเป็นการสงวนไว้ให้กับผู้ผลิตรายใหญ่และไวน์นำเข้าจากต่างประเทศ   ประชาชนที่ถือศีล 5 อาจจะหวาดกลัวว่าการเปิดเสรีจะทำให้อาชญากรรมเพิ่มขึ้น   ขอแนะนำให้ศึกษากรณีของญี่ปุ่น   ญี่ปุ่นอนุญาตให้รายย่อยผลิตสุราแช่ได้สารพัดจนนับไม่ถ้วน   แต่ญี่ปุ่นมีอาชญากรรมน้อยติดอันดับโลก  

2.    กำหนดว่าสุรากลั่นชุมชนต้องติดฉลากว่า“สุราขาว”

การจำกัดฉลากว่าสุราขาวหรือที่เรียกกันว่า “เหล้าขาว”ทำให้มีภาพพจน์ว่าสุราชุมชนเป็นสินค้าคุณภาพต่ำทั้งๆที่สุรากลั่นในต่างประเทศมีคุณภาพหลากหลายและมีชื่อเรียกสารพัดแล้วแต่ว่าใช้วัตถุดิบอะไร   ที่จริงแล้วสุรากลั่นที่ตีตลาดโลกจนขายดีทีสุดในโลกคือสุรากลั่นเกาหลีใต้ที่ทำจากข้าว(เดี๋ยวนี้ใช้แป้งชนิดต่างๆรวมทั้งแป้งมันสำปะหลังด้วย)    รัฐบาลควรยกเลิกการจำกัดฉลากสุราชุมชนด้วยคำว่า “สุราขาว”และตั้งชื่อใหม่ตามแต่วัตถุดิบเพื่อยกระดับภาพพจน์ของสุรากลั่นในลักษณะเดียวกับสุราแช่ที่ผลิตจากผลไม้และข้าว   ถ้าสุรากลั่นชุมชนสามารถติดฉลากในลักษณะเดียวกับ “ไวน์คูลเลอร์”หรือ “ไวน์”    ก็จะช่วยขยายตลาดข้าว(และสินค้าเกษตรต่างๆ)ให้กว้างขึ้น

3.    อำนาจของอธิบดีกรมสรรพสามิตที่จะอนุญาตให้ผลิตสุราชุมชนหรือไม่ยังอ้างอิงพรบ.สุราพศ. 2493 ที่กีดกันการแข่งขัน

สาระสำคัญของพรบ.ดังกล่าวคือการส่งเสริมการผูกขาดการผลิตและจำหน่ายสุราโดยผู้ผลิตรายใหญ่ที่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาล   การกีดกันด้วยอัตราภาษีนำเข้าทำให้ผู้ผลิตในประเทศไม่กี่รายที่รัฐบาลคุ้มครองอยู่ขายสุราด้วยราคาแพงได้    พรบ.สุราพศ.2493โดนแก้มาหลายครั้งโดยเฉพาะทีเกี่ยวข้องกับอัตราภาษีแต่ยังไม่ยกเลิก  ที่สำคัญ  อำนาจของอธิบดีกรมสรรพสามิตที่จะอนุญาตให้ผลิตสุราหรือนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง   พรบ.นี้เก่าแก่ล้าหลังและสนับสนุนการผูกขาดยิ่งกว่าพรบ.การธนาคารพาณิชย์   

ก้าวไปให้พ้นการจำนำข้าว

การเปิดเสรีสุราสามารถเปลี่ยนโครงสร้างการตลาดเพื่อช่วยชาวนาและเกษตรกรโดยรวมในระยะยาวได้   การเปิดเสรีสุราเป็นนโยบายทั่วไปในประเทศที่พัฒนาแล้ว   ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น  เกาหลีใต้  สหรัฐฯ  หรือประเทศพัฒนาแล้วในยุโรปตะวันตก   การเปิดเสรีไม่ได้หมายความว่าใครก็ลุกขึ้นมาผลิตสุราขายได้เหมือนขายเสื้อ   แต่หมายความว่ากระบวนการให้ใบอนุญาตโปร่งใสและตรวจสอบได้กว่ากระบวนการของไทย   และกฎหมายสนับสนุนการแข่งขันไม่ใช่ส่งเสริมการผูกขาด     การเปิดเสรีสุราดีกว่าการจำนำข้าวที่มีผลระยะสั้น    ราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกผันผวนมากดังนั้นรัฐบาลควรเลิกยึดติดกับสถานะ“ผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ในตลาดโลก”   การเปิดเสรีสุราจะช่วยขยายตลาดในประเทศให้แก่ข้าวและผลผลิตการเกษตรอื่นๆ    

ว่าแต่ว่านักการเมืองที่โจมตีการจำนำข้าวจะผลักดันการเปิดเสรีสุราไหม?   หรือว่าขี่หลังสิงห์หลังช้างแล้วลงไม่ได้? 

 

หมายเหตุ

แก้ไขเพิ่มเติมเนื้อหาเวลา 14.42 น. วันที่ 24 มิ.ย. 2556

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

หน้ากากขาวมาตามนัดรวมตัว 'เซ็นทรัลเวิลด์-ตจว.-ตปท.'

$
0
0
หน้ากากขาวรวมตัว เซ็นทรัลเวิลด์ ต่างจังหวัด "ออสเตรเลีย-ฮ่องกง"เอาด้วย บชน.คาดชุมนุมหน้ากากขาว 3,000 ยันดูแลเต็มที่ 40 ส.ว.ซัด 'เฉลิม'ขู่หน้ากากขาวหวังสกัดมวลชน

 
 
 
 
 
 
 
 
การชุมนุมของกลุ่มหน้ากากขาวในกรุงเทพ ต่างจังหวัด และต่างประเทศ (ที่มาภาพ: www.facebook.com/V.For.Thailand)
 
 
23 มิ.ย.56 - เว็บไซต์คมชัดลึกรายงานว่าเมื่อเวลาประมาณ 13.00 น. กลุ่มหน้ากากขาว ได้รวมตัวกันที่ด้านหน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์ โดยทางห้างได้นำรั้วเหล็กมากั้นเอาไว้ แต่ผู้ชุมนุมก็ยังเข้ามาชุมนุมในพื้นที่ดังกล่าวเป็นจำนวนมาก  ทั้งนี้ในการรักษาความปลอดภัยได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยรักษาความปลอดภัยอยู่ที่บริเวณทางเข้าห้าง และเข้มงวดเรื่องการตรวจอาวุธ  
 
จากนั้นเวลา 14.25 น. กลุ่มหน้ากากขาวเคลื่อนตัวออกจากหน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์ มุ่งหน้าไปจัดกิจกรรมที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ระหว่างเคลื่อนขบวนได้มีมอเตอร์ไซค์นำหน้า จากนั้นตามมาด้วยมวลชน  ทั้งนี้ระหว่างทางที่ผ่านสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็หยุดขบวนและกล่าวโจมตีการทำงานของตำรวจและพร้อมใจกันตะโกนข้อความ "ขี้ข้าทักษิณ"โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 1 กองร้อยนำโล่มาตั้งแถวป้องกัน
 
นอกจากวันนี้ที่มีการนัดรวมตัวของกลุ่มหน้ากากขาวทั่วประเทศไทยแล้วยังมีการรวมตัวของกลุ่มคนไทยใส่หน้ากากขาวในต่างจังหวัด และต่างประเทศ ที่ประเทศออสเตรเลีย และ เกาะฮ่องกง ด้วย โดยมีการโพสต์รูปและคลิป ผ่านทางโซเชียลเน็ทเวิร์กอย่างคึกคัก
 
"สุริยะใส"ชี้ปรากฎการณ์หน้ากากขาว ฉีกหน้ากาก ปชต.ของระบอบทักษิณ
 
ด้านนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน (Green Politics) กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มคนหน้ากากขาวว่า ตนเห็นว่าการขยายตัวในวงกว้างของหน้ากากขาวทั้งในประเทศ และนอกประเทศมีมากขึ้น บวกกลับมีหน้ากากขาวกำลังไล่รัฐบาลในบางประเทศ เช่น ที่บราซิล ตุรกี เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ออกอาการหวั่นไหว จึงพยายามข่มขู ทำลายความชอบธรรมไม่เว้นแต่ละวัน กระแสหน้ากากขาวทะลุทะลวงสภาวะการเมืองไทย 2 ระดับจนอาจส่งผลให้รัฐบาลชุดนี้พังพาบไปก่อนเวลา การทะลวงระดับหนึ่ง คือ การก่อรูปของขบวนการต่อต้านระบอบทักษิณที่ยังมีอยู่ แต่ที่ผ่านมากระจัดกระจายรวมกันไม่ติดและถูกตราตรึงด้วยกลไกลที่ฉ้อฉลของรัฐ และคำสั่งศาลที่ห้ามแกนนำร้อยกว่าคนออกมาชุมนุมเคลื่อนไหว
 
นายสุริยะใส กล่าวต่อว่า ก่อนหนี้มีความพยายามฮึดสู้ขององค์กรพิทักษ์สยามหรือม็อบ เสธ.อ้าย แต่สุดท้ายก็ถูกจัดการด้วยกฎหมาย ความรุนแรงและสารพัดเล่ห์กลของรัฐจนหยุดการชุมนุมเสธ.อ้ายได้ ทำให้รัฐบาลย่ามใจว่าเป็นจุดจบและขาลงของขบวนการต้านระบอบทักษิณ พอมีปรากฎการณ์หน้ากากขาว ทำให้ขบวนการต้านระบอบทักษิณฟื้นคืนชีพมาอีก และขยายวงได้เร็วและกว้างขึ้นกว่าเดิม ยิ่งรัฐบาลขาลงปรากฎการณ์การณ์หน้ากากขาวยิ่งทรงพลังสวนทางกัน
 
ส่วนการทะลวงในระดับที่สอง คือ การตีฝ่ากับดักทางยุทธศาสตร์ "โลกล้อมประเทศ"ที่พ.ต.ท.ทักษิณ เคยว่าจ้างไหว้วานบริษัทล็อบบี้ยิสต์กล่าวหาประเทศไทยว่าไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะมีการยึดอำนาจของเขาที่มาจากการเลือกตั้ง และวาดภาพว่าประเทศไทยเป็นระบอบอำมาตยาธิปไตย และล่าสุดสปีชของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ที่มองโกเลียและศรีลังกา ที่บิดเบือนว่าประเทศไทยยังมีกลุ่มต่อต้านประชาธิปไตยป้ายสีการตรวจสอบรัฐบาลว่าเป็นขบวนการนอกรัฐธรรมนูญ พอมีหน้ากากซึ่งเป็นสัญลักษณต่อสู้กับอำนาจที่ฉ้อฉลในระดับสากลทำให้ต่างประเทศหูตาสว่างว่าประเทศไทยกำลังถูกครอบงำด้วยระบอบทักษิณ เพราะขบวนการหน้ากากขาวได้ฉีกหน้ากากประชาธิปไตย หรือเผด็จการทางรัฐสภาของรัฐบาลหุ่นเชิดลงอย่างสิ้นเชิง
 
 
บชน.คาดหน้ากากขาวม็อบ 3,000 ยันดูแลเต็มที่
 
เว็บไซต์ไอเอ็นเอ็นรายงานว่า พล.ต.ต.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวย้ำกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ถึงการนัดหมายการชุมนุมของหน้ากากขาวในวันนี้ บริเวณลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เวลา 13.00 น. ว่า จากการประเมินตัวเลขของผู้ร่วมชุมนุม คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 2,000 - 3,000 คน ซึ่งการวางกำลังเจ้าหน้าที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยนั้น ก็ได้มีการเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ อีกทั้งมีการประเมินสถานการณ์และการข่าวชั่วโมงต่อชั่วโมง เพื่อพิจารณาการเพิ่ม-ลดกำลังเจ้าหน้าที่ เนื่องจากสถานที่รวมตัวเป็นพื้นที่เปิด พื้นที่สาธารณะ จะต้องพิจารณาการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคง เพราะอาจไปลิดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชนที่อาศัยเเละสัญจรผ่านไปมา หรือเดินศูนย์การค้าดังกล่าวได้
 
ขณะเดียวกัน การเฝ้าระวังก็เป็นอีกเรื่องที่ตำรวจให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพื่อไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งระหว่างผู้สนับสนุนและฝ่ายตรงข้าม รวมไปถึงมือที่สาม ที่อาจจะเข้ามาก่อความวุ่นวายได้ อย่างไรก็ตาม พล.ต.ต.ฐิติราช ยังกล่าวย้ำว่า ตำรวจจะพยายามดูแลความสงบเรียบร้อยอย่างเต็มที่
 
ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการชุมนุมของหน้ากากขาว ว่า ได้มีการคุยกันว่าเป็นกลุ่มเดิมที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลที่เคลื่อนไหวเพื่อต้องการล้มรัฐบาล ซึ่งก็ติดตาม และดูข้อเรียกร้องอยู่ ส่วนที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี บอกว่าจะมีมือที่ 3 วางระเบิดนั้น ก็คงจะเป็นการพูดเพื่อปรามมือที่ 3 ด้วย ซึ่งมีความเป็นห่วงเช่นกัน เพราะขณะนี้สภาปิด การเมืองก็อยู่นอกสภา แต่เชื่อว่า สถานการณ์เหล่านี้จะหมดไปเมื่อสภาเปิด
 
 
 
40 ส.ว.ซัด "เฉลิม"ขู่หน้ากากขาวหวังสกัดมวลชน
 
ด้านเว็บไซต์โพสต์ทูเดย์รายงานว่านายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหาในฐานะประธานอนุกรรมาธิการศึกษาติดตามการดำเนินงานด้านสิทธิเสรีภาพ วุฒิสภา กล่าวถึงกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่าอาจมีระเบิดโยนใส่ที่ชุมนุมกลุ่มหน้ากากขาวว่า ว่า เป็นความต้องการที่จะข่มขู่เพื่อสกัดกั้นไม่ให้ประชาชนออกมาชุมนุม หลังจากที่รู้ดีว่าหมดปัญญาที่จะหยุดการเติบโตของกลุ่มหน้ากากขาวได้แล้ว จึงใช้วิธีการที่ถนัดคือการข่มขู่ พร้อมกับป้ายสีว่ากลุ่มหน้ากากขาวได้รับใบสั่ง ทั้งที่ความจริงไม่มีใกล้บงการกลุ่มนี้ได้ ทั้งนี้ กลุ่มหน้ากากขาวอาจจะมาจากภาคส่วนต่างๆ ทั้งเสื้อเหลือง กลุ่มหลากสี กลุ่มสนามหลวง ประชาธิปัตย์ หรือนานาประชาชนแต่ก็มีหัวใจดวงเดียวกันคือ ไม่เอาเผด็จการทุนสามานย์ของระบอบทักษิณและเห็นว่าบ้านเมืองบรรลัยไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว
 
"หน้ากากขาวมีความเชื่อมั่นในพลังแห่งความถูกต้องที่ต้านยันใครหรือกลุ่มใดก็ตามซึ่งทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน ใช้อำนาจบาตรใหญ่ฉ้อฉลและย่ำยีประเทศชาติ เขาไม่จำเป็นต้องรู้จักกัน เขาไม่ต้องมีใครมาชี้นำ แต่เขารู้ว่าเขาควรทำอย่างไร และจะเดินไปสู่เป้าหมายเดียวกันอย่างไร ด้วยการใช้สิทธิแสดงออกตามรัฐธรรมนูญคือชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ ซึ่งไม่มีกฏหมายฉบับใดมาเอาผิดได้ โดยไม่ได้ใช้ความเถื่อนถ่อยหรือวิธีอันธพาลใดๆเลยไนายประสารกล่าว
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รายงาน: เมื่อนักโทษการเมืองร่วมฉลองวันชาติ (24 มิถุนา)

$
0
0

 



 

ก่อนจะมีงานรำลึกวันชาติในเย็นวันนี้ (23 มิ.ย.) จนถึงเช้ามืดวันพรุ่งนี้ (24 มิ.ย.) ซึ่งเป็นย่ำรุ่งของการประกาศเปลี่ยนแปลงการปกครองที่หมุดคณะราษฎร บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า

เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.ที่ผ่านมา กลุ่มปฏิญญาหน้าศาล นำโดย สุดา รังกุพันธุ์ หรือที่ใครๆ เรียก อาจารย์หวาน และกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย ร่วมกับกลุ่มคนเสื้อแดงอิสระอื่นๆ อีกราว 40 คน ได้ร่วมกันฉลองวันชาติกับนักโทษการเมือง ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

สุวรรณา ตาลเหล็ก จากกลุ่ม 24 มิถุนาฯ กล่าวว่า เนื่องจากนักโทษการเมืองที่ยังหลงเหลืออยู่เกือบ 20 คน (ไม่รวมคดี มาตรา 112) นั้นไม่มีโอกาสได้ร่วมเฉลิมฉลองวันชาติดั้งเดิมของประเทศไทยกับคนอื่นๆ พวกเขาจึงขนย้ายหมุดคณะราษฎรอันเบ้อเริ่ม (จำลอง) มาที่นี่และร่วมร้องเพลงชาติ เวอร์ชั่น 24 มิถุนา กับนักโทษการเมือง

นอจากนี้ยังมีการจัดเลี้ยงอาหารทั้งผัดไทยปู ก๋วยเตี๋ยวหมู ขนมหวาน ผลไม้ โดยได้รับการสนับสนุนจากคนเสื้อแดงจากพื้นที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น มีนบุรี ลาดกระบัง จันทบุรี รวมถึงจังหวัดอื่นๆ ที่แวะเวียนสลับกันมาจัดทำอาหารให้นักโทษการเมือง นอกจากนี้ยังมีการเล่นดนตรีของวงไฟเย็นและเปิ้ล วารี ด้วย

อันที่จริง ประเพณีการเยี่ยมนักโทษเสื้อแดงนั้นมีมานาน ตั้งแต่มีการย้ายผู้ต้องขังคดีการเมืองแยกออกมาจากเรือนจำปกติ ตามเสียงเรียกร้องของหลายฝ่ายว่าการกระทำผิดจากแรงจูงใจทางการเมืองนั้นต่างออกไปจากการก่ออาชญากรรม เสียงสำคัญเสียงหนึ่งคือ คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.)

ประเพณีนี้น่าสนใจในแง่ที่จุดเริ่มต้น การจัดการ กระบวนการต่างๆ นั้นเกิดขึ้นจากประชาชนที่พยายามดูแลประชาชนด้วยกันเองหลังการสลายการชุมนุมเมื่อเดือนพ.ค.53

ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมเดือน เม.ย.-พ.ค.2553 หรือ ศปช. รายงานว่าช่วงต้นๆ ของการจับกุมคุมขังนั้นมีประชาชนถูกจับกุมถึงเกือบ 2,000 คน ช่วงนั้นเรียกว่าเป็นช่วงฝุ่นตลบที่ยังไม่มีใครช่วยเหลือใครได้ ส่วนใหญ่เป็นคดีฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ส่วนที่ต้องยกฟ้องไปก็มีหลายคดี เพราะเป็นเพียงผู้ผ่านทาง มีกระทั่งกรณีคนเร่ร่อนเก็บขยะที่ยังโดนจับกุมและอยู่ในเรือนจำนาน 6 เดือนก่อนศาลจะยกฟ้อง (อ่านที่ ยกฟ้องคดีคนเร่ร่อนฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หลังจำคุกกว่า 5 เดือน) จนกระทั่งผ่านมา 1 ปีหลังเหตุการณ์สลายการชุมนุมก็ยังพบว่ามีผู้ต้องขังทั่วประเทศอีกราว 130 กว่าคน ส่วนใหญ่จากข้อหาฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉิน

จากนั้นจึงเหลือผู้ที่ถูกฟ้องคดีและต้องโทษนานนับปีที่จะถูกขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ เรือนจำคลองเปรม และเรือนจำประจำจังหวัดอื่นๆ ที่มีความพยายามเผาศาลากลาง กระทั่งวันที่ 17 ม.ค.2555 จึงมีคำสั่งย้ายนักโทษจากการสลายการชุมนุมมารวมกันที่เรือนจำหลักสี่ ยกเว้นคดี มาตรา 112 ซึ่งในเรื่องนี้สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือแซ่ด่าน ได้เคยท้วงติงไว้ว่า คดีมาตรา 112 ถือเป็นนักโทษทางความคิด เป็นการเมืองเสียยิ่งกว่าการเมือง

 


ตุ๋ย กัลยา
 

ตุ๋ย กัลยา เป็นหนึ่งในเสื้อแดงหลายๆ คนที่ตระเวนเยี่ยมเยียนนักโทษเป็นประจำ รวมทั้งจัดการสิ่งต่างๆ แม้แต่การซื้อหาหยูกยาให้นักโทษเล่าว่า เธอเริ่มเยี่ยมนักโทษตั้งแต่ก่อนที่สุรชัย แซ่ด่านจะโดนจับเมื่อ 21 ก.พ.54 และพบว่าพวกเขาส่วนใหญ่มีฐานะยากจน มีความเป็นอยู่ในเรือนจำที่ยากลำบาก ครอบครัวก็ลำบาก ทำให้เกิดความสงสารและต้องมาเยี่ยมพวกเขาบ่อยครั้ง จนกระทั่งมีการย้ายผู้ต้องขังจำนวนหนึ่งไปเรือนจำหลักสี่ก็ตามไปเยี่ยมทั้งสองที่

