Quantcast
Channel: ข่าว
Viewing all articles
Browse latest Browse all 20494

นิธิ เอียวศรีวงศ์: ปัญญาชนไทยกับความทันสมัย

$
0
0

 

ปฏิกิริยาของคนไทยบางพวกต่อการกดดันของ "ฝรั่ง" (สหรัฐ, อียู และออสเตรเลียเป็นสำคัญ) ในทำนองให้ตอบโต้ด้วยการเลิกใช้สินค้าฝรั่ง หรือเลยไปถึงการทำให้ความสัมพันธ์เย็นชาลง ไม่สร้างความแปลกใจอะไรให้ผม เพราะเคยชินเสียแล้วที่จะได้เห็นคนเหล่านี้วิ่งตามเส้นทางของผู้มีอำนาจ และมักวิ่งให้เลยหน้าไปหนึ่งก้าวเสมอ เพราะอยู่ข้างหน้า ท่านจะได้เห็น อยู่ข้างหลังท่านอาจไม่เหลียวไปมองก็ได้

แต่ผมตระหนกและออกจะวิตกเมื่อปัญญาชนชั้นนำบางท่าน ออกมาโจมตีฝรั่งอย่างเมามัน บางท่านในบุคคลเหล่านี้เป็นที่นับถือของผมตลอดมา (และก็ยังนับถืออยู่เหมือนเดิมแม้จนบัดนี้) ไม่ใช่ผมตระหนกที่ฝรั่งถูกโจมตี หรือวิตกว่าฝรั่งจะตกที่นั่งลำบากในเมืองไทย แต่ตระหนกและวิตกแทนคนไทยต่างหาก เพราะเราจะเอาตัวรอดต่อไปในโลกของฝรั่งได้อย่างไร หากความเข้าใจต่อฝรั่งของปัญญาชนชั้นนำตื้นเขินและหยาบเช่นนี้

ที่ผมเรียกว่าโลกของฝรั่งนั้น ที่จริงคือความทันสมัย ไม่ใช่กลุ่มชาติพันธุ์ผิวขาว ฝรั่งที่เรารู้จักในรอบร้อยกว่าปีที่ผ่านมานั้น ไม่เหมือนฝรั่งที่เข้ามาในสมัยอยุธยา เพราะฝรั่งรุ่นนี้เป็นตัวแทนของความทันสมัย (modernity) พวก "มัน"เองก็คิดว่าตัวเป็นความทันสมัย คนไทยทั้งชนชั้นนำและสามัญชนก็เข้าใจ (ไม่ว่าอย่างผิดๆ หรืออย่างถูกต้อง) ว่า"มัน"คือความทันสมัย ชนชั้นนำเลือกคบกับฝรั่งไม่ใช่เพราะความจำเป็นอย่างเดียว แต่เพราะอยากได้ความทันสมัยมาครอบครองบ้างต่างหาก (นับตั้งกำปั่นไฟ, ปืนกล, กล้องดูดาว, วิธีคำนวณดาราศาสตร์, การปกครองแบบรวมศูนย์ ฯลฯ)

แต่ความทันสมัยไม่ใช่หอดูดาว หรือเรือนก่ออิฐสองชั้น อย่างที่เราเคยรับจากฝรั่งในสมัยพระนารายณ์ โดยสรุปก็คือความทันสมัยไม่ใช่มีเพียงวัตถุ แต่มีการจัดองค์กรทางสังคม, ทางเศรษฐกิจ และทางการเมือง รวมทั้งความคิดและวิธีคิดที่เปลี่ยนไปจากเดิมด้วย ความทันสมัยเป็นเรื่องการเปลี่ยนรูปทางสังคม (Social Transformation) ไม่ใช่เรื่องวัตถุและวิธีการใหม่ๆ ที่อำนวยอำนาจ, ทรัพย์ และความสะดวกแก่มนุษย์เท่านั้น

และเพราะความทันสมัยไม่ใช่วัตถุเพียงอย่างเดียว การเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมสมัยใหม่ จึงหลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องเปลี่ยนส่วนอื่นๆ ที่เป็นนามธรรม เช่นการจัดองค์กรทางเศรษฐกิจ-สังคม, การเมือง, การถ่ายทอดและแสวงหาความรู้, ฯลฯ รวมแม้แต่ระบบคุณค่าก็ถูกกระทบไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะวัตถุกับการจัดองค์กรทางด้านต่างๆ มันแยกออกจากกันไม่ได้

