เมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา วอยซ์ทีวีทำสิ่งที่น่าสนใจมาก กล่าวคือส่งนักข่าวออกไปยัง 5 ย่านของกรุงเทพฯ รวมทั้งสี่แยกคอกวัวด้วย เพื่อถามคนแถบนั้น 5 คน (ผมเดาเอาเองว่า คงมีหลักในการกระจายผู้ให้ข้อมูลที่ไม่ได้รายงานไว้ เช่น ถามเฉพาะคนสวมเสื้อลายดอก) ว่า เกิดอะไรขึ้นในวันที่ 10 เมษายน 2553 สาเหตุที่เกิด และความคิดของเขาเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ปรากฏว่า มีเพียง 3 ใน 25 คนเท่านั้น ที่รู้หรือยังจำได้ว่า เกิดอะไรขึ้นเมื่อสามปีที่แล้ว
ผมคิดว่า วอยซ์ทีวีน่าจะทำอย่างนั้นบ้างในเมืองใหญ่ของทุกภาค เช่น นครศรีธรรมราช, ขอนแก่น และเชียงใหม่ เพื่อเปรียบเทียบสถิติ บางทีคนกรุงเทพฯ จะเข้าใจได้ว่า คนนอกกรุงเทพฯ เป็น "ควาย"น้อยกว่า หรือเป็น "ควาย"พอๆ กัน (อันที่จริงควายเป็นสัตว์ที่ฉลาดและรอบรู้มากทีเดียว แต่สำนวนไทยใช้มาอย่างนี้เสียแล้ว)
ผู้อ่านข่าวสรุปว่า คำกล่าวที่ว่าคนไทยขี้ลืม ก็ยังคงเป็นเช่นนั้นจริง
อย่างไรก็ตาม นักจิตวิทยารู้จากการทดสอบมานานแล้วว่า ความจำและความลืมเป็นกระบวนการที่ถูกสร้างขึ้น โดยเจ้าตัวเองบ้าง, โดยคนแวดล้อมบ้าง หรือโดยสังคม-วัฒนธรรมบ้าง ไม่ใช่การทำงานของสมองโดยธรรมชาติ ไม่เชื่อลองไปถามคนกรุงเทพฯ ว่า พระนเรศวรเป็นใคร ผมเชื่อว่าสถิติจะดีกว่านี้มาก ทั้งที่พระนเรศวรเป็นเรื่องเก่าแก่บรมสมกัลป์แล้วก็ตาม
กระบวนการลืม 10 เมษายน 2553 ถูกสร้างขึ้นอย่างไร
บางคนบอกว่าสื่อเป็นผู้สร้างขึ้น ผมมานึกดูก็ไม่สู้จะเห็นด้วย 100% นัก เพราะเอาเข้าจริง สื่อ (รวมที่เรียกว่ากระแสหลักด้วย) พูดถึง 10 เมษายน 2553 อยู่บ่อยๆ เพราะต้องพูดถึงการดำเนินคดีที่ดีเอสไอทำอยู่ หรือต้องพูดถึงคำพิพากษาของศาล (เช่นกรณีผู้ที่ถูกยิงเสียชีวิตในสวนสัตว์ดุสิต) แม้แต่ในช่วงเดือนเมษาฯปีนี้ วอยซ์ทีวีเองก็ทำข่าวญาติผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์หลายครั้ง ทำให้ทางพีบีเอสต้องทำบ้าง แต่เน้นไปที่ญาติทหาร ซึ่งก็ดีที่เป็นการสร้างสมดุลของข่าว เสียแต่เป็นสมดุลกันคนละช่อง
กระบวนการลืมจึงไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยไม่มีใครยอมพูดถึงเลย แต่เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนกว่านั้นมาก
ผมอยากพูดถึงความซับซ้อนตรงนี้ เท่าที่สติปัญญาผมพอจะหยั่งได้
ผมขอเริ่มที่วัฒนธรรมไทยก่อน คนไทยเพิ่งออกจากหมู่บ้านไม่เกิน 100 ปีมานี้เอง รวมทั้งคนกรุงเทพฯ ด้วย เมื่อสิ้นรัชกาลที่ 5 กรุงเทพฯ เป็นเมืองใหญ่ก็จริง แต่ประชากรกรุงเทพฯ อาศัยอยู่ใน "ย่าน"ต่างๆ ซึ่งมีความเป็นชุมชนสูง แม้ไม่ได้ประกอบอาชีพเกษตรกรรมก็ตาม พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ กรุงเทพฯ ในตอนนั้นเป็นที่ประชุมของ "หมู่บ้าน"ต่างๆ มากที่สุด ความสัมพันธ์ของคนในแต่ละชุมชนก็ยังคล้ายกับชุมชนในชนบท