“เราได้ข่าวว่าพวกนักโทษ(ที่หลักสี่)อดๆ อยากๆ ก็เลยขออนุญาตผู้คุมเอาอาหารมาเลี้ยง ตอนแรกๆ มาทุก จันทร์ อังคาร ศุกร์ ทำได้สักสามสี่เดือนก็ต้องลดลงเหลืออาทิตย์ละวัน เพราะมื้อนึงก็ต้องควักประมาณสี่พัน” กัลยากล่าว

ทั้งนี้ เรือนจำหลักสี่มีการคุมขังเหมือนผู้ต้องขังในเรือนจำทั่วไป แต่อนุโลมในระเบียบบางประการ เช่น สามารถฝากอาหารได้ และไม่จำกัดเวลาเยี่ยม

จากนั้นกลุ่มแดงมีนบุรีที่เธอสังกัดจึงเริ่มช่วยกันระดมทุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อวัตถุดิบมาทำอาหาร แต่สุดท้ายความช่วยเหลือก็ดูเหมือนเริ่มขยายวง

“มวลชนเขาก็ช่วยกันบริจาค แต่พอเห็นญาตินักโทษแล้ว เราก็เอาไม่ลง เลยบริจาคเป็นค่าเดินทางให้ญาตินักโทษไป” เจ้าตัวกล่าวพร้อมหัวเราะ

บรรยากาศลุ่มๆ ดอนๆ ของกลุ่มต่างๆ ที่สลับแวะเวียนกันมาที่เรือนจำมีให้เห็นไม่ขาดสาย รวมถึงกลุ่มปฏิญญาหน้าศาลที่เข้ามาร่วมเลี้ยงอาหารและหลายๆ ครั้งก็จัดกิจกรรมเสวนาที่เรือนจำด้วย

อาจกล่าวได้ว่าในช่วง 2553 กับ 2554 ทั้งปีจะเป็นช่วงที่ผู้ต้องขังอยู่ในสภาพที่ยากลำบาก และได้รับการประคับประคอง ดูแลทั้งการเยี่ยม อาหาร การเงินจากคนเสื้อแดงด้วยกันเอง ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ใช่คนมีฐานะ โดยไม่มีแกนนำ ไม่มีนักการเมืองเข้ามากให้การดูแลไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม กระทั่งปลายปี 54 จึงมีการระดมทุนจากเสื้อแดงต่างประเทศและเริ่มมีความช่วยเหลือนักโทษและญาติอย่างเป็นกิจจะลักษณะ เป็นค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ รายเดือน

ประสิทธิ์ พลอยทับทิม ผู้ต้องขังที่ถูกศาลลงโทษจำคุก 1 ปีกว่า จากการขัดขวางเทศกิจเข้ามารื้อเวทีกลุ่มพิราบขาว และถูกเทศกิจตีจนขาหัก เล่าว่า คดีของเขาเกิดเมื่อปี 50 แต่เพิ่งถูกตัดสินจำคุกเมื่อไม่นานมานี้ เนื่องจากที่ผ่านมาเขาได้ขึ้นศาลเพียง 2-3 ครั้ง แล้วทนายก็ไม่ติดต่ออีก เขาจึงคิดว่าคดีสิ้นสุดแล้วและประกอบอาชีพ รปภ.ที่ชลบุรีต่อไปตามปกติจนกระทั่งถูกจับกุมและพิพากษาจำคุก 1 ปี  

ประสิทธิ์พูดทั้งน้ำตาว่า ถ้าเขาไม่ได้มวลชนคอยมาเยี่ยมเยียนให้กำลังใจ และ “ป้าน้อย” ภรรยาสุรชัย แซ่ด่าน ที่มาเยี่ยมและคอยให้ความช่วยเหลือลูกสาวคนเดียวของเขาที่อุดร เขาคงคิดฆ่าตัวตายในคุกในนานแล้ว

 


ลูกสาวประสิทธิ์ พลอยทับทิม

“ถึงเราจะเป็นคนยากคนจน เราก็รู้เรื่อง เราสู้เรื่องประชาธิปไตยตั้งแต่ปี 48 แล้ว แต่ตอนนี้ไม่มีใครเหลียวแล ผมไม่โทษใคร แต่ผมน้อยใจ ที่ยังอยู่ได้ก็เพราะห่วงลูกสาว รับจ้างทำนาเลี้ยงยายคนเดียวอยู่ที่อุดร ค่าจ้างก็ได้แค่ข้าว 2 กิโล ลงมาเยี่ยมเดือนละครั้งก็ยากลำบาก มันเครียดมากๆ เพราะเรารู้สึกว่าไม่ได้ทำผิดอะไร คนอื่นมีญาติมาเยี่ยม แต่เราไม่มี ลูกก็ต้องมาลำบาก” ประสิทธิ์กล่าว

กัลยา ยังเล่าว่า นักโทษการเมืองหลายคนมีอาการซึมเศร้า โดยยกตัวอย่างพิทยา แน่นอุดร อดีตผู้ต้องขังคดีครอบครองวัตถุระเบิดหรือประทัดยักษ์ อยู่ในเรือนจำมา 3 ปีกว่า ก่อนที่จะได้รับการพักโทษ ซึ่งเป็นมาตรการทั่วไปสำหรับนักโทษชั้นดี เขาเคยมีอาการซึมเศร้า เครียดจัดจนถึงขั้นทำร้ายตัวเอง เพราะหลังจากเขาอยู่ในเรือนจำไม่นานพ่อก็เสียชีวิตลง จากนั้นไม่ถึง 2 เดือนแม่ก็เสียชีวิตตามไป ทำให้เพื่อนผู้ต้องขังต้องให้การดูแลอย่างใกล้ชิด

 “พวกเขาไมได้ทำผิดอะไร เขาเป็นแค่นักโทษการเมือง 3 ปีที่จับมาขังอย่างนี้พอหรือยัง ในเมื่อแกนนำก็ยังให้ประกันได้ ทำไมพวกนี้ถึงไม่ได้ เขาไม่มีพิษมีภัยอะไร มีแต่คนยากคนจนทั้งนั้น” กัลยากล่าวท้ายที่สุด

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ฉลองแบบโต้รุ่ง "24 มิถุนายน 2475"ที่หมุดคณะราษฎร

$
0
0

เปิดตัว "คณะกรรมการ 14 ตุลาเพื่อประชาธิปไตยสมบูรณ์"พร้อมกับจัดงาน "24 มิถุนาฯ เฉลิมฉลองวันชาติประชาชน"ที่หมุดคณะราษฎร ลานพระบรมรูปทรงม้า โดยจัดแบบโต้รุ่งจนถึงเช้าพรุ่งนี้

(วิดีโอ) โต้รุ่งรำลึก "24 มิถุนายน 2475"ครบปีที่ 81

เปิดตัว "คณะกรรมการ 14 ตุลาเพื่อประชาธิปไตยสมบูรณ์"และการกล่าวรำลึกเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครอง โดย พ.ต.พุทธินารถ พหลพลพยุหเสนา บุตรชายของพระยาพหลพลหยุหเสนา ผู้นำคณะราษฎร

ประชาชนเข้าร่วมกิจกรรม "24 มิถุนาฯ เฉลิมฉลองวันชาติประชาชน" ตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ

กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตย (LLTD) จำหน่ายโปสการ์ด "บรรพชนอภิวัฒน์"
สำหรับระดมทุนเพื่อทำกิจกรรมนักศึกษา 

การแสดงดนตรีโดยวงกำปั้น

การแสดงละคร "เก้าแผ่นดิน"โดยกลุ่มประกายไฟการละคร

 

ช่วงค่ำวันนี้ (23 มิ.ย.) กลุ่มประชาสังคมหลายกลุ่ม เช่น สมาคมญาติ 14 ตุลา 2516 เครือข่ายเดือนตุลา มูลนิธิวีรชนประชาธิปไตย กลุ่ม 24 มิถุนาฯ ประชาธิปไตย  กลุ่มประกายไฟ  คนเสื้อแดงกลุ่มย่อย และสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย หรือ สนนท. ร่วมกันจัดงาน "24 มิถุนาฯ เฉลิมฉลองวันชาติประชาชน"โดยเป็นการจัดงานรำลึกเพื่อโหมโรง ก่อนถึงวันครบรอบ 81 ปี การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ที่จะมาถึงในเช้าวันพรุ่งนี้

ในโอกาสนี้ ทางกลุ่มได้ร่วมกันเปิดตัว "คณะกรรมการ 14 ตุลาเพื่อประชาธิปไตยสมบูรณ์"ที่บริเวณหมุดคณะราษฎร ลานพระบรมรูปทรงม้าด้วย โดยนายจรัล ดิษฐาอภิชัย อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ อดีตแกนนำ นปช.รุ่น 2 ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการดังกล่าวเปิดเผยว่าที่ตั้งคณะกรรมการ 14 ตุลา ขึ้นมาอีกกลุ่มเนื่องจากมีคนเตือนตุลาบางกลุ่มหันไปอยู่ฝ่ายต่อต้านประชาธิปไตย ซึ่งผิดกับเจตนารมณ์ของการต่อสู้ของคนเดือนตุลา โดย "คณะกรรมการ 14 ตุลาเพื่อประชาธิปไตยสมบูรณ์"จะดำเนินงานโดยยึดคำขวัญ "จงพิทักษ์เจตนารมณ์ประชาธิปไตยสมบูรณ์ของวีรชน 14 ตุลาคม"ของนายปรีดี พนมยงค์ ผู้นำคณะราษฎร โดยคณะกรรมการดังกล่าวจะจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง จนถึงวันรำลึกเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ในเดือนตุลาคมนี้

สำหรับบรรยากาศภายในงานเป็นไปอย่างคึกคัก โดยตั้งแต่ช่วงเย็น พ.ต.พุทธินารถ พหลพลพยุหเสนา บุตรชายของพระยาพหลพลหยุหเสนาได้กล่าวรำลึกการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 นอกจากนี้การร่วมร้องเพลงวันชาติ 24 มิถุนายน แสดงลำตัดประชาธิปไตยคณะพี่น้องแสงธรรม โดยวัฒน์ วรรลยางกูล การร่วมร้องเพลงวันชาติ 24 มิถุนายน การแสดงดนตรีโดยวงกำปั้น ละครการเมือง "เก้าแผ่นดิน"โดยกลุ่มประกายไฟการละคร

นอกจากนี้กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตย ได้จัดระดมทุนสำหรับทำกิจกรรมด้วยการจำหน่ายโปสการ์ด "บรรพชนอภิวัฒน์"เป็นรูปผู้ก่อการคณะราษฎร ได้แก่ ปรีดี พนมยงค์ พระยาพหลพลพยุหเสนา จอมพล ป. พิบูลสงคราม และนักหนังสือพิมพ์ผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย กุหลาบ สายประดิษฐ์

ขณะที่ในเวลา 24.00 น. คืนนี้ ที่หมุดคณะราษฎร ณัฐพล ใจจริง อาจารย์ประจำสาขาการปกครองท้องถิ่น คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา มีกำหนดการขึ้นอ่านสุนทรพจน์วันชาติครั้งที่ 1 ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม โดยการจัดงานจะดำเนินไปจนถึงเวลา 6.00 น. ของวันพรุ่งนี้ ซึ่งเป็นวันครบรอบการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ครบรอบปีที่ 81

อนึ่งประเทศไทยเคยประกาศให้วันที่ 24 มิถุนายนของทุกปีเป็นวันชาติ เพื่อรำลึกถึงวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 โดยในวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2481 รัฐบาล พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา (ยศในขณะนั้น) ออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง "วันชาติ"โดยถือเป็นวันหยุดราชการด้วย กระทั่งต่อมาวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2503 รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเรื่อง "ให้ถือวันพระราชสมภพเป็นวันเฉลิมฉลองของชาติไทย"ขึ้นมาแทน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

2475 กับสถาบันกษัตริย์

$
0
0

การปฏิวัติสยาม 24 มิถุนายน 2475 คือความพยายามในการดึงอำนาจการปกครองประเทศจากกษัตริย์มาเป็นของราษฎร เอกสารร่วมสมัยที่ผู้อ่านจะได้พบด้านล่างนี้ คือตัวอย่างรูปธรรมของความพยายามดังกล่าวใน 3 ปริมณฑล ได้แก่ (1) การบริหารจัดการราชสำนัก (2) การเมืองเรื่องวัฒนธรรม และ (3) การจัดการทรัพย์สินกษัตริย์ รายละเอียดและการคลี่คลายของแต่ละประเด็น เป็นเรื่องที่ยังรอการวิเคราะห์อภิปรายต่อไป

                หมายเหตุ: การสะกดเป็นไปตามต้นฉบับ และเอกสารไม่ได้เรียงตามลำดับเวลา

 

(เอกสารชิ้นที่ 1)

ด่วน

ที่ ว.๗๑๐๑/๒๔๘๔                                                                                                              กรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรี

                                                                                ๘ กันยายน ๒๔๘๔

เรื่อง ให้ปรับปรุงระเบียบการต่างๆ

จาก เลขาธิการคณะรัฐมนตรี

ถึง นายกรัฐมนตรี ในตำแหน่งบังคับบัญชาสำนักพระราชวัง

                ด้วยคณะรัฐมนตรีได้ประชุมปรึกษาลงมติให้สำนักพระราชวังพิจารณาปรับปรุงระเบียบการต่างๆ เกี่ยวกับงานพระราชพิธี งานเฝ้า การเลี้ยง ฯลฯ โดยให้อนุโลมปฏิบัติอย่างเดียวกับใน Court ของอังกฤษให้มากที่สุดเท่าจะทำได้ แล้วให้ส่งมายังกรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาให้ทันใช้ในวันเฉลิมพระชนม์พรรษาปีนี้

                จึ่งเรียนมาเพื่อดำเนินการต่อไป.

                                                                                ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง

                                                                                            ทวี [ลายมือชื่อ]

                                                                                               ๘ ก.ย. ๘๔

                                                                                         (นายทวี บุณยเกตุ)

 

 

(เอกสารชิ้นที่ 2)

สำเนารายงานประชุมคณะรัฐมนตรี

ครั้งที่ ๑๓/๒๔๘๑

วันจันทร์ ที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๘๑

ฯลฯ                                                        ฯลฯ                                                                        ฯลฯ

เรื่องจร

                ๑๘. เรื่องงานปีใหม่ (เนื่องจากรายงานประชุมครั้งที่ ๔/๒๔๘๑ ตอนที่ ๒ ข้อ ๔๒)

                นายนาวาอากาศเอก พระเวชยันตรังสฤษฏ์ .- ตามที่คณะรัฐมนตรีได้ลงมติให้มอบหมายงานรื่นเริงปีใหม่ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าหน้าที่ ส่วนการจะแบ่งหรือโอนให้จังหวัดหรือเทศบาลเพียงใดนั้น ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาดำเนินการต่อไป บัดนี้ได้ประชุมผู้แทนกระทรวงต่างๆ ไปแล้ว สำหรับหน้าที่กระทรวงเกษตราธิการได้พิจารณาแล้วเห็นว่า พิธีแรกนาขวัญหากจะงด จะทำแต่เพียงแจกพันธ์ข้าว

                หลวงประดิษฐมนูธรรม .- พิธีแรกนาควรทำไปตามเดิมก่อน เพราะจะเกี่ยวกับขวัญของประชาชน

                นายพันตรี หลวงเชวงศักดิ์สงคราม .- เรื่องแรกนานั้น เดิมก็พิจารณากันว่าจะเลิก เพราะกระทรวงเกษตราธิการเป็นเจ้าหน้าที่อ้างว่า เป็นเจ้าหน้าที่ทางวิทยาศาสตร์ เหตุไรจะให้มาทำพิธีไสยศาสตร์ เมื่อโอนงานแรกนาให้รวมกับงานปีใหม่ ข้าหลวงประจำจังหวัดก็ต้องไปทำพิธีไสยศาสตร์ บัดนี้จะโอนงานปีใหม่ให้เทศบาล จะให้เทศบาลไปทำพิธีไสยศาสตร์อย่างไรได้

                นายนาวาเอก หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ .- การแรกนาเวลานี้จะเอาขวัญอะไรไม่ได้แล้ว เพราะเราทำพิธีเดือนห้า ซึ่งเป็นการแผลงอยู่แล้ว ถ้าจะทำพิธีแรกนาให้ถูกต้อง ก็ต้องทำในเดือนพฤษภาคม และจะใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์อย่างไรก็ได้

                นายพันเอก หลวงพิบูลสงคราม .- พิธีแรกนาแสดงว่าจะเริ่มทำนา รัฐบาลควรแจกพันธ์ข้าวให้แก่ราษฎร ส่วนพิธีไสยศาสตร์ เช่น มีพระยาแรกนาสรวมชะฎานั้นควรเลิกเสียได้

                หลวงวิจิตรวาทการ .- พิธีแรกนาแต่เดิม พระมหากษัตริย์ทรงกระทำด้วยพระองค์ เป็นการแสดงว่าสยามเราการทำนาเป็นสำคัญ และเพื่อให้ชาวนาเห็นความสำคัญแห่งการทำนา พระมหากษัตริย์ไปทรงไถนา ประเพณีนี้เป็นของไทย ถ้าเลิกเสียทีเดียวก็เป็นของน่าเสียดาย ส่วนวิธีการจะลดให้น้อยลงก็ได้ เช่น เลิกการใส่ชะฎา

                นายพันเอก หลวงพิบูลสงคราม .- การที่เราร่นมาทำการแรกนาในเดือนเมษายนนั้น เพราะดินฟ้าอากาศไม่คงที่ประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งการที่เราจะรอไปทำในเดือนพฤษภาคม เผอิญมีฝนตกมาก่อน ราษฎรก็ไม่ลงมือทำนากัน เราจึงเริ่มทำเสียก่อนแต่ต้นปี

                นายพันเอก หลวงสฤษยุทธศิลป์ .- เจ้าหน้าที่ส่วนมากยืนยันว่า ให้มีการแรกนา ข้าพเจ้าก็เลยตกลงไปว่า ให้มีแต่การทำพิธีเพียงเล็กน้อย ส่วนใหญ่เป็นการแสดงเผยแพร่ให้ราษฎรได้รับความรู้ สำหรับการแจกพันธ์ข้าวนั้น ในพระนครไม่ได้ประโยชน์ เพราะผู้ที่มารับแจกไม่ใช่ชาวนา ฉะนั้น จะคงให้แจกต่อไปหรือไม่

                นายนาวาเอก หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ .- ควรแจกต่อไปพอเป็นพิธี

                หลวงเดชสหกรณ์ .- ถ้าแจกพันธ์ผักเป็นประโยชน์ดี

                หลวงวิจิตรวาทการ .- สำหรับพิธีแรกนานั้นขอรับไปตรวจเรื่องเดิมก่อน

                ที่ประชุมตกลงว่าพิธีแรกนานั้นไม่เลิก แต่ให้ทำให้ผลทั้งทางวิทยาศาสตร์ และทางขวัญของประชาชน สำหรับการทำพิธีเพียงใดนั้น ให้กระทรวงเกษตราธิการติดต่อกับหลวงวิจิตรวาทการด้วย.

                นายนาวาอากาศเอก พระเวชยันตรังสฤษฎ์ .- ในการทำพิธีแรกนากับการแสดงพืชและสัตว์นี้ สำหรับจังหวัดพระนครจะต้องใช้เงินอีกมาก เงินรายได้สลากกินแบ่งจะให้ได้ก็เพียง ๖๐๐ บาท จะต้องหาเงินมาเพิ่มอีก ๑๑,๐๐๐ บาท

                หลวงเดชสหกรณ์ .- เงินค่าใช้สอยของกระทรวงเกษตราธิการมีเหลือพอโอนมาใช้ได้ แต่จำนวนเงินที่ขอเพิ่มนี้ถ้าเห็นว่ามากไปก็ตัดลงได้บ้าง

                หลวงประดิษฐมนูธรรม .- ถ้าเงินค่าใช้จ่ายไม่พอจะโอนค่าใช้สอยมาก็ไม่ขัดข้อง

                นายนาวาอากาศเอก พระเวชยันตรังสฤษฎ์ .- ขอโอนสัก ๑๐,๐๐๐ บาทก็พอ

                หลวงประดิษฐมนูธรรม .- งานควรให้มี ๓ วัน

                นายพันเอก หลวงเสรีเริงฤทธิ์ .- งานนี้ควรจัดให้มโหฬาร มีการแจกพันธ์ข้าวด้วย

                นายนาวาเอก หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ .- เห็นด้วยว่าฉะเพาะส่วนกลางควรมีงาน ๓ วัน ส่วนทางภูมิภาคแล้วแต่เจ้าหน้าที่จะพิจารณาดำเนินการตามที่เห็นสมควร

                ที่ประชุมตกลงเห็นชอบด้วยในการที่จะจัดให้มีงานนี้ ๓ วัน และอนุมัติให้กระทรวงเกษตราธิการโอนเงินค่าใช้สอยมาใช้ในการนี้ได้ ๑๐,๐๐๐ บาท.