พลานุภาพของปืนไฟในสงครามเกิดขึ้นได้ ก็เพราะการสร้างกำลังยิงที่หนาแน่นและต่อเนื่อง จะทำอย่างนี้ได้ก็ต้องฝึกทหาร จะฝึกทหารได้ก็ต้องมีกองทัพประจำการ จะมีกองทัพประจำการได้ก็ต้องเลิกการควบคุมประชาชนด้วยระบบไพร่ จะเลิกระบบไพร่ได้ ชนชั้นปกครองก็ต้องมีแหล่งรายได้ทางอื่น จะมีรายได้ทางอื่น สังคมก็ต้องเปลี่ยนเข้าสู่เศรษฐกิจที่ผลิตป้อนตลาด ต่อเนื่องเป็นห่วงโซ่ต่อไปอีกมาก จนกระทั่งสังคมไม่คงรูปอย่างเดิมอีกต่อไป อยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์ก็มีปืนไฟใช้ จำนวนมากเสียด้วย แต่การจัดองค์กรทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ไม่อนุญาตให้เราใช้ปืนไฟอย่างมีพลานุภาพได้ จึงได้แต่แจกให้ราชองครักษ์ถือในขบวนเสด็จ เพราะไม่ไว้ใจให้คนอื่นถือ เพราะถึงอย่างไรปืนไฟก็เป็นอาวุธร้ายแรง

นี่เป็นปัญหาใหญ่ของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยาม กล่าวคืออยากได้ความทันสมัยเฉพาะส่วนที่เป็นวัตถุ แต่ไม่อยากได้ส่วนที่เป็นนามธรรมกว่านั้น โดยเฉพาะการจัดองค์กรทางสังคม, การเมืองและเศรษฐกิจวัฒนธรรม ร.5 บอกเจ้านายและขุนนางซึ่งกราบทูลให้เปลี่ยนแปลงการปกครองว่า สยามยังไม่พร้อม การเปลี่ยนไปสู่ระบบปาลีเมนต์มีแต่จะทำให้เกิดความแตกสามัคคี ร.6 ยืนยันอย่างเดียวกัน ซ้ำยังทรงตำหนิการใช้ชีวิตของคนไทย "รุ่นใหม่"ว่าเอาอย่างฝรั่งอย่างมืดบอด (วิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่แสดงลักษณะเสมอภาคชัดเจนเกินไป เช่นในคาบาเรต์ สถานะของแขกอยู่ที่เงินในกระเป๋า ไม่ใช่กำเนิด) ร.7 ทรงตระหนักดีถึงปัญหาของสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยาม แต่ก็ทรงเห็นว่าสยามยังไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนไปสู่ระบอบปกครองแบบอื่นอยู่นั่นเอง และในที่สุดก็เกิดการอภิวัฒน์

ปัญญาชนของสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยาม ก็เหมือนปัญญาชนชั้นนำบางท่านในปัจจุบัน คืออยากมีความทันสมัย (หรืออยากเป็นฝรั่ง) ทางวัตถุเท่านั้น แต่พยายามดึงสังคมไว้มิให้เปลี่ยนผ่านไปสู่ความทันสมัยจริง และไม่ต่างกันอีกอย่างหนึ่งก็คือ ในที่สุดแล้ว ก็พากันอิงอาศัยอุดมการณ์ชาตินิยมหรือ "ความเป็นไทย"เพื่อหน่วงให้สังคมไทย "ทันสมัย"เฉพาะแต่ด้านวัตถุ

ผมพูดประหนึ่งว่าชาตินิยมกับความเป็นไทยนั้นเป็นเรื่องเดียวกัน แต่ความจริงแล้วแตกต่างกันมาก ลัทธิชาตินิยมตั้งอยู่บนสมมติฐานว่าพลเมืองทุกคนเท่าเทียมกัน เป็นเจ้าของชาติร่วมกันอย่างเสมอหน้า อิสรภาพของชาติมีความสำคัญไม่แต่เพียงเพราะ"ใครมาเป็นเจ้าเข้าครอง คงจะต้องบังคับขับไส"เท่านั้น แต่เพราะการยึดครองของข้าศึก ย่อมทำลายความเสมอภาคที่เป็นฐานของชาติไป ความรักชาติจึงจะหมายถึงอย่างอื่นไม่ได้นอกจากรักความเสมอภาคของเพื่อนร่วมชาติทุกคน