ส่วนคนไทยนอกกรุงเทพฯ ก็ล้วนมีชีวิตในชุมชนหมู่บ้านเกษตรกรรมทั้งสิ้น
วัฒนธรรมหมู่บ้านเกษตรกรรมนั่นแหละ เป็นพื้นฐานของวัฒนธรรมไทยปัจจุบัน
ความสัมพันธ์ของชีวิตชุมชนหมู่บ้านเกษตรกรรม คือความราบรื่น อย่างน้อยโดยผิวหน้า เพื่อไม่ให้เกิดความตึงเครียดในชุมชนรุนแรง จนเป็นอันตรายต่อกลไกทางวัฒนธรรมแห่งการผลิต ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าคนในหมู่บ้านไม่เหม็นขี้หน้ากัน หรือไม่ได้ต่อยตีฆ่าฟันกันเลย แต่ความขัดแย้งทั้งหลายจะถูกกดไว้หรือแก้ไขโดยไม่ให้กระทบต่อความร่วมมือที่จำเป็นในชีวิตของหมู่บ้านเกษตรกรรม
ความขัดแย้งอย่างเปิดเผยจึงเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะประสานให้กดความขัดแย้งนั้นไว้ได้ยาก เนื่องจากถูกเปิดเผยเสียแล้ว ย่อมทำให้มีราคาของ "หน้า"ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะต้องเสีย ยิ่งเป็นความขัดแย้งเปิดเผยระหว่างกลุ่มบุคคลหรือ "พวก"ไม่ใช่ระหว่างบุคคล ยิ่งเป็นอันตราย เพราะประสานให้จำกัดความขัดแย้งเพื่อไม่ให้ทำลายความร่วมมือในการผลิตและการใช้ชีวิตในหมู่บ้านทำได้ยาก หรือทำไม่ได้เลย
วัฒนธรรมไทยปัจจุบันจึงกลัวความขัดแย้งประเภทนี้ ขัดแย้งอย่างเปิดเผยแก่สาธารณชน และเป็นความขัดแย้งระหว่างองค์กรหรือกลุ่มคน อีกทั้งไม่ใช่บุคคลต่อบุคคลขัดแย้งกันเอง มีเหตุผลที่ควรกลัวความขัดแย้งประเภทนี้ เพราะวัฒนธรรมไทยปัจจุบัน ไม่ได้สร้างกลไกเพื่อรองรับความขัดแย้งประเภทนี้ขึ้น เราไม่มีวิธีจัดการ นอกจากปล่อยให้สู้กันจนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะขาด หรือมิฉะนั้นก็ "อ่าน"ความขัดแย้งประเภทนี้ให้เป็นความขัดแย้งระหว่างบุคคล เพราะมีกลไกในทางวัฒนธรรมไทยหลายอย่างที่สามารถระงับหรือบรรเทาความขัดแย้งประเภทนี้ได้ เช่น "จับเข่าคุยกัน"หรือ "เกี้ยเซี้ย"กันให้รู้แล้วรู้รอดไปเป็นต้น
วันหนึ่งเราตื่นขึ้นมาพบตัวเองในสังคมสมัยใหม่ ซึ่งความขัดแย้งอย่างเปิดเผยเป็นสาธารณะ และขัดแย้งระหว่างกลุ่มคน เป็นเรื่องปรกติธรรมดา โดยไม่มีวัฒนธรรมที่เอื้อต่อการอยู่ร่วมกันในสังคมสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งประเภทนี้เลย
วิธีเดียวที่วัฒนธรรมไทยปัจจุบันจัดการกับความขัดแย้งประเภทนี้คือ ปฏิเสธหรือปิดบังความเป็นสาธารณะของความขัดแย้ง และแม้มีกลุ่มคนจำนวนมากเข้ามาอยู่ในความขัดแย้ง เราก็ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้เป็นเพียงเครื่องมือของบุคคลที่ขัดแย้งกัน