 

 

(เอกสารชิ้นที่ 3)

รายงานประชุมคณะรัฐมนตรี

ครั้งที่ ๒/๒๔๘๒

วันเสาร์ที่ ๘ เมษายน ๒๔๘๒

                ๔๒. เรื่องทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ไปตกอยู่ในมือคนอื่น

                นายนาวาอากาศเอก หลวงกาจสงคราม : ด้วยตามที่คณะรัฐมนตรีได้ลงมติให้กระทรวงการคลังดำเนินการรับมอบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์จากสำนักพระราชวังนั้น กระทรวงการคลังได้ตั้งกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง ซึ่งมีข้าพเจ้าเป็นประธานกรรมการ บัดนี้คณะกรรมการได้ตรวจพบหลักฐานว่ามีทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ตกอยู่ในมือคนอื่นโดยมิชอบ ฉะนั้นจึ่งขอเสนอคณะรัฐมนตรีว่าจะควรดำเนินการต่อไปประการใด และขออนุมัติให้นายพันตรี ขุนนิรันดรชัย กรรมการผู้หนึ่งเข้ามาชี้แจงเพื่อประกอบการพิจารณา

                ที่ประชุมตกลงอนุมัติ

                นายพันตรี ขุนนิรันดรชัย เข้ามาในที่ประชุม

                ขุนสมาหารหิตะคดี : ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นกรรมการรับมอบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ผู้หนึ่ง ขอชี้แจงเรื่องเท่าที่ได้ทราบไว้ด้วย คือ เมื่อครั้งรัชชกาลที่ ๕ ทรงได้รับคำแนะนำจากที่ปรึกษาราชการคลังให้ทรงนำเงินไปฝากไว้ในยุโรป ๒ แสนปอนด์ ต่อมาเงินรายนี้แยกไปฝากไว้ที่อเมริกา ๑ แสนปอนด์ คงฝากอยู่ที่อังกฤษ ๑ แสนปอนด์ คณะกรรมการฯ ได้เชิญพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุลจักรพงศ์มาสอบถาม พระองค์เจ้าจุลจักรพงศ์ ทรงรับว่าเงินรายนี้มีจริง เงินที่รัชชกาลที่ ๕ ฝากไว้นั้นฝากไว้ในนาม King of Siam

                นายนาวาอากาศเอก หลวงกาจสงคราม : ปัญหามีว่าทรัพย์ที่ฝากไว้นี้เป็นทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ หรือทรัพย์สินส่วนพระองค์ เพราะเดิมปนกันอยู่ เราเพิ่งมาแยก เมื่อรัชชกาลที่ ๖ มีการเก็บภาษีมฤดก ได้มีประกาศฉะบับหนึ่งว่าทรัพย์สินที่อยู่นอกราชอาณาจักร์เป็นทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ และเมื่อมาถึงรัชชกาลที่ ๗ ก็ทรงสนับสนุนว่าทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ไม่ควรฟุ่มเฟือย ส่วนหนึ่งเอาไปใช้ อีกส่วนหนึ่งขึ้นบัญชี ๒ ไว้ไม่ให้จ่าย ทรัพย์รายที่ว่านี้จึ่งควรเป็นทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ ต่อมาเมื่อเปลี่ยนการปกครองแล้วรัชชกาลที่ ๗ ได้ทรงเปลี่ยนนามเจ้าของเงินฝากรายนี้เป็น King Prajadhipok

                นายพันตรี ขุนนิรันดรชัย : เมื่อ ร.ศ. ๑๑๙ ในรัชชกาลที่ ๕ ที่ปรึกษาราชการคลังให้ความเห็นว่ามีเงินในพระคลังข้างที่ ๒๐ ล้านบาทเศษ ควรจัดหาผลประโยชน์ แม้สยามจะถูกย่ำยี กษัตริย์ก็จะไม่ทรงเดือดร้อน และเห็นว่าที่ดินฝั่งตะวันตกเจริญต่อไปคงมีสะพานข้าม ควรซื้อที่ดินรายนี้ไว้ รัชชกาลที่ ๕ จึ่งทรงนำเงินไปฝากธนาคารไว้เพื่อซื้อที่ดิน ในสมัยนั้นหลักฐานปรากฏว่าฝากไว้ ๒ แสนปอนด์ ในธนาคารในลอนดอน เมื่อรัชชกาลที่ ๕ สวรรคคตอังกฤษจะเก็บภาษีมฤดก รัชชกาลที่ ๖ ได้มีพระราชหัตถเลขาไปยังเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี อัครราชทูต ณ กรุงลอนดอนให้เป็นทนายความแทนรัชชกาลที่ ๖ ต่อมาเงินรายนี้เพิ่มพูลขึ้นเกินกว่า ๒ แสนปอนด์ เมื่อ ๑๑ ตุลาคม ๒๔๗๕ เจ้าพระยาศรีพิพัฒน์กราบบังคมทูลรัชชกาลที่ ๗ ให้ทรงเปลี่ยนนามผู้ฝากจาก King of Siam เป็นของสมเด็จพระปกเกล้าฯ และพระนางรำไพพรรณี เงินรายนี้ก็ไม่พบปะอีกเลย

                หลวงประดิษฐมนูธรรม : เงินรายนี้เป็นทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ ก่อนออกพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ อำนาจของพระมหากษัตริย์จะสั่งเปลี่ยนบัญชีได้เพียงใด เราจะมีอำนาจเรียกเงินรายนี้ได้เพียงอย่างไร ควรให้อธิบดีกรมอัยยการปรึกษาหารือกับหลวงกาจสงคราม ประธานกรรมการรับมอบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์

                หลวงกาจสงคราม : ยังมีแหวนฝังเพ็ชร์ดำอีกที่สมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงเอาไป

                นายพันตรี ขุนนิรันดรชัย : เรื่องแหวนนี้ได้เชิญเจ้าพระยารามราฆพมาสอบถามได้ความว่า เมื่อรัชชกาลที่ ๖ สวรรคคตสมเด็จพระปกเกล้าฯ ได้เรียกแหวนฝังเพ็ชร์สีดำจากเจ้าพระยารามราฆพไป นอกจากนี้ยังมีแหวนอื่นอีก ๓ วงที่เจ้าพระยารามราฆพถวายไปพร้อมกัน พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา ก็รับสั่งว่าทรงเคยเห็นสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงแหวนเพ็ชร์ดำอยู่

                ที่ประชุมตกลงให้ส่งเรื่องเงินและสิ่งของอันเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ซึ่งตกไปอยู่ในมือคนอื่นโดยมิชอบนี้ให้คณะกรรมการรับมอบทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์พิจารณาต่อไป โดยให้เชิญอธิบดีกรมอัยการมาร่วมในการพิจารณาด้วย

                นายพันตรี ขุนนิรันดรชัย ออกจากที่ประชุม

 

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กลุ่มนักเขียนแสงสำนึก แถลงทุกฝ่ายควรเคารพสิทธิในการแสดงออก

$
0
0
 
24 มิ.ย. 56 - คณะนักเขียนแสงสำนึก ได้ออกแถลงการณ์ในวาระครบรอบ 81 ปีการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่นำโดยคณะราษฎร ชี้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเป็นเรื่องสำคัญในการขับเคลื่อนประชาธิปไตย วอนทุกฝ่ายเคารพการแสดงออกของฝ่ายต่างๆ แม้จะไม่เห็นด้วย ระบุไม่เห็นด้วยกับการแสดงออกของกลุ่มแดงเชียงใหม่ที่ใช้ความรุนแรงต่อกลุ่มหน้ากากขาว เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. ที่ผ่านมา
 
0000
 
แถลงการณ์แสงสำนึกฉบับที่ ๓
วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๖
 
ในโอกาสครบรอบ ๘๑ ปีของการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่นำโดยคณะราษฎร ที่มุ่งหวังให้ “อำนาจสูงสุดเป็นของราษฎรทั้งหลาย” คณะนักเขียนแสงสำนึกต้องการเป็นส่วนหนึ่งเพื่อร่วมภารกิจการทำงานความคิดขับเคลื่อนประชาธิปไตย เพื่อให้เกิดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่างแท้จริง  เราเชื่อว่าตราบใดที่คนไทยยังไม่มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ตราบนั้นประเทศไทยก็จะไม่มีความเป็นประชาธิปไตย  
 
แม้ว่าเราจะไม่เห็นด้วยกับการเรียกร้องที่ทำลายความเป็นประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นการขอนายกพระราชทาน หรือการเรียกร้องให้กองทัพก่อรัฐประหาร แม้ว่าเราจะเห็นว่าความคิดที่กล่าวมานี้เป็นสิ่งโง่เขลาและน่าอดสูเป็นอย่างยิ่ง แต่เรายืนยันว่าคนไทยทุกคนมีสิทธิ เสรีภาพในการแสดงออกและแสดงความคิดเห็น โดยเฉพาะความคิดเห็นทางการเมือง ไม่ว่าความเห็นเหล่านั้นจะอัปลักษณ์เพียงใด เราไม่เห็นด้วยกับการปิดกั้นการแสดงออกและแสดงความคิดเห็นโดยสันติ ไม่ว่าจะเป็นการปิดกั้นโดยรัฐหรือประชาชน เราไม่เห็นด้วยกับการกระทำของคนเสื้อแดงกลุ่มหนึ่งที่จังหวัดเชียงใหม่ในการใช้ความรุนแรงต่อผู้ที่มีความคิดเห็นต่างกันเมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายนที่ผ่านมา 
 
และเราไม่เห็นด้วยกับการขัดขวางปิดกั้นการแสดงออกและแสดงความคิดเห็นที่กระทำโดยสันติ ไม่ว่ากรณีใดทั้งสิ้น เรายืนยันว่าการกระทำที่ใช้ความรุนแรงโดยอ้างนามของประชาชนเพื่อปิดกั้นการแสดงออกของประชาชนนั้น เป็นภัยคุกคามต่อสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคของประชาชนที่ยอมรับไม่ได้
                
ฝ่ายที่อ้างตัวว่าเป็นประชาธิปไตยต้องมีความเคารพในสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคของประชาชนซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานโดยไม่มีข้ออ้างใด ๆ การกล่าวอ้างตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตยโดยยอมรับกฎหมายอาญามาตรา 112 อย่างไม่เป็นธรรมและบั่นทอนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอันเป็นหัวใจสำคัญของระบอบประชาธิปไตย นั้นคือการกระทำที่ปฏิเสธตัวเอง จำเป็นที่จะต้องตระหนักว่าการฟ้องร้องกล่าวโทษบุคคลใดก็ตามด้วยกฎหมายนี้ คือการกระทำที่หักหลังความเป็นประชาธิปไตย และเป็นความอัปยศของคนที่กล่าวอ้างหลักประชาธิปไตย
 
หากเกลียดตัวก็จงอย่ากินไข่ เรียกร้องประชาธิปไตยก็ต้องเคารพในสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นฝักฝ่ายทางการเมืองใด เชื้อชาติใด สัญชาติใด หรือศาสนาใด ในเมื่อเรียกร้องกล่าวอ้างประชาธิปไตยก็ย่อมต้องไม่ส่งเสริมกฎหมายที่ขัดกับหลักประชาธิปไตย ไม่มีข้ออ้างใด ๆ ทั้งสิ้นนอกจากความไม่ละอายแก่ใจสำหรับผู้ที่กล่าวอ้างประชาธิปไตย หากแต่ยังฟ้องร้องกล่าวโทษบุคคลอื่นด้วยกฎหมายอาญามาตรา 112
 
คณะนักเขียนแสงสำนึกหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนทางการได้มาซึ่งสิทธิ เสรีภาพและความเท่าเทียม รวมไปถึงการเคารพความเห็นต่างของคนไทย จะเกิดขึ้นแก่สำนึกของ “ราษฎรทั้งหลาย” อย่างแท้จริง สมดังเจตนารมย์ของคณะราษฎร ที่ได้มอบสิทธิในฐานะพลเมืองที่เท่าเทียมกันแก่ประชาชนชาวไทยตั้งแต่เมื่อ 81 ปีมาแล้ว 
 
คณะนักเขียนแสงสำนึก
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เพจ "V for Thailand"จวก "ระบอบทักษิณ"สั่งโจรปล้นเซเว่น

$
0
0

กรณีปล้นเซเว่นที่ดอนเมือง ล่าสุดเพจศูนย์กลางหน้ากากกายฟอว์กส์ "V for Thailand"จวกเป็นยุทธวิธีชั่วร้ายของ "ระบอบทักษิณ"ให้โจรสวมหน้ากากปล้นเซเว่น พร้อมเตือน "ชาว V"ต้องรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมรัฐบาล ขณะเดียวกันได้นัดหมายสมาชิกเปลี่ยนรูปประจำตัวเฟซบุ๊คเป็นรูป "หน้ากากขาวมาตรฐาน"พร้อมกันคืนนี้

 

ที่มาของภาพ: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

จากกรณีที่มีผู้สวมหน้ากากกายฟอว์กส์ 2 ราย บุกปล้นร้านเซเว่น-อีเลฟเว่น ย่านดอนเมืองเมื่อเช้ามืดวันนี้นั้น ล่าสุดเพจ V for Thailandได้โพสต์สเตตัสระบุว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการดิสเตรดิตของระบอบทักษิณ

"ความยิ่งใหญ่ของชาว V นับวันจะเป็นที่รับรู้ในวงกว้างและขยายตัวไปเรื่อยๆ จนรัฐบาลต้องหาทางสกัดกั้นทุกวิถีทาง ล่าสุด ยุทธวิธีการชั่วร้ายของระบอบทักษิณ และเหล่านักโกงเมือง ที่จะดิสเครดิตของหน้ากากขาวได้บังเกิดขึ้นแล้ว โดยใช้วิธีการให้โจรสวมหน้ากาก แล้วปล้นสะดวกซื้อ ย่านดอนเมือง เมื่อคืนที่ผ่านมา

วิธีแบบนี้ พวกเสื้อแดง และขี้ข้านักโกงเมืองถนัดที่สุด พวกเราชาวV ต้องรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของรัฐบาลให้ทัน"

นอกจากนี้ เพจ V for Thailandได้นัดหมายให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตให้เปลี่ยนรูป profile ประจำตัวในเฟซบุ๊ค เป็นรูปหน้ากากขาวในเวลา 21.00 น. คืนนี้ด้วย โดยประกาศว่า "ประกาศรวมพลชาว V คืนนี้ เตรียมตัวรับภารกิจสำคัญ เวลา 21.00 น.ภารกิจสำคัญ ขอให้เพื่อนๆ เตรียมตัวเปลี่ยน profile picture เป็นหน้ากากขาวมาตรฐาน (หน้ากากขาวหน้าตรง) เพื่อความพร้อมเพรียงในการจัดกิจกรรม"

อนึ่งก่อนหน้านี้เมื่อเวลา 03.10 น. ของวันที่ 24 มิ.ย. หนังสือพิมพ์ข่าวสดรายงานว่า ตำรวจ สน.ดอนเมือง ได้รับแจ้งเหตุคนร้ายเป็นชาย 2 คน รูปร่างผอม สูงไม่เกิน 170 ซม. สวมหน้ากากกายฟอว์กส์ ใช้อาวุธปืนบุกเข้าชิงทรัพย์ร้านเซเว่น-อีเลฟเว่น ย่านถนนเทิดราชัน แขวงสีกัน เขตดอนเมือง โดยได้เงินสดในลิ้นชักไป 1,600 บาท เหล้าแบล็คเลเบิ้ล 2 ขวด ราคาประมาณ 2,800 บาท จากนั้นวิ่งขึ้นรถจักรยานยนต์ที่จอดไว้หน้าร้านหลบหนีไป

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ถ้อยคำรำลึก 81 ปี อภิวิฒน์สยาม 24 มิถุนา 2475 ณ หมุดคณะราษฎร

$
0
0

 

ย่ำรุ่ง 24 มิ.ย.56 ที่บริเวณหมุดคณะราษฎร ลานพระบรมรูปทรงม้า กลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย และประชาชน ประมาณ 50 คน จัดกิจกรรมรำลึก 81 ปี การเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยมีการอ่านประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1 การจุดเทียนวางดอกไม้ การปล่อยลูกโป่งที่มีข้อความเรียกร้องการปล่อยนักโทษการเมืองและยกเลิกกฎหมายหมิ่นประมาทกษัตริย์ ม.112 รวมทั้งการกล่าวรำลึก

หัวใจของระบอบประชาธิปไตยส่วนหนึ่งคือรัฐสภา

ไม้หนึ่ง ก.กุนที กวีคนเสื้อแดง กล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่เราควรถอดบทเรียนก็คือคณะผู้อภิวัฒน์สยามที่กระทำการสำเร็จในวันนั้นประกอบด้วยกลุ่มบุคคลทั้งที่เป็นพลเรือนและทหาร และประกอบด้วยกลุ่มหมายความคิด ดังนั้นการรวมตัวของผู้ที่อยู่ในฝ่ายประชาธิปไตยในปัจจุบันจึงจำเป็นที่จะต้องประสานกลุ่มบุคคลหลากหลายความคิด แต่มีเจตนารมณ์ร่วมที่ต้องการพิทักษ์ระบอบประชาธิปไตย หัวใจของระบอบประชาธิปไตยส่วนหนึ่งคือรัฐสภา อยากให้ประชาชนให้ความสำคัญกับรัฐสภา เนื่องจากขณะนี้มีผู้ที่ออกมาต่อต้านรัฐบาลที่มาจากเสียงส่วนใหญ่ จึงขอเรียกร้องให้ร่วมกันพิทักษ์ระบอบประชาธิปไตยและระบอบรัฐสภา รวมทั้งรัฐบาลที่มาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน

“บางคนสร้างยุทธศาสตร์ ‘ราษฎรไม่พร้อม’

คุณต้านยันไม่ยอมให้เราก้าวหน้า

ท้องพระคลังถมทวีทรัพยา

แต่ในบ้านชาวนาไม่มีเงิน

81 ปี ของประชาธิปไตย

เป็นตะกั่วเคลือบกะไหล่ทองผิวเผิน

ตกแต่งด้วยองค์กรกลุ่มส่วนเกิน

ปฏิปักษ์เผชิญหน้าประชาชน

ทั้งแผ่นดินระเหยกลิ่นไอกบฏ

แพร่ความคิดเคี้ยวคดเคลื่อนสับสน

แผ่แผงปีกบังแสงอาทิตย์หม่น

ทั่วประเทศคลื่นเหียนสาบขนครุฑ”

ไม้หนึ่ง ก.กุนที อ่าน บทกวี 81 ปี อภิวัฒน์สยาม

จอมพลสฤษดิ์ ยกเลิกวันชาติ 24 มิถุนา

รศ.ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวถึงความสำคัญของวันนี้ด้วยว่าคณะราษฎรได้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญเพื่อความสุขสมบูรณ์ของประชาชน ถ้าไม่มีคณะราษฎรต่อสู้นำวิถีก็ยังไม่แน่ใจว่าประเทศไทยจะพัฒนาไปเป็นอย่างไร อย่างน้อยที่สุดประชาธิปไตยที่มาถึงทุกวันนี้แม้จะล้มลุกคุกคลานบ้าง แม้จะมีอุปสรรค์แต่ก็ได้เริ่มต้นแล้วโดยคณะราษฎรที่เป็นผู้บุกเบิกนำทาง

สำหรับประเด็นเรื่องการเรียกร้องให้วันที่ 24 มิ.ย. เป็นวันชาตินั้น รศ.ดร.สุธาชัย กล่าวว่า ราวปี 2482 รัฐบาลคณะราษฎรได้ประกาศให้วันนี้เป็นวันชาติของประเทศไทย จึงมีฐานะเป็นวันชาติอยู่ราว 21 ปี ต่อมา จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ยกเลิก

หมุดคณะราษฎรสัญลักษณ์ความเท่าเทียม

จิตรา คชเดช นักสหภาพแรงงาน ที่ปรึกษาสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ฯ ซึ่งมาร่วมกิจกรรมกล่าวถึงความสำคัญในวันนี้ด้วยว่า “เนื่องจากเป็นวันที่เปลี่ยนแปลงการปกครองให้เป็นประชาธิปไตย ทำให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง เป็นวันที่ประชาชนต้องเข้าร่วมรำลึกและเฉลิมฉลอง ไม่ใช่วันของบุคคล แต่เป็นวันของประชาชนหรือจะเรียกว่า “วันชาติ” อย่างแท้จริงก็ได้ การเข้าร่วมรำลึกเป็นเพราะไม่อยากให้คนรุ่นหลังหรือคนร่วมสมัยกับพวกเราลืมวันนี้ ที่ผ่านมารัฐเองก็ไม่ส่งเสริมให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้ ทำให้เหตุการณ์นี้ถูกลืมเลือน วันสำคัญที่เกี่ยวข้องกับประชาชนที่แท้จริงต้องได้รับการจดจำ เราต้องทำให้สังคมได้รู้ว่ามันมีวันที่สำคัญต่อประชาชนทั้งหมด มากกว่าที่จะจดจำวันที่เกี่ยวข้องกับบุคคล”

จิตรา กล่าวถึงความสำคัญของหมุดคณะราษฎรซึ่งเป็นจุดที่ทำกิจกรรมว่า เป็นสัญลักษณ์ที่เล็กมากและมองมาแต่ไกลไม่เห็น ไม่โดดเด่นหรือต้องแหงนมอง แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนต้องเท่ากันทุกคน

ผู้ประสานงานกลุ่ม 24 มิถุนาฯ เสนอแก้ รธน.50 รายมาตราง่ายกว่า

สุวรรณา ตาลเหล็ก ผู้ประสานงานกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย ซึ่งจัดกิจรรมรำลึกเหตุการณ์นี้เป็นประจำกล่าวถึงความสำคัญของเหตุการณ์นี้ว่า วันนี้เป็นวันที่ก่อกำเนิดหลายอย่าง เช่น วันชาติ ซึ่งทางกลุ่มเคยจัดทวงคืนวันชาติมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่กลับไม่เป็นที่สนใจ รวมไปถึงเรื่องของหลักประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นจากการได้รัฐธรรมนูญ