แต่ความเป็นไทยไม่ได้มีความหมายใกล้เคียงอย่างใดกับชาตินิยมเลย เพราะความเป็นไทยแทบจะประกาศอย่างเปิดเผยว่าเป็นปฏิปักษ์กับความเสมอภาค ความเป็นไทยต้องการรักษาอัตลักษณ์ไทยไว้ให้คงเดิมทุกอย่าง ทั้งส่วนที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม เช่นพื้นที่ 4.6 ต.ร.กม.บนแผนที่ หรือการนั่งพับเพียบ และความเป็นสังคมช่วงชั้นที่เคร่งครัดและค่อนจะขึงตึง ความเป็นไทยจึงเครื่องมือสำคัญในการตรึงโครงสร้างอำนาจ, โครงสร้างผลประโยชน์, โครงสร้างช่วงชั้นทางสังคม, โครงสร้างความสัมพันธ์ ฯลฯ ไว้ให้หยุดนิ่งกับที่ โดยไม่ยอมให้เปลี่ยนแปลงเลย

(ผมควรกล่าวไว้โดยไม่ต้องอ้างฝรั่งให้รำคาญใจว่า อัตลักษณ์เป็นเรื่องสมมติ ทั้งคนอื่นสมมุติให้เราและเราสมมติตัวเองและคนอื่นไปพร้อมกัน แต่อัตลักษณ์เป็นสมมติที่มีพลังกำหนดวิธีคิด วิธีปฏิบัติ และการดำเนินชีวิตของผู้คนอย่างสูง ด้วยเหตุดังนั้น อัตลักษณ์จึงมักถูกสร้างขึ้นเป็นอุดมคติ เพื่อการจัดสรรอำนาจ, โภคทรัพย์ และเกียรติยศในทุกสังคม รวมทั้งสังคมไทย)

ผ่านมาเกินศตวรรษแล้ว ปัญญาชนไทยจำนวนหนึ่งก็ยังง่วนกับการรักษาความเป็นไทยเพื่อต่อต้านความทันสมัย เหมือนกับปัญญาชนเมื่อร้อยปีที่แล้ว

ทั้งนี้ผมไม่ได้หมายความว่า ไม่มีอะไรดีๆ ในอุดมคติความเป็นไทยเอาเสียเลย แต่ต้องเข้าใจด้วยว่า สิ่งที่เราเห็นว่า "ดี"นั้นมีอยู่สองอย่าง หนึ่งคือ "ดี"โดยมีเงื่อนไข เช่นเหมาะกับกาลสมัยหรือความเป็นจริงของสังคมสมัยหนึ่งหรือสถานการณ์หนึ่งๆ กับสองคือ "ดี"อย่างอกาลิโก ดีมาตั้งแต่โบราณและยังดีอยู่แม้ในปัจจุบัน (ในฐานะลูกเจ๊ก ก็ขอยกตัวอย่างเช่นความกตัญญูเป็นต้น)

แต่อย่าลืมสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนนะครับว่า อะไรดีหรืออะไรชั่วนั้น เกิดจากการปรุงแต่งของกิเลสเราเอง จึงไม่มีอะไรดีอย่างเดียวหรืออะไรชั่วอย่างเดียว เพราะดีชั่วล้วนเป็นสังขตธรรม คือเป็นความจริงที่มีเงื่อนไข ดังนั้น จะสืบทอดสิ่งดีๆ เหล่านั้นให้เป็นทางเลือกของสังคมไทยต่อไป จึงต้องคำนึงถึงเงื่อนไขต่างๆ ของสังคม "ทันสมัย"ที่เปลี่ยนไปแล้ว หนึ่งในวิธีที่จะทำอย่างนั้นได้ คือไม่ฟูมฟายกับอะไรที่ถือว่าเป็น"ไทยๆ"แต่ต้องศึกษาจนจับหัวใจของมันได้ คือจับได้ว่าในเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ, สังคม, การเมืองอะไร ที่ทำให้สิ่งนั้นมันดีหรืองดงามหรือเหมาะสม และหนึ่งในปัญญาชนชั้นนำที่ออกมาด่าฝรั่งในตอนนี้ ก็ได้สร้างคุณูปการอย่างใหญ่หลวงในงานวิชาการของท่านไว้แล้ว ด้วยการชี้ให้เห็นเงื่อนไขอันสลับซับซ้อนเบื้องหลังระบบคุณค่าแบบไทยๆ