ผู้ประสานงานกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย ยังเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 50 ด้วย เนื่องจากมีที่มาและกระบวนการได้มาโดยไม่ชอบธรรม แม้มีการอ้างเรื่องการลงประชามติ แต่ก็เป็นการลงประชามติภายใต้บรรยากาศความกลัว การประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงต่างๆ รวมถึงกระแสให้รับก่อนเพื่อให้มีการเลือกตั้งแล้วแก้รัฐธรรมนูญภายหลัง ทั้งนี้ สุวรรณา เห็นว่าการแก้รัฐธรรมนูญทีเดียวทั้งฉบับอาจถูกแรงต้านเยอะ จึงมองว่าควรแก้รายมาตราไปก่อนจะง่ายกว่า 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'ณัฐพล ใจจริง'ปาฐกถาปรีดี พนมยงค์ประจำปี 56 "ชีวประวัติของพลเมืองไทยฯ"

$
0
0

บรรยากาศในการแสดงปาฐกถาปรีดี พนมยงค์ ประจำปี 2556 ที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ เมื่อ 24 มิ.ย. 56 ที่ผ่านมา

 

เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. ที่ผ่านมา เนื่องในโอกาสครบรอบ 81 ปี การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 ที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ ซอยทองหล่อ กรุงเทพมหานคร มีการแสดงปาฐกถาปรีดี พนมยงค์ ประจำปี 2556 โดย ดร. ณัฐพล ใจจริง อาจารย์ประจำสาขาวิชาการปกครองท้องถิ่น ภาควิชาสังคมศาสตร์ คณะ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา โดยกล่าวปาฐกถาหัวข้อ"ชีวประวัติของพลเมืองไทย : กำเนิดพัฒนาการและอุปสรรคกับภาระกิจการปกป้องประชาธิปไตย (2475 - ปัจจุบัน)"ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีประชาชนผู้สนใจ ตลอดจนทายาทของคณะราษฎรและเสรีไทยเข้าร่วมฟังปาฐกถาดังกล่าวจำนวนมาก

โดยณัฐพลระบุว่าเป้าหมายของบทความดังกล่าว คือ บททดลองการนำเสนอประวัติศาสตร์สามัญชน เพื่อคืนตำแหน่งแห่งที่ของสามัญชน กลับสู่ประวัติศาสตร์ไทย หรือคืนบทบาทพลเมืองกลับสู่ประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทย ด้วยการพยายามฉายภาพความเป็นมาของสถานะของผู้คนที่อาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้ ภายใต้การปกครองตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงปัจจุบันว่าเป็นเช่นไร ตลอดจนให้ภาพวิถีชีวิตของผู้คนในอดีตและความยากลำบากในการเปลี่ยนแปลงสถานะหนึ่งไปสู่อีกสถานะหนึ่ง เช่น "ไพร่""ราษฎร"ที่ต่ำต้อย มาสู่ "พลเมือง"ผู้ทรงคุณค่าเป็นผู้มีเสรีภาพและความเสมอภาคภายใต้ระบอบประชาธิปไตย รวมทั้งการเรียกร้องให้พลเมืองมีความตระหนักในการพิทักษ์ปกป้องประชาธิปไตย ซึ่งเป็นระบอบการปกครองที่อำนวยถึงความเป็นคนให้กับสมาชิกทุกคนในชุมชนทางการเมืองเหมือนดังคำกล่าวที่ว่า "พลเมืองเท่ากับความเป็นคน"

ณัฐพล ระบุในปาฐกถาว่า ในประเทศประชาธิปไตย การเขียนถึงประวัติศาสตร์สามัญชน ผู้มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เป็นเรื่องปกติ ขณะที่ของไทยนั้นยากจะปรากฏ ทั้งมีงานเขียนประวัติศาสตร์มหาบุรุษ เข้ามาครองพื้นที่ความรู้อย่างมากในสังคมไทย โดยงานเขียนชนิดนี้ถูกคนชั้นปกครองใช้ครอบงำผู้ถูกปกครองให้จำนนและเจียมตัวให้สมฐานะแห่งตน จนอาจเกิดคำถามถึงผลกระทบของความรู้เช่นนี้ที่มีต่อความมั่นคงและความยั่งยืนของประชาธิปไตยไทย

หากความมั่นคงและยั่งยินของระบอบประชาธิปไตยไทยตั้งอยู่บนความรู้ความเข้าใจ ความภูมิใจและการตระหนักในความสำคัญของคนทุกคนในฐานะผู้ที่ทรงไว้ซึ่งอำนาจอธิปไตย ที่มีสิทธิและหน้าที่แล้วไซร้ หน้าที่ประการหนึ่งที่พลเมืองในสังคมประชาธิปไตยทุกคนพึงมีคือการพิทักษ์ปกป้องระบอบประชาธิปไตย ดังนั้น หนึ่งในหนทางในการธำรงความมั่นคงให้กับระบอบการปกครองดังกล่าว คือ การส่งเสริมการสร้างความรู้ความเข้าใจในที่มาแห่งตน ความยากลำบากในการเปลี่ยนแปลงสถานะจากความต่ำต้อยสู่เสรีภาพและความเสมอภาคของผู้คนให้กับพลเมือง หรือการเขียนประวัติศาสตร์ไทยให้สอดคล้องกับสังคมประชาธิปไตยด้วย

ในวาระสำคัญแห่งการรำลึกถึง 8 ทศวรรษ 2475 และ 4 ทศวรรษ 14 ตุลาคม 2516 จึงดูเหมือนไม่มีหัวข้อใดที่เหมาะสมไปกว่าการกล่าวถึงชีวประวัติพลเมืองไทย ที่พยายามให้ภาพความเป็นมาของสามัญชนไทยผู้เคยเดินผ่านความขมขื่น ความเบิกบาน ความทุกข์ระทมที่แปรเปลี่ยนไปตามบริบทการเมืองการปกครองในแต่ละยุคสมัย

โดยของการปาฐกถาดังกล่าว ประชาไทจะนำเสนอต่อไป

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คุยกับผู้ก่อการจัดงาน ‘เฉลิมฉลองวันชาติ 24 มิถุนา’

$
0
0

24 มิ.ย. ที่จะถึงนี้จะเป็นวันครบ 81 ปี การที่คณะราษฎรเปลี่ยนแปลงการปกครอง และหลายปีที่ผ่านมานี้มีคนกลุ่มเล็กๆ ที่จัดกิจกรรมรำลึกในเวลาย่ำรุ่งของเช้าวันดังกล่าว บริเวณหมุดคณะราษฎร ลานพระบรมรูปทรงม้า เช่นการอ่านประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1 การวางดอกไม้ การจุดเทียนและการแสดงละครเป็นต้น เช่นเดียวกันปีนี้ก็มีกิจกรรมแต่เปลี่ยนจากการรำลึกเป็นการ “เฉลิมฉลองวันชาติ 24 มิถุนา” และ เปิดด้วยการทำคลิปเชิญชวนในยูทูบโดยชายสวมแว่นดำแต่งกายคล้ายทหาร ออกมาประกาศเชิญชวนให้คนเข้าร่วมกิจกรรมที่จะเริ่มตั้งแต่เย็นวันอาทิตย์ที่ 23 มิ.ย.ไปจนเช้าวันที่ 24 มิ.ย.  โอกาสนี้ประชาไทจึงได้สัมภาษณ์ “กอล์ฟ” หรือ ภรณ์ทิพย์ มั่นคง ผู้ก่อตั้งกลุ่มประกายไฟการละครและหนึ่งในผู้ริเริมจัดกิจกรรมนี้ เพื่อดูถึงที่มาที่ไป ความคิดมุมมองของเธอถึงสาเหตุว่าทำไมต้องมาจัดกิจกรรมนี้

คลิปเชิญชวนร่วมกิจกรรม 'เฉลิมฉลองวันชาติ 24 มิถุนา'

ประชาไท : ที่มาของ คณะจัดงานเฉลิมฉลองวันชาติ 24 มิถุนา เป็นใครบ้าง?

ภรณ์ทิพย์ มั่นคง : ก็เริ่มจากเรา(ภรณ์ทิพย์)อยากจัดงานวันชาติในแบบที่ไม่เหมือนทุกๆปี เรารู้สึกว่างานรำลึกมันบอกอะไรได้น้อยกว่า เราเลยไปชวนพี่ๆ กลุ่ม 24 มิถุนา มาร่วมกันจัดงาน จริงๆบอกเค้าว่าพี่เราอยากจัดงานแบบงานวัดแบบงานฉลองสมัยก่อน พี่เค้าก็ตกลง จากนั้นก็เลยรวบรวมเพื่อนที่เคยเล่นละครด้วยกัน แล้วก็ไปชวนกลุ่มอื่นๆ มาร่วมกัน ตอนนี้ก็มีกลุ่มประกายไฟการละครรวมการเฉพาะิกิจแห่งประเทศไทย, กลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย, กลุ่มเพื่อนนักกิจกรรม, กลุ่มกวีราษฎร์, เสื้อแดงธนบุรี 15 เขต, ไทยแลนด์ มิเรอร์ และคณะราษฎร 2555 เหมือนจะเยอะนะ แต่คนทำงานนิดเดียว (หัวเราะ) เป็นปกติของงานกิจกรรมแบบนี้แหละ งานปีนี้เราก็พยายามจะรวบรวมงานในแต่ละที่ที่จัดมาใส่ไว้ในกำหนดการที่จะแจกให้กับคนที่มาเข้าร่วมงานกับเรานะ  เพื่อจะได้เป็นทางเลือกให้คนได้มีพื้นที่เรียนรู้เรื่องนี้เยอะๆ เค้าจะเลือกไปที่ไหนก็ได้ ไม่ได้แค่ให้มางานเราอย่างเดียว งานเราไม่มีข้อมูลความรู้มากเท่างานวิชาการที่หลายที่จัดขึ้นแต่ถ้าคนที่ชอบงานรื่นเริงแล้วอยากไปเรียนรู้เพิ่มเราก็แค่บอกเค้าว่ามีที่ไหนให้ไปบ้าง

“กอล์ฟ” ภรณ์ทิพย์ มั่นคง

ทำไมต้องการให้วันที่ 24 มิ.ย.เป็น ‘วันชาติ’ ?

ภรณ์ทิพย์ :  จริงๆ แล้วคิดว่าทุกคนที่อ่านประวัติศาสตร์หรือพอจะเข้าใจการเมืองบ้างก็น่าจะเข้าใจอยู่ เพราะมันเป็นวันที่เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นประชาธิปไตย โดยคณะราษฎร พ.ศ 2475    ซึ่งชาติในที่นี้มันได้ถูกเปลี่ยนเป็นความหมายว่าเป็นประชาชน  ดังนั้นถ้าวันนี้เรายังยืนยันว่าเราปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแล้ว วันนี้จึงเป็นวันชาติที่แท้จริง

และทำไมต้องออกมาเฉลิมฉลองกัน?

ภรณ์ทิพย์ :  เนื่องจากวันนี้จอมพล ป. ได้ประกาศให้เป็นวันที่เฉลิมฉลองวันชาติ ในปี พ.ศ. 2482 และ ชาติในที่นี้หมายความถึงชาติที่มีความเป็นประชาธิปไตยแล้ว เค้าก็มีการจัดงานเฉลิมฉลองกันให้ประชาชนได้เข้าใจถึงความสำคัญของประชาธิปไตย อย่างในต่างประเทศเขาก็จะนับเอาวันที่ปฏิวัติหรือวันที่ได้รับเอกราชเป็นวันชาติ  แต่ก่อนหน้านี้มันได้หายไปโดยการรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็ได้เปลี่ยนวันชาติเป็นวันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งมันคือการแทนที่ชาติของประชาชนเป็นชาติที่ครอบครองโดยพระมหากษัตริย์   ทำให้ความเข้าใจเรื่องวันชาติหรือการให้ความสำคัญกับระบอบประชาธิปไตยถูกทำให้เลอะเลือนไป 

ดังนั้นในวิกฤตการณ์ทางสังคม  ณ ตอนนี้ที่หลายฝ่ายหลายๆคนมักอ้างถึงประชาธิปไตยอยู่เสมอแต่ด้วยการแสดงออกกลับไม่ได้เป็นในทิศทางของการส่งเสริมประชาธิปไตย  นี้ไม่ได้พูดถึงสีใดสีหนึ่งแต่หมายถึงคนสองสี หรือคนที่ชอบบอกว่าตัวเองเป็นกลางด้วย เอาเข้าจริงแล้วพวกเราเข้าใจประชาธิปไตยมากแค่ไหนกันเชียว ทุกวันนี้วัฒนธรรมของประเทศเราไม่ได้ส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตยเลยพวกเราที่เติบโตมาจึงพูดถึงประชาธิปไตยแค่เปลือก นี่ไม่ได้หมายความว่าเราเข้าใจมากกว่าคนอื่น แต่เราอยากให้ทบทวนว่าเราเข้าใจกันแล้วจริงๆ ใช่ไหม ทีนี้  เราก็เลยอยากจะจัดงานมาในลักษณะของงานวัฒนธรรมขึ้นมาเพื่อย้อนให้คนเห็นถึงยุคสมัยที่ทุกคนเฉลิมฉลองวันชาติที่เป็นวันชาติที่เฉลิมฉลองการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ฟื้นงานเฉลิมฉลองวันชาติของประชาชนขึ้นมาอีกครั้ง

ภาพโปสเตอร์ประกอบละคร

กิจกรรมที่เตรียมไว้มีอะไรบ้าง  ทำไมต้องมีกิจกรรมเหล่านั้นเอาเงินเอาแรงที่ไหนมาจัด?

ภรณ์ทิพย์ :  กิจกรรมก็มีหลายอย่าง มีแต่งกายย้อนยุค ก็อยากให้ทุกคนใส่ มีร้องเพลงร่วมกับทายาทคณะราษฎร ซึ่งเราก็ได้รับความร่วมมือจากลุงแมว ทายาทพระยาพหล แต่เราก็ติดต่อไปหลายคนมากนะคะส่วนใหญ่ก็อายุเยอะกันแล้ว อย่างป้าจีรวัสส์ลูกสาวของจอมพล ป. ซึ่งก็อยากมาแต่ก็มาไม่ได้เพราะสุขภาพไม่ค่อยดีแล้ว ส่วนคนอื่นๆ ก็อย่าไปพูดถึงเลยคะ แต่น่าแปลกที่หลายคนก็ไม่ได้รู้สึกว่าอยากจะให้มีการเอาวันชาติ 24 มิถุนากลับมา หรือแม้แต่จะส่งทายาทอีกรุ่นหนึ่งมาก็ยังลำบาก

มีละครเรื่อง 9 แผ่นดิน ซึ่งก็เป็นเรื่องสุดท้ายที่ประกายไฟเคยประกาศไว้คราวนี้มารวมกันเฉพาะกิจ แล้วก็มีรำวงย้อนยุคกับวงไฟเย็น มีซุ้มกิจกรรม มีอาหารแจกฟรี มีผัดไทยด้วย ผัดไทยนี่เป็นอาหารในยุคชาตินิยมจริงๆ แล้วกิจกรรมสุดท้ายก็คือการอ่านสุนทรพจน์ของจอมพล ป. โดยอาจารย์ณัฐพล ใจจริง ซึ่งเป็นสุนทรพจน์เนื่องในโอกาสวันเฉลิมฉลองวันชาติ

ส่วนงบประมาณเราก็ระดมกันมาตอนแรกก็ไปเปิดหมวกในที่ชุมนุม หรือตามสะพานลอยแต่เอาเข้าจริงได้น้อยมากๆ  ทางคณะกรรมการ 40 ปี 14 ตุลาฯ ก็เลยช่วยสนับสนุนมาเป็นส่วนใหญ่แล้วก็ได้จากกลุ่มโดมรวมใจด้วย

สำหรับแรงที่ทำงานนี้ก็ใกล้จะหมดแล้ว สำหรับพวกเรานะ เพราะจัดงานแบบนี้แต่คนให้การสนับสนุนน้อย อาจจะเป็นเพราะมันเป็นงานวัฒนธรรมด้วย แล้วคนก็คงมองว่าพวกเราเป็นเด็กๆ อะไรแบบนี้แต่ก็อดทน ยังไงก็จะจัด ต่อให้ตอนนี้ได้เงินแค่สองหมื่นก็จะเล่นกันกลางถนนนั่นหละ (หัวเราะ)

กำหนดการกิจกรรม :

ณ หมุดคณะราษฎร ลานพระบรมรูปทรงม้า

วันอาทิตย์ที่ 23 มิ.ย.56

17.00 – 17.20 น. :วงกำปั้น เปิดงาน
17.50 – 18.00 น. :ร้องเพลงชาติ 24 มิถุนา ร่วมกับ ทายาทคณะราษฎร
18.00 – 18.30 น. :ทายาทคณะราษฎรกล่าวความรู้สึก
18.30 – 18.45 น. :บทกวีโดย เพียงคำ ประดับความ
18.45 – 18.55 น. :การแสดงจากกลุ่ม 24 มิถุนา
19.10 –19 .20 น. :บทกวีจากกวีราษฎร์
19.20 – 19.30 น. :การแสดงจากแดงธนบุรี
19.40 – 19.50 น. :บทกวีจากกวีราษฎร์
20.10 – 20.25 น. :จินตลีลา ชุด บัลลังเมฆ จากตัวแทนนักเรียน
20.25 – 22.00 น. :ละครเรื่อง 9 แผ่นดิน โดยประกายไฟการละครเฉพาะกิจ
22.15 – 23.30 น. :รำวงกับวงไฟเย็น
23.45 – 24.00 น. :สุนทรพจน์ จอมพล ป โดย อ.ณัฐพล ใจจริง
00.30 – 05.00 น. :ฉายหนังกลางแปลง

วันจันทร์ ที่ 24 มิ.ย.56
06.00 น. :รำลึกบริเวณหมุดคณะราษฎร

ซุ้มกิจกรรมพร้อมของรางวัล ปาเป้า + ปาโป่ง + โยนห่วง + ฉายหนังกลางแปลง และนิทรรศการบริเวณหมุดคณะราษฎร

จะเห็นว่าทุกปีจะมีการจัดกิจกรรมรำลึกเหตุการณ์นี้  ปีที่แล้วก็มีคณะราษฎรที่ 2  มันจะกลายเป็นเพียงงานประจำปี และจัดกันเฉพาะคนที่สนใจเป็นเหมือนงานแซยิดหรือไม่  จัดกันเองดูกันเองหรือเปล่า?

ภรณ์ทิพย์ : ก็คงต้องเป็นแบบนั้น และก็คงจะเป็นแบบนั้นต่อไปเพราะว่าไม่ว่ายังไงมันก็ยังเป็นแบบนั้นเราเปลี่ยนแปลงทัศนคติของคนไม่ได้เพียงแค่ในเวลานี้  แต่ถ้าเราจะทำให้ได้จริงเราต้องผลักดันให้มันเป็นนโยบายรัฐ ให้รัฐเป็นผู้ริเริ่มมากกว่านี้ แต่เราจะหวังอะไรได้ ในเมื่อ ส.ส. หรือ ส.ว. ส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักวันนี้ด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ว่าสิ่งที่เราทำได้คือไม่ให้มันหายไป อย่างน้อยก็ยังรวบรวมคนที่สนใจไว้ด้วยกัน เท่านั้นเอง ส่วนจะมีคนสนใจเพิ่มมากขึ้นไหม มันก็เป็นแค่ความคาดหวัง

ผลลัพธ์สุดท้ายที่คิดว่าจะได้จากงานนี้คืออะไร?

ภรณ์ทิพย์ :  ก็คงจะเป็นการรวบรวมคนที่สนใจมารวมกันประจำปีซึ่งเราคิดว่าการจัดงานในลักษณะงานวัฒนธรรมที่ทำให้คนอื่นเขาเข้ามามากขึ้น

 

“ถ้าการช่วงชิงกลับมาคือการบอกเล่าเรื่องจริง

เราก็คิดว่าการบอกความจริงคือสิ่งที่ต้องทำ เป็นสิ่งที่ควรจะทำ..”

ภรณ์ทิพย์ มั่นคง กล่าวถึงความสำคัญของการช่วงชิงวันชาติ

ทำไมคิดว่า “วันชาติ”  จึงมีความสำคัญที่จะต้องช่วงชิงกลับมา  และมองว่าสุดท้ายใครจะได้ประโยชน์จากมัน?

ภรณ์ทิพย์ :  ถ้าการช่วงชิงกลับมาคือการบอกเล่าเรื่องจริง เราก็คิดว่าการบอกความจริงคือสิ่งที่ต้องทำ เป็นสิ่งที่ควรจะทำ  คนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดก็คือคนที่ยังสนใจมันเป็นแค่การหล่อเลี้ยงคนกลุ่มหนึ่งที่อยากบอกเล่าความจริงในทางประวัติศาสตร์  มันอาจจะทำให้เขามีแรงที่เขาจะบอกเล่าเรื่องต่อไปจนกว่าจะถึงวันที่ทุกคนตื่นเต้นและเห็นความสำคัญของมันในสักวันหนึ่ง หรือแม้แต่ลูกหลานคณะราษฎรเองก็ยังไม่ได้เห็นความสำคัญในการที่เอาวันนั้นกลับมาเป็นวันชาติ เพราะฉะนั้นจะมาคาดหวังให้คนทั้งประเทศตื่นตัวและเห็นความสำคัญของวันชาติ 24 มิถุนา ในระยะเวลาอันสั้นก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่อย่างน้อยมันก็ได้ หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของคนทำงาน และคนที่อยากบอกเล่าความจริงเอาไว้  ซึ่งรัฐบาล รัฐสภา ก็เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงการปกครองแต่คนเหล่านี้ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับวันนี้เลย  เพราะฉะนั้นคนทำงานหรือคนที่มีความเชื่อเรื่องนี้ก็จะไม่ได้รับความสนับสนุนจากรัฐบาลหรือคนในสังคม เราจึงต้องดูแลกันเองให้ความรู้ และการจัดงานนี้ก็อาจจะช่วยขยายข้อมูลข้อเท็จจริงซึ่งก็คือความจริงทีมันเคยเกิดขึ้นไปสู่คนที่มาร่วมงานได้บ้าง

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สภาเลื่อนถก 'แก้รธน.-นิรโทษกรรม'ไปปลาย ส.ค.

$
0
0
รองประธานสภาเผยปฏิทินประชุมสภาเลื่อนวาระแก้ไขรัฐธรรมนูญ- นิรโทษฯ เหตุพิจารณางบฯ ภายใน 105 วัน

 
22 มิ.ย. 56 - เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์รายงานว่านายเจริญ จรรย์โกมลย์ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 กล่าวถึงปฏิทินการเปิดประชุมสภาฯ สมัยสามัญทั่วไปวันที่ 1 ส.ค.ว่า สัปดาห์แรกจะเป็นวาระการพิจารณากระทู้ถาม ส่วนสัปดาห์ที่ 2 และ 3  เป็นการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน หรือร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท และการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 ตามลำดับ ซึ่งทั้ง 2 เรื่องน่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ 3-4 วัน 
 
ขณะที่สัปดาห์สุดท้ายของเดือน ส.ค. จึงจะมีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับ นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย และพิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา ซึ่งจะหยิบฉบับแก้ไขที่มา ส.ว. เข้ามาพิจารณาก่อนเป็นเรื่องแรก ซึ่งคงพิจารณาไปเรื่อยๆ เน้นให้ทุกฝ่ายพึงพอใจ โดยคาดว่าจะทันใช้สำหรับการเลือกตั้งส.ว.ในปี 2557 หลังจากนั้นในเดือน ก.ย. ก็น่าจะเป็นวาระการแถลงผลงานของรัฐบาล 
 
นอกจากนี้อาจมีการนำ พ.ร.บ.ปรองดอง ฉบับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เข้าสู่การพิจารณา ซึ่งขึ้นอยู่กับคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ประสานมาประกอบกับต้องดูสถานการณ์การเมืองในขณะนั้นด้วย
 
"การประชุมใน 3 สัปดาห์แรกถูกบังคับด้วยข้อกฎหมายการพิจารณางบประมาณภายใน 105 วัน ซึ่งฝ่ายค้านคงไม่ขัดข้อง"นายเจริญกล่าว
 
เมื่อถามว่า แนวโน้มการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และ พ.ร.บ.ปรองดอง จะดำเนินต่อไปได้หรือไม่ นายเจริญ กล่าวว่า เรื่องของมาตรา 68 ที่อยู่ในศาลรัฐธรรมนูญขณะนี้ก็ไม่น่ามีปัญหา การประชุมสภาก็สามารถดำเนินไปได้เรื่อยๆ แต่ถ้าถามฝ่ายค้านในเรื่องนี้ก็ต้องบอกว่ายุบสภาอยู่แล้ว แต่คิดว่าปัญหาเรื่องนี้น่าจะชี้แจงให้เข้าใจได้ ขณะเดียวกันการที่กลุ่มหน้ากากขาวพยายามล้มล้างรัฐบาล หากรัฐบาลมีความชอบธรรม สามารถบริหารประเทศได้ก็ไม่น่ามีปัญหา
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จากจลาจลที่บราซิลสู่การประท้วงหน้ากากขาว

$
0
0
เดิมกะจะเล่าเรื่องการอภิวัฒน์ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 และสัปดาห์หนังสือการเมือง-ประวัติศาสตร์ที่ร้านทีพีนิวส์ซึ่งเริ่มต้นแล้วในวันนี้ แต่มีข่าวคืบหน้าจากเหตุจลาจลประท้วงในบราซิลที่น่าสน ใจมาก เราสนทนาเรื่องนี้มาแล้วสองวัน ผมต้องขออีกสักวัน เพื่อเล่าเรื่องต่อให้สมบูรณ์ พรุ่งนี้คงจะได้เข้าเรื่อง 24 มิถุนา และหนังสือดีบางเล่มที่อาจช่วยให้ชาวประชาธิปไตยเราเดินถูกทางขึ้น ด้วยการเชื่อมโยงเจตนา วิธีการ จุดเด่น และจุดด้อยจากสมัยคณะราษฎร์มาจนถึงสมัยปัจจุบัน กรณีศึกษาล่าสุดจากบราซิลอาจทำให้เรามองเห็นตัวเราชัดเจนขึ้นในหลายทางคล้ายกับส่องกระจก ส่วนไหนเป็นประเพณีการเมืองของเขาที่เราไม่ปรารถนาจะรับ เราก็ถามประชาชนและผลักออกไว้ที่ด้านข้าง จุดที่อยากเพ่งมองลงไปในวันนี้ไม่ใช่ตัวขบวนประท้วงหรือสภาพการประท้วง แต่เป็นผลกระทบต่อผู้ที่ทำหน้าที่รัฐบาลอยู่ โดยเฉพาะประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐที่เคยได้รับความนิยมอย่างสูงมาก่อน
 
ประธานาธิบดีคนปัจจุบันแห่งสาธารณรัฐบราซิลเป็นสุภาพสตรี มีชื่อว่า ดิลม่า รุสเสฟฟ์ อายุ 65 ปี เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2554 ต่อจาก หลุยส์ ลูล่า เดอ ซิลวา ผู้เป็นอดีตประธานาธิบดีที่นางรุสเสฟฟ์ทำหน้าที่ปลัดบัญชาการทำเนียบประธานาธิบดี หรือเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาหมายเลขหนึ่งมาก่อนนั่นเอง ประธานาธิบดีลูล่าและรุสเสฟฟ์จึงสังกัดพรรคการเมืองเดียวกัน คือพรรคแรงงานบราซิล (Workers’ Party) ความแปลกประหลาดของประธานาธิบดีรุสเสฟฟ์มาจากภูมิหลังแต่เดิมของครอบครัวเธอ ในขณะที่อดีตประธานาธิบดีลูล่าเป็นนักวิชาการฝ่ายซ้ายที่ใช้ชีวิตคลุกคลีมากับชนชั้นกรรมกรและสื่อสารกับคนจนของประเทศได้ดี 
 
ประธานาธิบดีรุสเสฟฟ์กลับเป็นลูกสาวเศรษฐีเชื้อสายบัลแกเรียที่มั่งคั่ง เธอเติบโตแบบชนชั้นกลางค่อนข้างสูงมาตลอดชีวิต แต่เลือกเป็นนักสังคมนิยมในช่วงเรียนมหาวิทยาลัยในภายหลัง ชื่อเสียงของเธอเริ่มขจรขจายเมื่อเธอร่วมต่อสู้กับเผด็จการทหารในช่วงปี พ.ศ.2513-2515 คล้ายๆ ขบวนการนักศึกษาไทยที่เริ่มเผชิญหน้ากับระบอบถนอม-ประภาส เธอถูกจับและถูกทรมานหลายครั้ง เมื่อออกจากคุกก็ร่วมตั้งพรรคการเมืองชื่อแรงงานประชาธิปไตยขึ้นมา ได้รับตำแหน่งสูงในระดับท้องถิ่นและได้เป็นรัฐมนตรีระดับชาติหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็เกิดความขัดแย้งในช่วงรัฐบาลประธานาธิบดีโอลิวิโอ้ ดูดร้าและตัดสินใจย้ายพรรคมาสู่พรรคแรงงานบราซิล จนได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในช่วงที่ “ครูใหญ่” คือลูล่าได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ส่วนตำแหน่งปลัดบัญชาการทำเนียบประธานาธิบดีนั้น เธอมาเป็นในภายหลัง ซึ่งกลายเป็นฐานการเมืองที่ผลักดันให้เธอเป็นทายาททางการเมืองของประธานาธิบดีลูล่าและรับตำแหน่งต่อจากลูล่าจนปัจจุบัน
 
เหตุที่ต้องเล่าประวัติของประธานาธิบดีรุสเสฟฟ์มายืดยาว เพราะเกี่ยวกับเหตุประท้วงและคำปราศรัยฉุกเฉินของนางเมื่อคืนนี้ เมื่อเห็นแล้วว่าการประท้วงเพราะรัฐบาลขึ้นค่ารถเมล์และขนส่งมวลชนกลายสภาพเป็นการจลาจล ด้วยเรื่องที่พอกพูนขึ้นมาเป็นการต่อต้านโครงสร้างเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรม และการฉ้อราษฎร์บังหลวง ประธานาธิบดีรุสเสฟฟ์ก็แสดงความรู้ร้อนรู้หนาวโดยประกาศเลื่อนเดินทางไปเยือนประเทศญี่ปุ่นที่กำหนดไว้ล่วงหน้าเป็นปี และให้สัมภาษณ์ว่านางรู้สึก “ภูมิใจ” ที่เห็นคนบราซิลใช้สิทธิพลเมืองอย่างเต็มที่ในการชุมนุมประท้วง แต่แล้วการประท้วงก็ยังดำเนินต่อไป ทั้งที่กรุงบราซิเลีย นครเซาเปาโล นครริโอเดอจาเนโร่ และอีกหลายต่อหลายจุด ทำท่าจะขยายตัวไปเรื่อยๆ ควบคู่ไปกับการประท้วงการแข่งขันฟุตบอลนัดต่างๆ รวมทั้งฟุตบอลโลกที่บราซิลเป็นเจ้าภาพในปีหน้า ประชาชนกลุ่มนี้รู้สึกว่ารัฐบาลใช้งบประมาณเกินตัวจนกระทบต่อสวัสดิการสังคมด้านอื่นๆ สุดท้ายนางรุสเสฟฟ์ตัดสินใจเรียกประชุมคณะรัฐมนตรีนัดฉุกเฉินเมื่อวานนี้ หลังจากนั้นก็นำมาตรการที่สรุปได้ปราศรัยให้ประชาชนทั่วประเทศฟังทางโทรทัศน์และสื่ออื่นๆ ทุกประเภท สิ่งที่ประธานาธิบดีบราซิลกล่าวนั้นเรียกได้ว่าเป็น “สัญญาประชาคม” และน่าจะนำมาใคร่ครวญให้มาก
 
นางรุสเสฟฟ์ประกาศว่า รัฐบาลบราซิล “ได้ยิน” เสียงตะโกนของประชาชนในครั้งนี้อย่างชัดเจน นางออกตัวว่าการควบคุมฝูงชนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งมีการใช้น้ำและแก๊สน้ำตา เป็นมาตรการปกติในการจำกัดความเสียหายจากการจลาจล มิใช่การสื่อสารว่ารัฐบาลปฏิเสธที่จะฟัง นางประกาศว่าจากนี้เป็นต้นไป รัฐบาลจะวางแผนการใหม่ที่จะปฏิรูประบบขนส่งมวลชนของประเทศ โดยจะใช้แนวคิดแบบสังคมนิยมมากขึ้นในการผลักดันนโยบายเหล่านั้น ถึงจะต้องผสมผสานกับการจัดการแบบทุนนิยม ซึ่งเอาความโลภของนักธุรกิจมาเป็นเครื่องมือกระตุ้นประสิทธิภาพ (ข้อหลังนี้ผมพูดเองครับ ไม่ใช่นางรุสเสฟฟ์) 
 
ส่วนเรื่องสำคัญเรื่องที่สองคือ จะปรับโครงสร้างการนำรายได้จากน้ำมันเสียใหม่ โดยจะจัดเงินรายได้เหล่านี้ให้กับการศึกษามากขึ้น ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่สำคัญอีกเงื่อนไขหนึ่งของผู้ประท้วง 
 
เรื่องที่สามคือการปฏิรูประบบรักษาพยาบาล รัฐบาลจะจ้างแพทย์จากทั่วโลกมาทำงานในบราซิลเพื่อเพิ่มจำนวนแพทย์ที่ขาดแคลนอย่างหนักจนกระทบต่อบริการสุขภาพในภาพรวม 
 
เรื่องที่สี่คือนางจะพบปะกับกลุ่มต่างๆ ที่กำลังประท้วงจลาจลอยู่โดยให้จัดส่งผู้แทนเข้ามาคุยกันอย่างทั่วถึง 
 
เรื่องสุดท้ายคือความเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลนั้น นางปฏิเสธที่จะเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิก แต่สัญญาว่าจะปรับวิธีการจัดการแข่งขันให้กระเทือนต่อประชาชนน้อยที่สุด นางย้ำว่า รายจ่ายและการลงทุนทั้งหมดมิได้มาจากเงินภาษีของประชาชนเลย แต่มาจากค่าธรรมเนียมซึ่งบริษัทธุรกิจทั้งหลายต้องจ่ายล่วงหน้าให้รัฐบาลเพื่อให้ได้สัมปทานใดๆ ก็ตามที่เกี่ยวกับการจัดงาน นางจึงจะเดินหน้าต่อไป แต่จะรับฟังความเห็นจากผู้ประท้วงเพื่อนำมาปรับปรุงในรายละเอียด
 
คำพูดที่ผมติดใจและนำมาคิดต่อ มาจากประโยคเกือบสุดท้ายที่นางกล่าวเป็นภาษาปอร์ตุเกส ซึ่งแปลเป็นอังกฤษว่า "I want institutions that are more transparent, more resistant to wrongdoing"เมื่อแปลเป็นไทยคงออกมาในทำนองที่ว่า “ดิฉันต้องการจะเห็นสถาบันทางสังคมต่างๆ โปร่งใส และมีอำนาจต้านทานการกระทำผิดต่างๆ มากขึ้น” 
 
เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ในเมืองไทยของเรานั้นมักจะชี้ผิดชี้ ถูกกันที่ตัวละครไม่กี่ตัว รัฐบาล ฝ่ายค้าน กองทัพ ศาล องค์กรอิสระ ฯลฯ องค์กรทางสังคมพวกนี้เรียกรวมๆ ได้ว่า สถาบันทางสังคม คือการรวมตัวของคน ระบบ แผนงาน ค่านิยม ผลประโยชน์ จนมีบุคลิกภาพของตัวเองขึ้นมา เกิดประเพณีและจารีตแบบของตนเองขึ้นมา จนบางทีก็แปลกแยกไปจากคนอื่นๆ ในสังคมเดียวกันไปเลย ดูหน่วยงานอย่างกระทรวงการต่างประเทศ การบินไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ สำนักพระราชวัง เป็นต้น สถาบันทางสังคมแบบนี้เขาถือตัวของเขาว่าเป็นอิสระอยู่ภายในกำกับของรัฐบาล เวลาต้องการอะไรจากรัฐบาลเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาล แต่เวลารัฐบาลต้องการอะไรจากเขา โดยที่เขาอาจไม่เห็นด้วย ก็จะเกิดการแข็งข้อเป็นอิสระขึ้นมาทันทีเดี๋ยวนั้น และวิ่งไปขอสถาบันทางสังคมที่ใหญ่กว่าเป็นที่พึ่งและคุ้มครอง สถาบันที่นางรุสเสฟฟ์พูดถึง จึงสามารถเบ่งตัวขึ้นเป็นรัฐน้อยๆ จนเป็น “อิสระ” อยู่ในภายในรัฐใหญ่ได้ บางครั้งก็ถึงขั้นแปรพักตร์ไปร่วมมือกับสถาบันทางสังคมอื่นๆ ในรัฐ เช่น กองทัพ เป็นต้น เอาอาวุธมาก่อรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลเลยก็มี นางรุสเสฟฟ์จึงกำลังพูดถึงส่วนประกอบที่สำคัญอย่างยิ่งในสังคม และพูดอย่างถูกต้องด้วยว่า ต้องปฏิรูปสถาบันทางสังคมเหล่านี้ควบคู่ไปกับประชาธิปไตยด้วย มิฉะนั้นสถาบันพวกนี้จะกลายเป็นเซลล์มะเร็งที่กัดกินร่างกายของตัวรัฐเอง จนรัฐอยู่ไม่ได้ในที่สุด
 
รายละเอียดเล็กๆ ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือ มีคนกลุ่มหนึ่งใช้หน้ากากขาว (“V For Vendetta”) เป็นสัญลักษณ์ของการประท้วงในครั้งนี้ด้วย ผมจึงนึกขึ้นได้ว่าคนที่ใส่หน้ากากขาวในเมืองไทยขณะนี้แบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกคือผู้ประท้วงโดยบริสุทธิ์ใจเพราะไม่ชอบการกระทำบางอย่างของรัฐบาลจริงๆ ไม่ได้ออกมาเพื่อเล่นการเมืองกับใครเลย กลุ่มที่สองซึ่งเอาสัญลักษณ์หมูหมากาไก่อะไรก็ได้มาต่อต้านฝ่ายเสื้อแดง ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเหลืองและหลากสีเก่า กลุ่มสุดท้ายเป็นนักยุทธศาสตร์ของฝ่ายอำมาตย์ศักดินาซึ่งกำลังหวังว่าจะพลิกเรื่องทั้งหมดของการทำลายประชาธิปไตยให้เป็นการต่อต้านรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งทุกยุค และทำให้ตัวเองอยู่ในฝ่าย “คนดี” เหมือนช่วงที่สังคมแบ่งออกเป็น “เทพ” และ “มาร” ในห้วงก่อนเหตุการณ์พฤษภาทมิฬเมื่อ พ.ศ.2535
 
กลุ่มหลังนี่ล่ะครับที่ควรระมัดระวัง เพราะเขาจะอาศัยความบริสุทธิ์ใจของกลุ่มแรก มาทำลายการพัฒนาประชาธิปไตยโดยคนในกลุ่มแรกก็อาจไม่รู้ตัวเลย เมื่อประธานาธิบดีบราซิลจี้จุดสำคัญได้ถึงขนาดนี้ เราควรหันมามองเมืองไทยและแยกแยะเสียให้ชัดระหว่าง 1) หน้ากากขาว 2) หน้ากากเก่า และ 3) หน้ากากผี. 
 
 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กานดา นาคน้อย: ข้าว เหล้า ไวน์

$
0
0

ช่วงนี้รัฐบาลโดนโจมตีว่านโยบายจำนำข้าวสร้างภาระทางการคลังมากมายมหาศาล   ยังไม่ชัดเจนว่ามหาศาลเท่าการขาดทุนขององค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน(ปรส.)หรือเท่าการเพิ่มงบประมาณกลาโหมอย่างต่อเนื่องตั้งแต่รัฐประหารปี 2549หรือไม่?    บ้างก็เสนอว่านโยบายประกันราคาข้าวดีกว่านโยบายจำนำข้าว     ที่จริงแล้วมีนโยบายช่วยชาวนาที่ดีกว่าการแทรกแซงราคาข้าวแต่ยังไม่มีรัฐบาลไหนสนใจทำ  อาทิ  การจัดตั้งโรงสีในรูปรัฐวิสาหกิจเพื่อลดอำนาจตลาดของโรงสีเอกชน   เปิดเสรีธุรกิจสุราเพื่อส่งเสริมการแปรรูปข้าว   ฯลฯ 

ไทยเปิดเสรีสุราแล้วตั้งแต่พศ. 2546แล้วไม่ใช่หรือ?