ผมไม่คิดว่า การเปลี่ยนผ่านทางสังคมเข้าสู่ความ "ทันสมัย"เป็นความดีในตัวเอง ก็เหมือนสังคมประเภทอื่นๆ สังคม "ทันสมัย"ก็มีการเอารัดเอาเปรียบกันระหว่างคนในสังคมเดียวกัน และคนต่างสังคม หรือระหว่างชาติเหมือนกัน (ก็อย่างที่ว่าไม่มีอะไรดีอย่างเดียวหรือเสียอย่างเดียวตามคำสอนของพระพุทธเจ้าไงครับ) เมื่อเราเปลี่ยนเข้าสู่สังคมเกษตรกรรมในสมัยหินใหม่ คนที่หาเลี้ยงชีพด้วยการล่าสัตว์และเก็บของป่าก็เสียเปรียบ จำนวนมากของพวกเขาไม่ต้องการทำเกษตร เพราะชีวิตแบบเดิมทำงานน้อยกว่าและอิ่มกว่า (นักมานุษยวิทยาพิสูจน์เรื่องนี้มาหลายกรณีแล้ว) แต่เงื่อนไขทางการเมือง, สังคม และวัฒนธรรมไม่เอื้ออำนวยให้ล่าสัตว์และเก็บของป่าเป็นหลักอีกต่อไป ในที่สุดจำนวนมากก็ต้องหยุดเคลื่อนย้าย ตั้งภูมิลำเนาถาวรเพื่อปลูกธัญพืช สะดวกแก่รัฐซึ่งมีอำนาจมากขึ้นสามารถเก็บส่วยได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย

ความ "ทันสมัย"ทำให้คนไปมาหาสู่ถึงกันได้กว้างขึ้นไกลขึ้น ในเวลาอันสั้นลงด้วย โอกาสนี้ถูกใช้ไปทั้งในทางดีและไม่ดี เช่นจะเอาเปรียบกันก็เอาเปรียบได้กว้างไกลกว่าเก่ามาก (และลึกลงไปกว่าเก่ามากด้วย) ครอบงำกันก็ง่ายขึ้น จะขุดโคตรอเมริกัน อังกฤษ ฝรั่งเศส หรือออสซี่มาด่าอย่างไรก็ได้ ล้วนเป็นเรื่องจริงทั้งนั้น แต่เราจะหลุดรอดจากการเอารัดเอาเปรียบและการครอบงำจากเขาอย่างไร เอาแต่ด่าแบบถูลู่ถูกังไปแบบนี้ไม่ช่วยอะไร

ผมคิดว่าเราจำเป็นต้องเข้าใจความ "ทันสมัย"ให้ลึกและรอบด้านกว่านี้มากนัก ในขณะที่ต้องสำนึกถึงความบกพร่องของความ "ทันสมัย"ก็ต้องสำนึกถึงพลังใหม่ๆ ที่ความ "ทันสมัย"มอบให้เราด้วย จะใช้ประโยชน์จากความรู้เหล่านี้อย่างไร สิ่งที่ต้องเสียก็ต้องเสีย (เช่นค่าลิขสิทธิ์และสิทธิบัตร) แต่จะเสียอย่างไรให้คุ้มค่าเป็นเรื่องสำคัญกว่า ในขณะเดียวกันก็อย่าลืมพลังใหม่ๆ ที่ความ "ทันสมัย"มอบให้ด้วย เช่น ประชาธิปไตย เพราะมันเป็นกลวิธีที่สามารถระดมพลังกายและพลังสมองของพลเมืองทุกคนได้อย่างทั่วถึง