แม้ว่าในยุครัฐบาลทักษิณ 1 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ส่งเสริมการใช้ผลผลิตทางการเกษตรทำสุรากลั่นชุมชนของประชาชนในท้องถิ่น   การส่งเสริมดังกล่าวมีข้อจำกัดมากจนเกินกว่าจะเรียกได้ว่าไทยเปิดเสรีสุราแล้ว   ข้อจำกัดที่สำคัญมีดังต่อไปนี้

1.    อนุญาตให้ผลิตสุราชุมชนได้ทั้ง“สุรากลั่น”และ “สุราแช่”แต่ไม่ให้ผลิต “สุราแช่ประเภทเบียร์”  และกำหนดว่าสุรากลั่นชุมชนต้องมีแรงแอลกอฮอล์เกินกว่า 15 ดีกรีแต่ไม่เกิน 40 ดีกรี  ส่วนสุราแช่ต้องไม่เกิน 15 ดีกรี

สุราแช่อาศัยการหมักซึ่งให้สุราที่มีแอลกอฮอล์ต่ำกว่าสุรากลั่น   สุราแช่มีแอลกอฮอล์ระหว่าง 4-23 ดีกรี (อาทิ ไวน์คูลเลอร์  เบียร์ ไวน์  พอร์ต)  ประเด็นสำคัญคือมติครม.สงวนสุราแช่ประเภทเบียร์ไว้ให้ผู้ผลิตรายใหญ่   หมายความว่ารัฐบาลยินยอมให้ผู้ผลิตเบียร์ไม่กี่รายเป็นอภิมหาเศรษฐีโดยไม่แบ่งกำไรให้ผู้ผลิตชุมชน   การจำกัดไม่ให้ผลิตไวน์ทีสูงกว่า 15 ดีกรีเป็นการสงวนไว้ให้กับผู้ผลิตรายใหญ่และไวน์นำเข้าจากต่างประเทศ   ประชาชนที่ถือศีล 5 อาจจะหวาดกลัวว่าการเปิดเสรีจะทำให้อาชญากรรมเพิ่มขึ้น   ขอแนะนำให้ศึกษากรณีของญี่ปุ่น   ญี่ปุ่นอนุญาตให้รายย่อยผลิตสุราแช่ได้สารพัดจนนับไม่ถ้วน   แต่ญี่ปุ่นมีอาชญากรรมน้อยติดอันดับโลก  

2.    กำหนดว่าสุรากลั่นชุมชนต้องติดฉลากว่า“สุราขาว”

การจำกัดฉลากว่าสุราขาวหรือที่เรียกกันว่า “เหล้าขาว”ทำให้มีภาพพจน์ว่าสุราชุมชนเป็นสินค้าคุณภาพต่ำทั้งๆที่สุรากลั่นในต่างประเทศมีคุณภาพหลากหลายและมีชื่อเรียกสารพัดแล้วแต่ว่าใช้วัตถุดิบอะไร   ที่จริงแล้วสุรากลั่นที่ตีตลาดโลกจนขายดีทีสุดในโลกคือสุรากลั่นเกาหลีใต้ที่ทำจากข้าว(เดี๋ยวนี้ใช้แป้งชนิดต่างๆรวมทั้งแป้งมันสำปะหลังด้วย)    รัฐบาลควรยกเลิกการจำกัดฉลากสุราชุมชนด้วยคำว่า “สุราขาว”และตั้งชื่อใหม่ตามแต่วัตถุดิบเพื่อยกระดับภาพพจน์ของสุรากลั่นในลักษณะเดียวกับสุราแช่ที่ผลิตจากผลไม้และข้าว   ถ้าสุรากลั่นชุมชนสามารถติดฉลากในลักษณะเดียวกับ “ไวน์คูลเลอร์”หรือ “ไวน์”    ก็จะช่วยขยายตลาดข้าว(และสินค้าเกษตรต่างๆ)ให้กว้างขึ้น

3.    อำนาจของอธิบดีกรมสรรพสามิตที่จะอนุญาตให้ผลิตสุราชุมชนหรือไม่ยังอ้างอิงพรบ.สุราพศ. 2493 ที่กีดกันการแข่งขัน

สาระสำคัญของพรบ.ดังกล่าวคือการส่งเสริมการผูกขาดการผลิตและจำหน่ายสุราโดยผู้ผลิตรายใหญ่ที่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาล   การกีดกันด้วยอัตราภาษีนำเข้าทำให้ผู้ผลิตในประเทศไม่กี่รายที่รัฐบาลคุ้มครองอยู่ขายสุราด้วยราคาแพงได้    พรบ.สุราพศ.2493โดนแก้มาหลายครั้งโดยเฉพาะทีเกี่ยวข้องกับอัตราภาษีแต่ยังไม่ยกเลิก  ที่สำคัญ  อำนาจของอธิบดีกรมสรรพสามิตที่จะอนุญาตให้ผลิตสุราหรือนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง   พรบ.นี้เก่าแก่ล้าหลังและสนับสนุนการผูกขาดยิ่งกว่าพรบ.การธนาคารพาณิชย์   

ก้าวไปให้พ้นการจำนำข้าว

การเปิดเสรีสุราสามารถเปลี่ยนโครงสร้างการตลาดเพื่อช่วยชาวนาและเกษตรกรโดยรวมในระยะยาวได้   การเปิดเสรีสุราเป็นนโยบายทั่วไปในประเทศที่พัฒนาแล้ว   ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น  เกาหลีใต้  สหรัฐฯ  หรือประเทศพัฒนาแล้วในยุโรปตะวันตก   การเปิดเสรีไม่ได้หมายความว่าใครก็ลุกขึ้นมาผลิตสุราขายได้เหมือนขายเสื้อ   แต่หมายความว่ากระบวนการให้ใบอนุญาตโปร่งใสและตรวจสอบได้กว่ากระบวนการของไทย   และกฎหมายสนับสนุนการแข่งขันไม่ใช่ส่งเสริมการผูกขาด     การเปิดเสรีสุราดีกว่าการจำนำข้าวที่มีผลระยะสั้น    ราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกผันผวนมากดังนั้นรัฐบาลควรเลิกยึดติดกับสถานะ“ผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ในตลาดโลก”   การเปิดเสรีสุราจะช่วยขยายตลาดในประเทศให้แก่ข้าวและผลผลิตการเกษตรอื่นๆ    

ว่าแต่ว่านักการเมืองที่โจมตีการจำนำข้าวจะผลักดันการเปิดเสรีสุราไหม?   หรือว่าขี่หลังสิงห์หลังช้างแล้วลงไม่ได้? 

 

หมายเหตุ

แก้ไขเพิ่มเติมเนื้อหาเวลา 14.42 น. วันที่ 24 มิ.ย. 2556

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

หน้ากากขาวมาตามนัดรวมตัว 'เซ็นทรัลเวิลด์-ตจว.-ตปท.'

$
0
0
หน้ากากขาวรวมตัว เซ็นทรัลเวิลด์ ต่างจังหวัด "ออสเตรเลีย-ฮ่องกง"เอาด้วย บชน.คาดชุมนุมหน้ากากขาว 3,000 ยันดูแลเต็มที่ 40 ส.ว.ซัด 'เฉลิม'ขู่หน้ากากขาวหวังสกัดมวลชน

 
 
 
 
 
 
 
 
การชุมนุมของกลุ่มหน้ากากขาวในกรุงเทพ ต่างจังหวัด และต่างประเทศ (ที่มาภาพ: www.facebook.com/V.For.Thailand)
 
 
23 มิ.ย.56 - เว็บไซต์คมชัดลึกรายงานว่าเมื่อเวลาประมาณ 13.00 น. กลุ่มหน้ากากขาว ได้รวมตัวกันที่ด้านหน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์ โดยทางห้างได้นำรั้วเหล็กมากั้นเอาไว้ แต่ผู้ชุมนุมก็ยังเข้ามาชุมนุมในพื้นที่ดังกล่าวเป็นจำนวนมาก  ทั้งนี้ในการรักษาความปลอดภัยได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยรักษาความปลอดภัยอยู่ที่บริเวณทางเข้าห้าง และเข้มงวดเรื่องการตรวจอาวุธ  
 
จากนั้นเวลา 14.25 น. กลุ่มหน้ากากขาวเคลื่อนตัวออกจากหน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์ มุ่งหน้าไปจัดกิจกรรมที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ระหว่างเคลื่อนขบวนได้มีมอเตอร์ไซค์นำหน้า จากนั้นตามมาด้วยมวลชน  ทั้งนี้ระหว่างทางที่ผ่านสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็หยุดขบวนและกล่าวโจมตีการทำงานของตำรวจและพร้อมใจกันตะโกนข้อความ "ขี้ข้าทักษิณ"โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 1 กองร้อยนำโล่มาตั้งแถวป้องกัน
 
นอกจากวันนี้ที่มีการนัดรวมตัวของกลุ่มหน้ากากขาวทั่วประเทศไทยแล้วยังมีการรวมตัวของกลุ่มคนไทยใส่หน้ากากขาวในต่างจังหวัด และต่างประเทศ ที่ประเทศออสเตรเลีย และ เกาะฮ่องกง ด้วย โดยมีการโพสต์รูปและคลิป ผ่านทางโซเชียลเน็ทเวิร์กอย่างคึกคัก
 
"สุริยะใส"ชี้ปรากฎการณ์หน้ากากขาว ฉีกหน้ากาก ปชต.ของระบอบทักษิณ
 
ด้านนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน (Green Politics) กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มคนหน้ากากขาวว่า ตนเห็นว่าการขยายตัวในวงกว้างของหน้ากากขาวทั้งในประเทศ และนอกประเทศมีมากขึ้น บวกกลับมีหน้ากากขาวกำลังไล่รัฐบาลในบางประเทศ เช่น ที่บราซิล ตุรกี เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ออกอาการหวั่นไหว จึงพยายามข่มขู ทำลายความชอบธรรมไม่เว้นแต่ละวัน กระแสหน้ากากขาวทะลุทะลวงสภาวะการเมืองไทย 2 ระดับจนอาจส่งผลให้รัฐบาลชุดนี้พังพาบไปก่อนเวลา การทะลวงระดับหนึ่ง คือ การก่อรูปของขบวนการต่อต้านระบอบทักษิณที่ยังมีอยู่ แต่ที่ผ่านมากระจัดกระจายรวมกันไม่ติดและถูกตราตรึงด้วยกลไกลที่ฉ้อฉลของรัฐ และคำสั่งศาลที่ห้ามแกนนำร้อยกว่าคนออกมาชุมนุมเคลื่อนไหว
 
นายสุริยะใส กล่าวต่อว่า ก่อนหนี้มีความพยายามฮึดสู้ขององค์กรพิทักษ์สยามหรือม็อบ เสธ.อ้าย แต่สุดท้ายก็ถูกจัดการด้วยกฎหมาย ความรุนแรงและสารพัดเล่ห์กลของรัฐจนหยุดการชุมนุมเสธ.อ้ายได้ ทำให้รัฐบาลย่ามใจว่าเป็นจุดจบและขาลงของขบวนการต้านระบอบทักษิณ พอมีปรากฎการณ์หน้ากากขาว ทำให้ขบวนการต้านระบอบทักษิณฟื้นคืนชีพมาอีก และขยายวงได้เร็วและกว้างขึ้นกว่าเดิม ยิ่งรัฐบาลขาลงปรากฎการณ์การณ์หน้ากากขาวยิ่งทรงพลังสวนทางกัน
 
ส่วนการทะลวงในระดับที่สอง คือ การตีฝ่ากับดักทางยุทธศาสตร์ "โลกล้อมประเทศ"ที่พ.ต.ท.ทักษิณ เคยว่าจ้างไหว้วานบริษัทล็อบบี้ยิสต์กล่าวหาประเทศไทยว่าไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะมีการยึดอำนาจของเขาที่มาจากการเลือกตั้ง และวาดภาพว่าประเทศไทยเป็นระบอบอำมาตยาธิปไตย และล่าสุดสปีชของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ที่มองโกเลียและศรีลังกา ที่บิดเบือนว่าประเทศไทยยังมีกลุ่มต่อต้านประชาธิปไตยป้ายสีการตรวจสอบรัฐบาลว่าเป็นขบวนการนอกรัฐธรรมนูญ พอมีหน้ากากซึ่งเป็นสัญลักษณต่อสู้กับอำนาจที่ฉ้อฉลในระดับสากลทำให้ต่างประเทศหูตาสว่างว่าประเทศไทยกำลังถูกครอบงำด้วยระบอบทักษิณ เพราะขบวนการหน้ากากขาวได้ฉีกหน้ากากประชาธิปไตย หรือเผด็จการทางรัฐสภาของรัฐบาลหุ่นเชิดลงอย่างสิ้นเชิง
 
 
บชน.คาดหน้ากากขาวม็อบ 3,000 ยันดูแลเต็มที่
 
เว็บไซต์ไอเอ็นเอ็นรายงานว่า พล.ต.ต.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวย้ำกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ถึงการนัดหมายการชุมนุมของหน้ากากขาวในวันนี้ บริเวณลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เวลา 13.00 น. ว่า จากการประเมินตัวเลขของผู้ร่วมชุมนุม คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 2,000 - 3,000 คน ซึ่งการวางกำลังเจ้าหน้าที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยนั้น ก็ได้มีการเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ อีกทั้งมีการประเมินสถานการณ์และการข่าวชั่วโมงต่อชั่วโมง เพื่อพิจารณาการเพิ่ม-ลดกำลังเจ้าหน้าที่ เนื่องจากสถานที่รวมตัวเป็นพื้นที่เปิด พื้นที่สาธารณะ จะต้องพิจารณาการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคง เพราะอาจไปลิดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชนที่อาศัยเเละสัญจรผ่านไปมา หรือเดินศูนย์การค้าดังกล่าวได้
 
ขณะเดียวกัน การเฝ้าระวังก็เป็นอีกเรื่องที่ตำรวจให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพื่อไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งระหว่างผู้สนับสนุนและฝ่ายตรงข้าม รวมไปถึงมือที่สาม ที่อาจจะเข้ามาก่อความวุ่นวายได้ อย่างไรก็ตาม พล.ต.ต.ฐิติราช ยังกล่าวย้ำว่า ตำรวจจะพยายามดูแลความสงบเรียบร้อยอย่างเต็มที่
 
ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการชุมนุมของหน้ากากขาว ว่า ได้มีการคุยกันว่าเป็นกลุ่มเดิมที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลที่เคลื่อนไหวเพื่อต้องการล้มรัฐบาล ซึ่งก็ติดตาม และดูข้อเรียกร้องอยู่ ส่วนที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี บอกว่าจะมีมือที่ 3 วางระเบิดนั้น ก็คงจะเป็นการพูดเพื่อปรามมือที่ 3 ด้วย ซึ่งมีความเป็นห่วงเช่นกัน เพราะขณะนี้สภาปิด การเมืองก็อยู่นอกสภา แต่เชื่อว่า สถานการณ์เหล่านี้จะหมดไปเมื่อสภาเปิด
 
 
 
40 ส.ว.ซัด "เฉลิม"ขู่หน้ากากขาวหวังสกัดมวลชน
 
ด้านเว็บไซต์โพสต์ทูเดย์รายงานว่านายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหาในฐานะประธานอนุกรรมาธิการศึกษาติดตามการดำเนินงานด้านสิทธิเสรีภาพ วุฒิสภา กล่าวถึงกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่าอาจมีระเบิดโยนใส่ที่ชุมนุมกลุ่มหน้ากากขาวว่า ว่า เป็นความต้องการที่จะข่มขู่เพื่อสกัดกั้นไม่ให้ประชาชนออกมาชุมนุม หลังจากที่รู้ดีว่าหมดปัญญาที่จะหยุดการเติบโตของกลุ่มหน้ากากขาวได้แล้ว จึงใช้วิธีการที่ถนัดคือการข่มขู่ พร้อมกับป้ายสีว่ากลุ่มหน้ากากขาวได้รับใบสั่ง ทั้งที่ความจริงไม่มีใกล้บงการกลุ่มนี้ได้ ทั้งนี้ กลุ่มหน้ากากขาวอาจจะมาจากภาคส่วนต่างๆ ทั้งเสื้อเหลือง กลุ่มหลากสี กลุ่มสนามหลวง ประชาธิปัตย์ หรือนานาประชาชนแต่ก็มีหัวใจดวงเดียวกันคือ ไม่เอาเผด็จการทุนสามานย์ของระบอบทักษิณและเห็นว่าบ้านเมืองบรรลัยไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว
 
"หน้ากากขาวมีความเชื่อมั่นในพลังแห่งความถูกต้องที่ต้านยันใครหรือกลุ่มใดก็ตามซึ่งทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน ใช้อำนาจบาตรใหญ่ฉ้อฉลและย่ำยีประเทศชาติ เขาไม่จำเป็นต้องรู้จักกัน เขาไม่ต้องมีใครมาชี้นำ แต่เขารู้ว่าเขาควรทำอย่างไร และจะเดินไปสู่เป้าหมายเดียวกันอย่างไร ด้วยการใช้สิทธิแสดงออกตามรัฐธรรมนูญคือชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ ซึ่งไม่มีกฏหมายฉบับใดมาเอาผิดได้ โดยไม่ได้ใช้ความเถื่อนถ่อยหรือวิธีอันธพาลใดๆเลยไนายประสารกล่าว
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รายงาน: เมื่อนักโทษการเมืองร่วมฉลองวันชาติ (24 มิถุนา)

$
0
0

 



 

ก่อนจะมีงานรำลึกวันชาติในเย็นวันนี้ (23 มิ.ย.) จนถึงเช้ามืดวันพรุ่งนี้ (24 มิ.ย.) ซึ่งเป็นย่ำรุ่งของการประกาศเปลี่ยนแปลงการปกครองที่หมุดคณะราษฎร บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า

เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.ที่ผ่านมา กลุ่มปฏิญญาหน้าศาล นำโดย สุดา รังกุพันธุ์ หรือที่ใครๆ เรียก อาจารย์หวาน และกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย ร่วมกับกลุ่มคนเสื้อแดงอิสระอื่นๆ อีกราว 40 คน ได้ร่วมกันฉลองวันชาติกับนักโทษการเมือง ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

สุวรรณา ตาลเหล็ก จากกลุ่ม 24 มิถุนาฯ กล่าวว่า เนื่องจากนักโทษการเมืองที่ยังหลงเหลืออยู่เกือบ 20 คน (ไม่รวมคดี มาตรา 112) นั้นไม่มีโอกาสได้ร่วมเฉลิมฉลองวันชาติดั้งเดิมของประเทศไทยกับคนอื่นๆ พวกเขาจึงขนย้ายหมุดคณะราษฎรอันเบ้อเริ่ม (จำลอง) มาที่นี่และร่วมร้องเพลงชาติ เวอร์ชั่น 24 มิถุนา กับนักโทษการเมือง

นอจากนี้ยังมีการจัดเลี้ยงอาหารทั้งผัดไทยปู ก๋วยเตี๋ยวหมู ขนมหวาน ผลไม้ โดยได้รับการสนับสนุนจากคนเสื้อแดงจากพื้นที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น มีนบุรี ลาดกระบัง จันทบุรี รวมถึงจังหวัดอื่นๆ ที่แวะเวียนสลับกันมาจัดทำอาหารให้นักโทษการเมือง นอกจากนี้ยังมีการเล่นดนตรีของวงไฟเย็นและเปิ้ล วารี ด้วย

อันที่จริง ประเพณีการเยี่ยมนักโทษเสื้อแดงนั้นมีมานาน ตั้งแต่มีการย้ายผู้ต้องขังคดีการเมืองแยกออกมาจากเรือนจำปกติ ตามเสียงเรียกร้องของหลายฝ่ายว่าการกระทำผิดจากแรงจูงใจทางการเมืองนั้นต่างออกไปจากการก่ออาชญากรรม เสียงสำคัญเสียงหนึ่งคือ คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.)

ประเพณีนี้น่าสนใจในแง่ที่จุดเริ่มต้น การจัดการ กระบวนการต่างๆ นั้นเกิดขึ้นจากประชาชนที่พยายามดูแลประชาชนด้วยกันเองหลังการสลายการชุมนุมเมื่อเดือนพ.ค.53

ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมเดือน เม.ย.-พ.ค.2553 หรือ ศปช. รายงานว่าช่วงต้นๆ ของการจับกุมคุมขังนั้นมีประชาชนถูกจับกุมถึงเกือบ 2,000 คน ช่วงนั้นเรียกว่าเป็นช่วงฝุ่นตลบที่ยังไม่มีใครช่วยเหลือใครได้ ส่วนใหญ่เป็นคดีฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ส่วนที่ต้องยกฟ้องไปก็มีหลายคดี เพราะเป็นเพียงผู้ผ่านทาง มีกระทั่งกรณีคนเร่ร่อนเก็บขยะที่ยังโดนจับกุมและอยู่ในเรือนจำนาน 6 เดือนก่อนศาลจะยกฟ้อง (อ่านที่ ยกฟ้องคดีคนเร่ร่อนฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หลังจำคุกกว่า 5 เดือน) จนกระทั่งผ่านมา 1 ปีหลังเหตุการณ์สลายการชุมนุมก็ยังพบว่ามีผู้ต้องขังทั่วประเทศอีกราว 130 กว่าคน ส่วนใหญ่จากข้อหาฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉิน

จากนั้นจึงเหลือผู้ที่ถูกฟ้องคดีและต้องโทษนานนับปีที่จะถูกขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ เรือนจำคลองเปรม และเรือนจำประจำจังหวัดอื่นๆ ที่มีความพยายามเผาศาลากลาง กระทั่งวันที่ 17 ม.ค.2555 จึงมีคำสั่งย้ายนักโทษจากการสลายการชุมนุมมารวมกันที่เรือนจำหลักสี่ ยกเว้นคดี มาตรา 112 ซึ่งในเรื่องนี้สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือแซ่ด่าน ได้เคยท้วงติงไว้ว่า คดีมาตรา 112 ถือเป็นนักโทษทางความคิด เป็นการเมืองเสียยิ่งกว่าการเมือง

 


ตุ๋ย กัลยา
 

ตุ๋ย กัลยา เป็นหนึ่งในเสื้อแดงหลายๆ คนที่ตระเวนเยี่ยมเยียนนักโทษเป็นประจำ รวมทั้งจัดการสิ่งต่างๆ แม้แต่การซื้อหาหยูกยาให้นักโทษเล่าว่า เธอเริ่มเยี่ยมนักโทษตั้งแต่ก่อนที่สุรชัย แซ่ด่านจะโดนจับเมื่อ 21 ก.พ.54 และพบว่าพวกเขาส่วนใหญ่มีฐานะยากจน มีความเป็นอยู่ในเรือนจำที่ยากลำบาก ครอบครัวก็ลำบาก ทำให้เกิดความสงสารและต้องมาเยี่ยมพวกเขาบ่อยครั้ง จนกระทั่งมีการย้ายผู้ต้องขังจำนวนหนึ่งไปเรือนจำหลักสี่ก็ตามไปเยี่ยมทั้งสองที่

“เราได้ข่าวว่าพวกนักโทษ(ที่หลักสี่)อดๆ อยากๆ ก็เลยขออนุญาตผู้คุมเอาอาหารมาเลี้ยง ตอนแรกๆ มาทุก จันทร์ อังคาร ศุกร์ ทำได้สักสามสี่เดือนก็ต้องลดลงเหลืออาทิตย์ละวัน เพราะมื้อนึงก็ต้องควักประมาณสี่พัน” กัลยากล่าว

ทั้งนี้ เรือนจำหลักสี่มีการคุมขังเหมือนผู้ต้องขังในเรือนจำทั่วไป แต่อนุโลมในระเบียบบางประการ เช่น สามารถฝากอาหารได้ และไม่จำกัดเวลาเยี่ยม

จากนั้นกลุ่มแดงมีนบุรีที่เธอสังกัดจึงเริ่มช่วยกันระดมทุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อวัตถุดิบมาทำอาหาร แต่สุดท้ายความช่วยเหลือก็ดูเหมือนเริ่มขยายวง

“มวลชนเขาก็ช่วยกันบริจาค แต่พอเห็นญาตินักโทษแล้ว เราก็เอาไม่ลง เลยบริจาคเป็นค่าเดินทางให้ญาตินักโทษไป” เจ้าตัวกล่าวพร้อมหัวเราะ

บรรยากาศลุ่มๆ ดอนๆ ของกลุ่มต่างๆ ที่สลับแวะเวียนกันมาที่เรือนจำมีให้เห็นไม่ขาดสาย รวมถึงกลุ่มปฏิญญาหน้าศาลที่เข้ามาร่วมเลี้ยงอาหารและหลายๆ ครั้งก็จัดกิจกรรมเสวนาที่เรือนจำด้วย

อาจกล่าวได้ว่าในช่วง 2553 กับ 2554 ทั้งปีจะเป็นช่วงที่ผู้ต้องขังอยู่ในสภาพที่ยากลำบาก และได้รับการประคับประคอง ดูแลทั้งการเยี่ยม อาหาร การเงินจากคนเสื้อแดงด้วยกันเอง ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ใช่คนมีฐานะ โดยไม่มีแกนนำ ไม่มีนักการเมืองเข้ามากให้การดูแลไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม กระทั่งปลายปี 54 จึงมีการระดมทุนจากเสื้อแดงต่างประเทศและเริ่มมีความช่วยเหลือนักโทษและญาติอย่างเป็นกิจจะลักษณะ เป็นค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ รายเดือน

ประสิทธิ์ พลอยทับทิม ผู้ต้องขังที่ถูกศาลลงโทษจำคุก 1 ปีกว่า จากการขัดขวางเทศกิจเข้ามารื้อเวทีกลุ่มพิราบขาว และถูกเทศกิจตีจนขาหัก เล่าว่า คดีของเขาเกิดเมื่อปี 50 แต่เพิ่งถูกตัดสินจำคุกเมื่อไม่นานมานี้ เนื่องจากที่ผ่านมาเขาได้ขึ้นศาลเพียง 2-3 ครั้ง แล้วทนายก็ไม่ติดต่ออีก เขาจึงคิดว่าคดีสิ้นสุดแล้วและประกอบอาชีพ รปภ.ที่ชลบุรีต่อไปตามปกติจนกระทั่งถูกจับกุมและพิพากษาจำคุก 1 ปี  

ประสิทธิ์พูดทั้งน้ำตาว่า ถ้าเขาไม่ได้มวลชนคอยมาเยี่ยมเยียนให้กำลังใจ และ “ป้าน้อย” ภรรยาสุรชัย แซ่ด่าน ที่มาเยี่ยมและคอยให้ความช่วยเหลือลูกสาวคนเดียวของเขาที่อุดร เขาคงคิดฆ่าตัวตายในคุกในนานแล้ว

 


ลูกสาวประสิทธิ์ พลอยทับทิม

“ถึงเราจะเป็นคนยากคนจน เราก็รู้เรื่อง เราสู้เรื่องประชาธิปไตยตั้งแต่ปี 48 แล้ว แต่ตอนนี้ไม่มีใครเหลียวแล ผมไม่โทษใคร แต่ผมน้อยใจ ที่ยังอยู่ได้ก็เพราะห่วงลูกสาว รับจ้างทำนาเลี้ยงยายคนเดียวอยู่ที่อุดร ค่าจ้างก็ได้แค่ข้าว 2 กิโล ลงมาเยี่ยมเดือนละครั้งก็ยากลำบาก มันเครียดมากๆ เพราะเรารู้สึกว่าไม่ได้ทำผิดอะไร คนอื่นมีญาติมาเยี่ยม แต่เราไม่มี ลูกก็ต้องมาลำบาก” ประสิทธิ์กล่าว

กัลยา ยังเล่าว่า นักโทษการเมืองหลายคนมีอาการซึมเศร้า โดยยกตัวอย่างพิทยา แน่นอุดร อดีตผู้ต้องขังคดีครอบครองวัตถุระเบิดหรือประทัดยักษ์ อยู่ในเรือนจำมา 3 ปีกว่า ก่อนที่จะได้รับการพักโทษ ซึ่งเป็นมาตรการทั่วไปสำหรับนักโทษชั้นดี เขาเคยมีอาการซึมเศร้า เครียดจัดจนถึงขั้นทำร้ายตัวเอง เพราะหลังจากเขาอยู่ในเรือนจำไม่นานพ่อก็เสียชีวิตลง จากนั้นไม่ถึง 2 เดือนแม่ก็เสียชีวิตตามไป ทำให้เพื่อนผู้ต้องขังต้องให้การดูแลอย่างใกล้ชิด

 “พวกเขาไมได้ทำผิดอะไร เขาเป็นแค่นักโทษการเมือง 3 ปีที่จับมาขังอย่างนี้พอหรือยัง ในเมื่อแกนนำก็ยังให้ประกันได้ ทำไมพวกนี้ถึงไม่ได้ เขาไม่มีพิษมีภัยอะไร มีแต่คนยากคนจนทั้งนั้น” กัลยากล่าวท้ายที่สุด

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ฉลองแบบโต้รุ่ง "24 มิถุนายน 2475"ที่หมุดคณะราษฎร

$
0
0

เปิดตัว "คณะกรรมการ 14 ตุลาเพื่อประชาธิปไตยสมบูรณ์"พร้อมกับจัดงาน "24 มิถุนาฯ เฉลิมฉลองวันชาติประชาชน"ที่หมุดคณะราษฎร ลานพระบรมรูปทรงม้า โดยจัดแบบโต้รุ่งจนถึงเช้าพรุ่งนี้

(วิดีโอ) โต้รุ่งรำลึก "24 มิถุนายน 2475"ครบปีที่ 81

เปิดตัว "คณะกรรมการ 14 ตุลาเพื่อประชาธิปไตยสมบูรณ์"และการกล่าวรำลึกเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครอง โดย พ.ต.พุทธินารถ พหลพลพยุหเสนา บุตรชายของพระยาพหลพลหยุหเสนา ผู้นำคณะราษฎร

ประชาชนเข้าร่วมกิจกรรม "24 มิถุนาฯ เฉลิมฉลองวันชาติประชาชน" ตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ

กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตย (LLTD) จำหน่ายโปสการ์ด "บรรพชนอภิวัฒน์"
สำหรับระดมทุนเพื่อทำกิจกรรมนักศึกษา 

การแสดงดนตรีโดยวงกำปั้น

การแสดงละคร "เก้าแผ่นดิน"โดยกลุ่มประกายไฟการละคร

 

ช่วงค่ำวันนี้ (23 มิ.ย.) กลุ่มประชาสังคมหลายกลุ่ม เช่น สมาคมญาติ 14 ตุลา 2516 เครือข่ายเดือนตุลา มูลนิธิวีรชนประชาธิปไตย กลุ่ม 24 มิถุนาฯ ประชาธิปไตย  กลุ่มประกายไฟ  คนเสื้อแดงกลุ่มย่อย และสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย หรือ สนนท. ร่วมกันจัดงาน "24 มิถุนาฯ เฉลิมฉลองวันชาติประชาชน"โดยเป็นการจัดงานรำลึกเพื่อโหมโรง ก่อนถึงวันครบรอบ 81 ปี การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ที่จะมาถึงในเช้าวันพรุ่งนี้

ในโอกาสนี้ ทางกลุ่มได้ร่วมกันเปิดตัว "คณะกรรมการ 14 ตุลาเพื่อประชาธิปไตยสมบูรณ์"ที่บริเวณหมุดคณะราษฎร ลานพระบรมรูปทรงม้าด้วย โดยนายจรัล ดิษฐาอภิชัย อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ อดีตแกนนำ นปช.รุ่น 2 ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการดังกล่าวเปิดเผยว่าที่ตั้งคณะกรรมการ 14 ตุลา ขึ้นมาอีกกลุ่มเนื่องจากมีคนเตือนตุลาบางกลุ่มหันไปอยู่ฝ่ายต่อต้านประชาธิปไตย ซึ่งผิดกับเจตนารมณ์ของการต่อสู้ของคนเดือนตุลา โดย "คณะกรรมการ 14 ตุลาเพื่อประชาธิปไตยสมบูรณ์"จะดำเนินงานโดยยึดคำขวัญ "จงพิทักษ์เจตนารมณ์ประชาธิปไตยสมบูรณ์ของวีรชน 14 ตุลาคม"ของนายปรีดี พนมยงค์ ผู้นำคณะราษฎร โดยคณะกรรมการดังกล่าวจะจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง จนถึงวันรำลึกเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ในเดือนตุลาคมนี้

สำหรับบรรยากาศภายในงานเป็นไปอย่างคึกคัก โดยตั้งแต่ช่วงเย็น พ.ต.พุทธินารถ พหลพลพยุหเสนา บุตรชายของพระยาพหลพลหยุหเสนาได้กล่าวรำลึกการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 นอกจากนี้การร่วมร้องเพลงวันชาติ 24 มิถุนายน แสดงลำตัดประชาธิปไตยคณะพี่น้องแสงธรรม โดยวัฒน์ วรรลยางกูล การร่วมร้องเพลงวันชาติ 24 มิถุนายน การแสดงดนตรีโดยวงกำปั้น ละครการเมือง "เก้าแผ่นดิน"โดยกลุ่มประกายไฟการละคร

นอกจากนี้กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตย ได้จัดระดมทุนสำหรับทำกิจกรรมด้วยการจำหน่ายโปสการ์ด "บรรพชนอภิวัฒน์"เป็นรูปผู้ก่อการคณะราษฎร ได้แก่ ปรีดี พนมยงค์ พระยาพหลพลพยุหเสนา จอมพล ป. พิบูลสงคราม และนักหนังสือพิมพ์ผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย กุหลาบ สายประดิษฐ์

ขณะที่ในเวลา 24.00 น. คืนนี้ ที่หมุดคณะราษฎร ณัฐพล ใจจริง อาจารย์ประจำสาขาการปกครองท้องถิ่น คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา มีกำหนดการขึ้นอ่านสุนทรพจน์วันชาติครั้งที่ 1 ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม โดยการจัดงานจะดำเนินไปจนถึงเวลา 6.00 น. ของวันพรุ่งนี้ ซึ่งเป็นวันครบรอบการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ครบรอบปีที่ 81

อนึ่งประเทศไทยเคยประกาศให้วันที่ 24 มิถุนายนของทุกปีเป็นวันชาติ เพื่อรำลึกถึงวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 โดยในวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2481 รัฐบาล พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา (ยศในขณะนั้น) ออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง "วันชาติ"โดยถือเป็นวันหยุดราชการด้วย กระทั่งต่อมาวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2503 รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเรื่อง "ให้ถือวันพระราชสมภพเป็นวันเฉลิมฉลองของชาติไทย"ขึ้นมาแทน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

2475 กับสถาบันกษัตริย์

$
0
0

การปฏิวัติสยาม 24 มิถุนายน 2475 คือความพยายามในการดึงอำนาจการปกครองประเทศจากกษัตริย์มาเป็นของราษฎร เอกสารร่วมสมัยที่ผู้อ่านจะได้พบด้านล่างนี้ คือตัวอย่างรูปธรรมของความพยายามดังกล่าวใน 3 ปริมณฑล ได้แก่ (1) การบริหารจัดการราชสำนัก (2) การเมืองเรื่องวัฒนธรรม และ (3) การจัดการทรัพย์สินกษัตริย์ รายละเอียดและการคลี่คลายของแต่ละประเด็น เป็นเรื่องที่ยังรอการวิเคราะห์อภิปรายต่อไป

                หมายเหตุ: การสะกดเป็นไปตามต้นฉบับ และเอกสารไม่ได้เรียงตามลำดับเวลา

 

(เอกสารชิ้นที่ 1)

ด่วน

ที่ ว.๗๑๐๑/๒๔๘๔                                                                                                              กรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรี

                                                                                ๘ กันยายน ๒๔๘๔

เรื่อง ให้ปรับปรุงระเบียบการต่างๆ

จาก เลขาธิการคณะรัฐมนตรี

ถึง นายกรัฐมนตรี ในตำแหน่งบังคับบัญชาสำนักพระราชวัง

                ด้วยคณะรัฐมนตรีได้ประชุมปรึกษาลงมติให้สำนักพระราชวังพิจารณาปรับปรุงระเบียบการต่างๆ เกี่ยวกับงานพระราชพิธี งานเฝ้า การเลี้ยง ฯลฯ โดยให้อนุโลมปฏิบัติอย่างเดียวกับใน Court ของอังกฤษให้มากที่สุดเท่าจะทำได้ แล้วให้ส่งมายังกรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาให้ทันใช้ในวันเฉลิมพระชนม์พรรษาปีนี้

                จึ่งเรียนมาเพื่อดำเนินการต่อไป.

                                                                                ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง

                                                                                            ทวี [ลายมือชื่อ]

                                                                                               ๘ ก.ย. ๘๔

                                                                                         (นายทวี บุณยเกตุ)

 

 

(เอกสารชิ้นที่ 2)

สำเนารายงานประชุมคณะรัฐมนตรี

ครั้งที่ ๑๓/๒๔๘๑

วันจันทร์ ที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๘๑

ฯลฯ                                                        ฯลฯ                                                                        ฯลฯ

เรื่องจร

                ๑๘. เรื่องงานปีใหม่ (เนื่องจากรายงานประชุมครั้งที่ ๔/๒๔๘๑ ตอนที่ ๒ ข้อ ๔๒)

                นายนาวาอากาศเอก พระเวชยันตรังสฤษฏ์ .- ตามที่คณะรัฐมนตรีได้ลงมติให้มอบหมายงานรื่นเริงปีใหม่ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าหน้าที่ ส่วนการจะแบ่งหรือโอนให้จังหวัดหรือเทศบาลเพียงใดนั้น ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาดำเนินการต่อไป บัดนี้ได้ประชุมผู้แทนกระทรวงต่างๆ ไปแล้ว สำหรับหน้าที่กระทรวงเกษตราธิการได้พิจารณาแล้วเห็นว่า พิธีแรกนาขวัญหากจะงด จะทำแต่เพียงแจกพันธ์ข้าว

                หลวงประดิษฐมนูธรรม .- พิธีแรกนาควรทำไปตามเดิมก่อน เพราะจะเกี่ยวกับขวัญของประชาชน

                นายพันตรี หลวงเชวงศักดิ์สงคราม .- เรื่องแรกนานั้น เดิมก็พิจารณากันว่าจะเลิก เพราะกระทรวงเกษตราธิการเป็นเจ้าหน้าที่อ้างว่า เป็นเจ้าหน้าที่ทางวิทยาศาสตร์ เหตุไรจะให้มาทำพิธีไสยศาสตร์ เมื่อโอนงานแรกนาให้รวมกับงานปีใหม่ ข้าหลวงประจำจังหวัดก็ต้องไปทำพิธีไสยศาสตร์ บัดนี้จะโอนงานปีใหม่ให้เทศบาล จะให้เทศบาลไปทำพิธีไสยศาสตร์อย่างไรได้

                นายนาวาเอก หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ .- การแรกนาเวลานี้จะเอาขวัญอะไรไม่ได้แล้ว เพราะเราทำพิธีเดือนห้า ซึ่งเป็นการแผลงอยู่แล้ว ถ้าจะทำพิธีแรกนาให้ถูกต้อง ก็ต้องทำในเดือนพฤษภาคม และจะใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์อย่างไรก็ได้

                นายพันเอก หลวงพิบูลสงคราม .- พิธีแรกนาแสดงว่าจะเริ่มทำนา รัฐบาลควรแจกพันธ์ข้าวให้แก่ราษฎร ส่วนพิธีไสยศาสตร์ เช่น มีพระยาแรกนาสรวมชะฎานั้นควรเลิกเสียได้

                หลวงวิจิตรวาทการ .- พิธีแรกนาแต่เดิม พระมหากษัตริย์ทรงกระทำด้วยพระองค์ เป็นการแสดงว่าสยามเราการทำนาเป็นสำคัญ และเพื่อให้ชาวนาเห็นความสำคัญแห่งการทำนา พระมหากษัตริย์ไปทรงไถนา ประเพณีนี้เป็นของไทย ถ้าเลิกเสียทีเดียวก็เป็นของน่าเสียดาย ส่วนวิธีการจะลดให้น้อยลงก็ได้ เช่น เลิกการใส่ชะฎา

                นายพันเอก หลวงพิบูลสงคราม .- การที่เราร่นมาทำการแรกนาในเดือนเมษายนนั้น เพราะดินฟ้าอากาศไม่คงที่ประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งการที่เราจะรอไปทำในเดือนพฤษภาคม เผอิญมีฝนตกมาก่อน ราษฎรก็ไม่ลงมือทำนากัน เราจึงเริ่มทำเสียก่อนแต่ต้นปี

                นายพันเอก หลวงสฤษยุทธศิลป์ .- เจ้าหน้าที่ส่วนมากยืนยันว่า ให้มีการแรกนา ข้าพเจ้าก็เลยตกลงไปว่า ให้มีแต่การทำพิธีเพียงเล็กน้อย ส่วนใหญ่เป็นการแสดงเผยแพร่ให้ราษฎรได้รับความรู้ สำหรับการแจกพันธ์ข้าวนั้น ในพระนครไม่ได้ประโยชน์ เพราะผู้ที่มารับแจกไม่ใช่ชาวนา ฉะนั้น จะคงให้แจกต่อไปหรือไม่

                นายนาวาเอก หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ .- ควรแจกต่อไปพอเป็นพิธี

                หลวงเดชสหกรณ์ .- ถ้าแจกพันธ์ผักเป็นประโยชน์ดี

                หลวงวิจิตรวาทการ .- สำหรับพิธีแรกนานั้นขอรับไปตรวจเรื่องเดิมก่อน

                ที่ประชุมตกลงว่าพิธีแรกนานั้นไม่เลิก แต่ให้ทำให้ผลทั้งทางวิทยาศาสตร์ และทางขวัญของประชาชน สำหรับการทำพิธีเพียงใดนั้น ให้กระทรวงเกษตราธิการติดต่อกับหลวงวิจิตรวาทการด้วย.

                นายนาวาอากาศเอก พระเวชยันตรังสฤษฎ์ .- ในการทำพิธีแรกนากับการแสดงพืชและสัตว์นี้ สำหรับจังหวัดพระนครจะต้องใช้เงินอีกมาก เงินรายได้สลากกินแบ่งจะให้ได้ก็เพียง ๖๐๐ บาท จะต้องหาเงินมาเพิ่มอีก ๑๑,๐๐๐ บาท

                หลวงเดชสหกรณ์ .- เงินค่าใช้สอยของกระทรวงเกษตราธิการมีเหลือพอโอนมาใช้ได้ แต่จำนวนเงินที่ขอเพิ่มนี้ถ้าเห็นว่ามากไปก็ตัดลงได้บ้าง

                หลวงประดิษฐมนูธรรม .- ถ้าเงินค่าใช้จ่ายไม่พอจะโอนค่าใช้สอยมาก็ไม่ขัดข้อง

                นายนาวาอากาศเอก พระเวชยันตรังสฤษฎ์ .- ขอโอนสัก ๑๐,๐๐๐ บาทก็พอ

                หลวงประดิษฐมนูธรรม .- งานควรให้มี ๓ วัน

                นายพันเอก หลวงเสรีเริงฤทธิ์ .- งานนี้ควรจัดให้มโหฬาร มีการแจกพันธ์ข้าวด้วย

                นายนาวาเอก หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ .- เห็นด้วยว่าฉะเพาะส่วนกลางควรมีงาน ๓ วัน ส่วนทางภูมิภาคแล้วแต่เจ้าหน้าที่จะพิจารณาดำเนินการตามที่เห็นสมควร

                ที่ประชุมตกลงเห็นชอบด้วยในการที่จะจัดให้มีงานนี้ ๓ วัน และอนุมัติให้กระทรวงเกษตราธิการโอนเงินค่าใช้สอยมาใช้ในการนี้ได้ ๑๐,๐๐๐ บาท.