ระหว่างประชาธิปไตยกับความเป็นช่วงชั้นที่แข็งโป๊กของไทย ต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเลือกอย่างใดก็มีคนได้กับคนเสียทั้งนั้น ด้วยเหตุดังนั้น วิธีการเลือกจึงควรเปิดให้ทุกฝ่ายสามารถเข้ามาต่อรองอย่างเท่าเทียมกัน และไม่ว่าเสียงส่วนใหญ่จะตัดสินใจอย่างไร การต่อรองอย่างเท่าเทียมยังเปิดโอกาสให้เสียงข้างน้อยได้ต่อรองกระบวนการเปลี่ยนผ่านและแม้แต่ต่อรองการชดเชยต่อความสูญเสียของพวกเขา

ด้วยเหตุดังนั้น เมื่อฝรั่งคัดค้านการทำรัฐประหารในประเทศไทย จึงมีคนเห็นด้วยกับฝรั่งอยู่ไม่น้อย ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเขาเป็น "ขี้ข้า"อเมริกัน พวกเขารู้ดีถึงพิษภัยของฝรั่งหรือความ "ทันสมัย"แต่เขาเลือกที่จะรับฝรั่งในเรื่องที่เขาเห็นว่าสำคัญแก่บ้านเมือง เขาอาจเลือกผิดได้เท่ากับที่ท่านอาจเลือกผิด แต่เราจะรู้ผิดรู้ถูกได้อย่างไร โดยไม่มีเสรีภาพที่จะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างอิสระ

ทั้งหมดที่พูดมานี้ ปัญญาชนชั้นนำที่ผมนับถือก็รู้ ซ้ำรู้ดีกว่าผมด้วยซ้ำ แต่ในฐานะปุถุชนด้วยกัน เราคงถอนอคติออกไปให้หมดไม่ได้ อย่างมากที่ทำกันด้วยความนับถือเหมือนเดิมได้ก็คือ กราบเรียนเตือนให้รู้ตัวว่านั่นคืออคติ


...............

ที่มา:มติชนออนไลน์
เผยแพร่ครั้งแรกใน: มติชนรายวัน 21 ก.ค.2557

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

Viewing all articles
Browse latest Browse all 20494

Trending Articles


ด่วน! สพป.สกลนคร เขต 1 รับสมัครลูกจ้างชั่วคราว และครูอัตราจ้าง 10 อัตรา


หลุด พลอย เฌอมาลย์ เห็นหัวนมในฉากเลิฟซีน 18+


มีคนชวนเทรดเว็บนี้ https://e-exchangemarketret.com/m/index...


คลิปซูฉีอาบน้ำ เห็นหมด รีบดูก่อนโดนลบ


Isuzu Dragon Max รถกระบะเรโทรสุดเท่!


การ SUM ข้าม Sheet Microsoft Excel


ส่องชุดสวยเผ็ชแพงของ นางฟ้าเมืองไทย น้ำ สลิล ล่ำซำ...


เด็กติดเกมในวันนั้น สู่ซุป’ตาร์ในวันนี้ “แบมแบม GOT7” สู้และอดทนเพื่อครอบครัว


แจกภาพพื้นหลัง iPhone สวยๆ (อัปเดต) หลายภาพหลายรูปแบบ


ตามหา Firmware เราท์เตอร์ Xplor re1200r4gc-2t2r-v3 (Xplor Ac1200)ของทรูครับ


ใส่สีพื้นหลังของเซลล์ Excel เปลี่ยนความจำเจของสีพื้นหลัง


ขอถามครับ การจับเวลางานมี 5 คน 3 กะ เช้า 9:00 น หา 17:00 น บ่าย 5 โมงเย็นถึง...


amp*payment bangkok ในบัตรเครดิต UOB คือะไร มีใครทราบไหมครับ


เรื่อง. Furifure 2 คือนางเอกเป็นหรี่ใช่ป่าว (เมะH)


โหลดฟรี โปรออดิชั่น เพอเฟค กดเอง ล่าสุด


หารายได้เสริมงานฝีมือ งานถักไหมพรมผลไม้ รับงานทําที่บ้าน รับซื้อพวงละ 4 บาท


หลิวซือซือคัมแบ็คซีรี่ย์จีนแนวย้อนยุค ในรอบ 5 ปี ประกบคู่หลิวอวี่หนิง!


สรุปทุกสิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ Pivot Table


การเขียนแม่ลายพุ่มข้าวบิณฑ์ 3D ด้วย Artcam (ตอนที่ 1)


ใครรู้จักบริษัท the singular group บ้างครับ...