 

 

(เอกสารชิ้นที่ 3)

รายงานประชุมคณะรัฐมนตรี

ครั้งที่ ๒/๒๔๘๒

วันเสาร์ที่ ๘ เมษายน ๒๔๘๒

                ๔๒. เรื่องทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ไปตกอยู่ในมือคนอื่น

                นายนาวาอากาศเอก หลวงกาจสงคราม : ด้วยตามที่คณะรัฐมนตรีได้ลงมติให้กระทรวงการคลังดำเนินการรับมอบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์จากสำนักพระราชวังนั้น กระทรวงการคลังได้ตั้งกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง ซึ่งมีข้าพเจ้าเป็นประธานกรรมการ บัดนี้คณะกรรมการได้ตรวจพบหลักฐานว่ามีทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ตกอยู่ในมือคนอื่นโดยมิชอบ ฉะนั้นจึ่งขอเสนอคณะรัฐมนตรีว่าจะควรดำเนินการต่อไปประการใด และขออนุมัติให้นายพันตรี ขุนนิรันดรชัย กรรมการผู้หนึ่งเข้ามาชี้แจงเพื่อประกอบการพิจารณา

                ที่ประชุมตกลงอนุมัติ

                นายพันตรี ขุนนิรันดรชัย เข้ามาในที่ประชุม

                ขุนสมาหารหิตะคดี : ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นกรรมการรับมอบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ผู้หนึ่ง ขอชี้แจงเรื่องเท่าที่ได้ทราบไว้ด้วย คือ เมื่อครั้งรัชชกาลที่ ๕ ทรงได้รับคำแนะนำจากที่ปรึกษาราชการคลังให้ทรงนำเงินไปฝากไว้ในยุโรป ๒ แสนปอนด์ ต่อมาเงินรายนี้แยกไปฝากไว้ที่อเมริกา ๑ แสนปอนด์ คงฝากอยู่ที่อังกฤษ ๑ แสนปอนด์ คณะกรรมการฯ ได้เชิญพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุลจักรพงศ์มาสอบถาม พระองค์เจ้าจุลจักรพงศ์ ทรงรับว่าเงินรายนี้มีจริง เงินที่รัชชกาลที่ ๕ ฝากไว้นั้นฝากไว้ในนาม King of Siam

                นายนาวาอากาศเอก หลวงกาจสงคราม : ปัญหามีว่าทรัพย์ที่ฝากไว้นี้เป็นทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ หรือทรัพย์สินส่วนพระองค์ เพราะเดิมปนกันอยู่ เราเพิ่งมาแยก เมื่อรัชชกาลที่ ๖ มีการเก็บภาษีมฤดก ได้มีประกาศฉะบับหนึ่งว่าทรัพย์สินที่อยู่นอกราชอาณาจักร์เป็นทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ และเมื่อมาถึงรัชชกาลที่ ๗ ก็ทรงสนับสนุนว่าทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ไม่ควรฟุ่มเฟือย ส่วนหนึ่งเอาไปใช้ อีกส่วนหนึ่งขึ้นบัญชี ๒ ไว้ไม่ให้จ่าย ทรัพย์รายที่ว่านี้จึ่งควรเป็นทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ ต่อมาเมื่อเปลี่ยนการปกครองแล้วรัชชกาลที่ ๗ ได้ทรงเปลี่ยนนามเจ้าของเงินฝากรายนี้เป็น King Prajadhipok

                นายพันตรี ขุนนิรันดรชัย : เมื่อ ร.ศ. ๑๑๙ ในรัชชกาลที่ ๕ ที่ปรึกษาราชการคลังให้ความเห็นว่ามีเงินในพระคลังข้างที่ ๒๐ ล้านบาทเศษ ควรจัดหาผลประโยชน์ แม้สยามจะถูกย่ำยี กษัตริย์ก็จะไม่ทรงเดือดร้อน และเห็นว่าที่ดินฝั่งตะวันตกเจริญต่อไปคงมีสะพานข้าม ควรซื้อที่ดินรายนี้ไว้ รัชชกาลที่ ๕ จึ่งทรงนำเงินไปฝากธนาคารไว้เพื่อซื้อที่ดิน ในสมัยนั้นหลักฐานปรากฏว่าฝากไว้ ๒ แสนปอนด์ ในธนาคารในลอนดอน เมื่อรัชชกาลที่ ๕ สวรรคคตอังกฤษจะเก็บภาษีมฤดก รัชชกาลที่ ๖ ได้มีพระราชหัตถเลขาไปยังเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี อัครราชทูต ณ กรุงลอนดอนให้เป็นทนายความแทนรัชชกาลที่ ๖ ต่อมาเงินรายนี้เพิ่มพูลขึ้นเกินกว่า ๒ แสนปอนด์ เมื่อ ๑๑ ตุลาคม ๒๔๗๕ เจ้าพระยาศรีพิพัฒน์กราบบังคมทูลรัชชกาลที่ ๗ ให้ทรงเปลี่ยนนามผู้ฝากจาก King of Siam เป็นของสมเด็จพระปกเกล้าฯ และพระนางรำไพพรรณี เงินรายนี้ก็ไม่พบปะอีกเลย

                หลวงประดิษฐมนูธรรม : เงินรายนี้เป็นทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ ก่อนออกพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ อำนาจของพระมหากษัตริย์จะสั่งเปลี่ยนบัญชีได้เพียงใด เราจะมีอำนาจเรียกเงินรายนี้ได้เพียงอย่างไร ควรให้อธิบดีกรมอัยยการปรึกษาหารือกับหลวงกาจสงคราม ประธานกรรมการรับมอบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์

                หลวงกาจสงคราม : ยังมีแหวนฝังเพ็ชร์ดำอีกที่สมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงเอาไป

                นายพันตรี ขุนนิรันดรชัย : เรื่องแหวนนี้ได้เชิญเจ้าพระยารามราฆพมาสอบถามได้ความว่า เมื่อรัชชกาลที่ ๖ สวรรคคตสมเด็จพระปกเกล้าฯ ได้เรียกแหวนฝังเพ็ชร์สีดำจากเจ้าพระยารามราฆพไป นอกจากนี้ยังมีแหวนอื่นอีก ๓ วงที่เจ้าพระยารามราฆพถวายไปพร้อมกัน พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา ก็รับสั่งว่าทรงเคยเห็นสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงแหวนเพ็ชร์ดำอยู่

                ที่ประชุมตกลงให้ส่งเรื่องเงินและสิ่งของอันเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ซึ่งตกไปอยู่ในมือคนอื่นโดยมิชอบนี้ให้คณะกรรมการรับมอบทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์พิจารณาต่อไป โดยให้เชิญอธิบดีกรมอัยการมาร่วมในการพิจารณาด้วย

                นายพันตรี ขุนนิรันดรชัย ออกจากที่ประชุม

 

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กลุ่มนักเขียนแสงสำนึก แถลงทุกฝ่ายควรเคารพสิทธิในการแสดงออก

$
0
0
 
24 มิ.ย. 56 - คณะนักเขียนแสงสำนึก ได้ออกแถลงการณ์ในวาระครบรอบ 81 ปีการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่นำโดยคณะราษฎร ชี้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเป็นเรื่องสำคัญในการขับเคลื่อนประชาธิปไตย วอนทุกฝ่ายเคารพการแสดงออกของฝ่ายต่างๆ แม้จะไม่เห็นด้วย ระบุไม่เห็นด้วยกับการแสดงออกของกลุ่มแดงเชียงใหม่ที่ใช้ความรุนแรงต่อกลุ่มหน้ากากขาว เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. ที่ผ่านมา
 
0000
 
แถลงการณ์แสงสำนึกฉบับที่ ๓
วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๖
 
ในโอกาสครบรอบ ๘๑ ปีของการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่นำโดยคณะราษฎร ที่มุ่งหวังให้ “อำนาจสูงสุดเป็นของราษฎรทั้งหลาย” คณะนักเขียนแสงสำนึกต้องการเป็นส่วนหนึ่งเพื่อร่วมภารกิจการทำงานความคิดขับเคลื่อนประชาธิปไตย เพื่อให้เกิดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่างแท้จริง  เราเชื่อว่าตราบใดที่คนไทยยังไม่มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ตราบนั้นประเทศไทยก็จะไม่มีความเป็นประชาธิปไตย  
 
แม้ว่าเราจะไม่เห็นด้วยกับการเรียกร้องที่ทำลายความเป็นประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นการขอนายกพระราชทาน หรือการเรียกร้องให้กองทัพก่อรัฐประหาร แม้ว่าเราจะเห็นว่าความคิดที่กล่าวมานี้เป็นสิ่งโง่เขลาและน่าอดสูเป็นอย่างยิ่ง แต่เรายืนยันว่าคนไทยทุกคนมีสิทธิ เสรีภาพในการแสดงออกและแสดงความคิดเห็น โดยเฉพาะความคิดเห็นทางการเมือง ไม่ว่าความเห็นเหล่านั้นจะอัปลักษณ์เพียงใด เราไม่เห็นด้วยกับการปิดกั้นการแสดงออกและแสดงความคิดเห็นโดยสันติ ไม่ว่าจะเป็นการปิดกั้นโดยรัฐหรือประชาชน เราไม่เห็นด้วยกับการกระทำของคนเสื้อแดงกลุ่มหนึ่งที่จังหวัดเชียงใหม่ในการใช้ความรุนแรงต่อผู้ที่มีความคิดเห็นต่างกันเมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายนที่ผ่านมา 
 
และเราไม่เห็นด้วยกับการขัดขวางปิดกั้นการแสดงออกและแสดงความคิดเห็นที่กระทำโดยสันติ ไม่ว่ากรณีใดทั้งสิ้น เรายืนยันว่าการกระทำที่ใช้ความรุนแรงโดยอ้างนามของประชาชนเพื่อปิดกั้นการแสดงออกของประชาชนนั้น เป็นภัยคุกคามต่อสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคของประชาชนที่ยอมรับไม่ได้
                
ฝ่ายที่อ้างตัวว่าเป็นประชาธิปไตยต้องมีความเคารพในสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคของประชาชนซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานโดยไม่มีข้ออ้างใด ๆ การกล่าวอ้างตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตยโดยยอมรับกฎหมายอาญามาตรา 112 อย่างไม่เป็นธรรมและบั่นทอนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอันเป็นหัวใจสำคัญของระบอบประชาธิปไตย นั้นคือการกระทำที่ปฏิเสธตัวเอง จำเป็นที่จะต้องตระหนักว่าการฟ้องร้องกล่าวโทษบุคคลใดก็ตามด้วยกฎหมายนี้ คือการกระทำที่หักหลังความเป็นประชาธิปไตย และเป็นความอัปยศของคนที่กล่าวอ้างหลักประชาธิปไตย
 
หากเกลียดตัวก็จงอย่ากินไข่ เรียกร้องประชาธิปไตยก็ต้องเคารพในสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นฝักฝ่ายทางการเมืองใด เชื้อชาติใด สัญชาติใด หรือศาสนาใด ในเมื่อเรียกร้องกล่าวอ้างประชาธิปไตยก็ย่อมต้องไม่ส่งเสริมกฎหมายที่ขัดกับหลักประชาธิปไตย ไม่มีข้ออ้างใด ๆ ทั้งสิ้นนอกจากความไม่ละอายแก่ใจสำหรับผู้ที่กล่าวอ้างประชาธิปไตย หากแต่ยังฟ้องร้องกล่าวโทษบุคคลอื่นด้วยกฎหมายอาญามาตรา 112
 
คณะนักเขียนแสงสำนึกหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนทางการได้มาซึ่งสิทธิ เสรีภาพและความเท่าเทียม รวมไปถึงการเคารพความเห็นต่างของคนไทย จะเกิดขึ้นแก่สำนึกของ “ราษฎรทั้งหลาย” อย่างแท้จริง สมดังเจตนารมณ์ของคณะราษฎร ที่ได้ทวงคืนสิทธิในฐานะพลเมืองที่เท่าเทียมกันแก่ประชาชนชาวไทยตั้งแต่เมื่อ 81 ปีมาแล้ว 
 
คณะนักเขียนแสงสำนึก
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เพจ "V for Thailand"จวก "ระบอบทักษิณ"สั่งโจรปล้นเซเว่น

$
0
0

กรณีปล้นเซเว่นที่ดอนเมือง ล่าสุดเพจศูนย์กลางหน้ากากกายฟอว์กส์ "V for Thailand"จวกเป็นยุทธวิธีชั่วร้ายของ "ระบอบทักษิณ"ให้โจรสวมหน้ากากปล้นเซเว่น พร้อมเตือน "ชาว V"ต้องรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมรัฐบาล ขณะเดียวกันได้นัดหมายสมาชิกเปลี่ยนรูปประจำตัวเฟซบุ๊คเป็นรูป "หน้ากากขาวมาตรฐาน"พร้อมกันคืนนี้

 

ที่มาของภาพ: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

จากกรณีที่มีผู้สวมหน้ากากกายฟอว์กส์ 2 ราย บุกปล้นร้านเซเว่น-อีเลฟเว่น ย่านดอนเมืองเมื่อเช้ามืดวันนี้นั้น ล่าสุดเพจ V for Thailandได้โพสต์สเตตัสระบุว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการดิสเตรดิตของระบอบทักษิณ

"ความยิ่งใหญ่ของชาว V นับวันจะเป็นที่รับรู้ในวงกว้างและขยายตัวไปเรื่อยๆ จนรัฐบาลต้องหาทางสกัดกั้นทุกวิถีทาง ล่าสุด ยุทธวิธีการชั่วร้ายของระบอบทักษิณ และเหล่านักโกงเมือง ที่จะดิสเครดิตของหน้ากากขาวได้บังเกิดขึ้นแล้ว โดยใช้วิธีการให้โจรสวมหน้ากาก แล้วปล้นสะดวกซื้อ ย่านดอนเมือง เมื่อคืนที่ผ่านมา

วิธีแบบนี้ พวกเสื้อแดง และขี้ข้านักโกงเมืองถนัดที่สุด พวกเราชาวV ต้องรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของรัฐบาลให้ทัน"

นอกจากนี้ เพจ V for Thailandได้นัดหมายให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตให้เปลี่ยนรูป profile ประจำตัวในเฟซบุ๊ค เป็นรูปหน้ากากขาวในเวลา 21.00 น. คืนนี้ด้วย โดยประกาศว่า "ประกาศรวมพลชาว V คืนนี้ เตรียมตัวรับภารกิจสำคัญ เวลา 21.00 น.ภารกิจสำคัญ ขอให้เพื่อนๆ เตรียมตัวเปลี่ยน profile picture เป็นหน้ากากขาวมาตรฐาน (หน้ากากขาวหน้าตรง) เพื่อความพร้อมเพรียงในการจัดกิจกรรม"

อนึ่งก่อนหน้านี้เมื่อเวลา 03.10 น. ของวันที่ 24 มิ.ย. หนังสือพิมพ์ข่าวสดรายงานว่า ตำรวจ สน.ดอนเมือง ได้รับแจ้งเหตุคนร้ายเป็นชาย 2 คน รูปร่างผอม สูงไม่เกิน 170 ซม. สวมหน้ากากกายฟอว์กส์ ใช้อาวุธปืนบุกเข้าชิงทรัพย์ร้านเซเว่น-อีเลฟเว่น ย่านถนนเทิดราชัน แขวงสีกัน เขตดอนเมือง โดยได้เงินสดในลิ้นชักไป 1,600 บาท เหล้าแบล็คเลเบิ้ล 2 ขวด ราคาประมาณ 2,800 บาท จากนั้นวิ่งขึ้นรถจักรยานยนต์ที่จอดไว้หน้าร้านหลบหนีไป

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ถ้อยคำรำลึก 81 ปี อภิวิฒน์สยาม 24 มิถุนา 2475 ณ หมุดคณะราษฎร

$
0
0

 

ย่ำรุ่ง 24 มิ.ย.56 ที่บริเวณหมุดคณะราษฎร ลานพระบรมรูปทรงม้า กลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย และประชาชน ประมาณ 50 คน จัดกิจกรรมรำลึก 81 ปี การเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยมีการอ่านประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1 การจุดเทียนวางดอกไม้ การปล่อยลูกโป่งที่มีข้อความเรียกร้องการปล่อยนักโทษการเมืองและยกเลิกกฎหมายหมิ่นประมาทกษัตริย์ ม.112 รวมทั้งการกล่าวรำลึก

หัวใจของระบอบประชาธิปไตยส่วนหนึ่งคือรัฐสภา

ไม้หนึ่ง ก.กุนที กวีคนเสื้อแดง กล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่เราควรถอดบทเรียนก็คือคณะผู้อภิวัฒน์สยามที่กระทำการสำเร็จในวันนั้นประกอบด้วยกลุ่มบุคคลทั้งที่เป็นพลเรือนและทหาร และประกอบด้วยกลุ่มหมายความคิด ดังนั้นการรวมตัวของผู้ที่อยู่ในฝ่ายประชาธิปไตยในปัจจุบันจึงจำเป็นที่จะต้องประสานกลุ่มบุคคลหลากหลายความคิด แต่มีเจตนารมณ์ร่วมที่ต้องการพิทักษ์ระบอบประชาธิปไตย หัวใจของระบอบประชาธิปไตยส่วนหนึ่งคือรัฐสภา อยากให้ประชาชนให้ความสำคัญกับรัฐสภา เนื่องจากขณะนี้มีผู้ที่ออกมาต่อต้านรัฐบาลที่มาจากเสียงส่วนใหญ่ จึงขอเรียกร้องให้ร่วมกันพิทักษ์ระบอบประชาธิปไตยและระบอบรัฐสภา รวมทั้งรัฐบาลที่มาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน

“บางคนสร้างยุทธศาสตร์ ‘ราษฎรไม่พร้อม’

คุณต้านยันไม่ยอมให้เราก้าวหน้า

ท้องพระคลังถมทวีทรัพยา

แต่ในบ้านชาวนาไม่มีเงิน

81 ปี ของประชาธิปไตย

เป็นตะกั่วเคลือบกะไหล่ทองผิวเผิน

ตกแต่งด้วยองค์กรกลุ่มส่วนเกิน

ปฏิปักษ์เผชิญหน้าประชาชน

ทั้งแผ่นดินระเหยกลิ่นไอกบฏ

แพร่ความคิดเคี้ยวคดเคลื่อนสับสน

แผ่แผงปีกบังแสงอาทิตย์หม่น

ทั่วประเทศคลื่นเหียนสาบขนครุฑ”

ไม้หนึ่ง ก.กุนที อ่าน บทกวี 81 ปี อภิวัฒน์สยาม

จอมพลสฤษดิ์ ยกเลิกวันชาติ 24 มิถุนา

รศ.ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวถึงความสำคัญของวันนี้ด้วยว่าคณะราษฎรได้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญเพื่อความสุขสมบูรณ์ของประชาชน ถ้าไม่มีคณะราษฎรต่อสู้นำวิถีก็ยังไม่แน่ใจว่าประเทศไทยจะพัฒนาไปเป็นอย่างไร อย่างน้อยที่สุดประชาธิปไตยที่มาถึงทุกวันนี้แม้จะล้มลุกคุกคลานบ้าง แม้จะมีอุปสรรค์แต่ก็ได้เริ่มต้นแล้วโดยคณะราษฎรที่เป็นผู้บุกเบิกนำทาง

สำหรับประเด็นเรื่องการเรียกร้องให้วันที่ 24 มิ.ย. เป็นวันชาตินั้น รศ.ดร.สุธาชัย กล่าวว่า ราวปี 2482 รัฐบาลคณะราษฎรได้ประกาศให้วันนี้เป็นวันชาติของประเทศไทย จึงมีฐานะเป็นวันชาติอยู่ราว 21 ปี ต่อมา จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ยกเลิก

หมุดคณะราษฎรสัญลักษณ์ความเท่าเทียม

จิตรา คชเดช นักสหภาพแรงงาน ที่ปรึกษาสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ฯ ซึ่งมาร่วมกิจกรรมกล่าวถึงความสำคัญในวันนี้ด้วยว่า “เนื่องจากเป็นวันที่เปลี่ยนแปลงการปกครองให้เป็นประชาธิปไตย ทำให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง เป็นวันที่ประชาชนต้องเข้าร่วมรำลึกและเฉลิมฉลอง ไม่ใช่วันของบุคคล แต่เป็นวันของประชาชนหรือจะเรียกว่า “วันชาติ” อย่างแท้จริงก็ได้ การเข้าร่วมรำลึกเป็นเพราะไม่อยากให้คนรุ่นหลังหรือคนร่วมสมัยกับพวกเราลืมวันนี้ ที่ผ่านมารัฐเองก็ไม่ส่งเสริมให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้ ทำให้เหตุการณ์นี้ถูกลืมเลือน วันสำคัญที่เกี่ยวข้องกับประชาชนที่แท้จริงต้องได้รับการจดจำ เราต้องทำให้สังคมได้รู้ว่ามันมีวันที่สำคัญต่อประชาชนทั้งหมด มากกว่าที่จะจดจำวันที่เกี่ยวข้องกับบุคคล”

จิตรา กล่าวถึงความสำคัญของหมุดคณะราษฎรซึ่งเป็นจุดที่ทำกิจกรรมว่า เป็นสัญลักษณ์ที่เล็กมากและมองมาแต่ไกลไม่เห็น ไม่โดดเด่นหรือต้องแหงนมอง แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนต้องเท่ากันทุกคน

ผู้ประสานงานกลุ่ม 24 มิถุนาฯ เสนอแก้ รธน.50 รายมาตราง่ายกว่า

สุวรรณา ตาลเหล็ก ผู้ประสานงานกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย ซึ่งจัดกิจรรมรำลึกเหตุการณ์นี้เป็นประจำกล่าวถึงความสำคัญของเหตุการณ์นี้ว่า วันนี้เป็นวันที่ก่อกำเนิดหลายอย่าง เช่น วันชาติ ซึ่งทางกลุ่มเคยจัดทวงคืนวันชาติมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่กลับไม่เป็นที่สนใจ รวมไปถึงเรื่องของหลักประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นจากการได้รัฐธรรมนูญ

ผู้ประสานงานกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย ยังเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 50 ด้วย เนื่องจากมีที่มาและกระบวนการได้มาโดยไม่ชอบธรรม แม้มีการอ้างเรื่องการลงประชามติ แต่ก็เป็นการลงประชามติภายใต้บรรยากาศความกลัว การประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงต่างๆ รวมถึงกระแสให้รับก่อนเพื่อให้มีการเลือกตั้งแล้วแก้รัฐธรรมนูญภายหลัง ทั้งนี้ สุวรรณา เห็นว่าการแก้รัฐธรรมนูญทีเดียวทั้งฉบับอาจถูกแรงต้านเยอะ จึงมองว่าควรแก้รายมาตราไปก่อนจะง่ายกว่า 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 20494 articles
Browse latest View live