กระบวนการลืมที่เราสร้างขึ้นให้แก่ 10 เมษายน 2553 ไม่ใช่ลืมเหตุการณ์ แต่ลืมมิติทางสังคมของความขัดแย้งต่างหาก
เราส่งทอดความสามารถในการหลับตาให้แก่ความขัดแย้งของสังคมสมัยใหม่ผ่านการศึกษา เป็นเวลานานกว่ากระทรวงศึกษาจะหาวิถีทางผนวก 14 ตุลา เข้าไปในหลักสูตรได้เจอ นั่นคือยอมรับหนังสืออ่านประกอบที่เล่าถึง 14 ตุลา จากประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียน ผมคงไม่จำเป็นต้องพูดถึงความพยายามกลบเกลื่อนความขัดแย้งประเภทนี้ในแบบเรียนของกระทรวงศึกษาไปมากกว่านี้ ขอยกข้อสอบโอเน็ตของนักเรียนชั้น ป.6 ใน พ.ศ.2553 ข้อหนึ่งให้ดูเป็นตัวอย่าง
คำถามถามว่า "การกระทำอะไรที่ไม่สอดคล้องกับกระบวนการประชาธิปไตย"คำตอบที่ให้เลือก 1/ ประท้วงด้วยการนัดหยุดงาน 2/ ใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง 3/ ยอมรับเสียงของคนส่วนใหญ่ 4/ กล่าวแสดงความเห็นทางการเมือง คำตอบที่ถูกคือข้อ 1/ การนัดหยุดงานเป็นการกระทำที่ไม่สอดคล้องกับกระบวนการประชาธิปไตย (!!!)
เห็นได้ชัดเลยว่า การนัดหยุดงานคือความขัดแย้งที่ตั้งใจทำให้เป็นสาธารณะ อีกทั้งไม่ใช่เรื่องหัวหน้าสหภาพเหม็นขี้หน้าฝ่ายบริหารเป็นส่วนตัว ความขัดแย้งประเภทนี้แหละที่การศึกษาพยายามฝังหัวนักเรียนว่า ไม่เป็นประชาธิปไตย และคนดีๆ ไม่ควรทำ
กลับมาสู่กระบวนการลืมเหตุการณ์ 10 เมษายน 2553 ใหม่ สื่อนำเสนอเรื่องราวของญาติผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ ซึ่งก็ไม่ผิดอะไร เพราะในทุกความขัดแย้ง นอกจากมีมิติทางสังคมแล้ว ยังมีมิติทางบุคคลอยู่ด้วยเสมอ และเราไม่ควรลืมว่าเหยื่อทุกฝ่ายล้วนเป็นคนจริงๆ ซึ่งการจากไปของเขาก่อให้เกิดผลกระทบแก่คนอื่นอีกไม่น้อย แต่การปะทะกันในวันที่ 10 เมษายน 2553 มีอะไรที่ลึกกว่าการสูญเสียของบุคคล ซึ่งสื่อจำเป็นต้องสืบค้นมาเสนอให้หลากหลายมิติมากขึ้น เช่น ผมอยากรู้เหมือนกันว่า หลังจาก 3 ปีผ่านไป อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, สนธิ ลิ้มทองกุล, จำลอง ศรีเมือง ฯลฯ ยังมองเหตุการณ์นั้นเหมือนกับเมื่อตอนเกิดเหตุการณ์หรือไม่ หากให้เลือกได้ใหม่ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, จตุพร พรหมพันธุ์ และพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา จะเลือกใช้ยุทธวิธีเดิมหรือไม่
จนถึงที่สุด คำถามที่สื่อลืมไม่ได้ก็คือ มันมีช่องโหว่ตรงไหนในระบบของไทยปัจจุบัน ที่ทำให้เราไม่สามารถจัดการกับความขัดแย้งประเภทนี้ได้ นักกฎหมายคิดอย่างไร นักรัฐศาสตร์
คิดอย่างไร นักมานุษยวิทยาคิดอย่างไร นักบริหารเอกชนคิดอย่างไร ฯลฯ เราคงตีกันฆ่ากันอย่างนี้ตลอดไปไม่ได้ เมื่อเหตุการณ์ผ่านไป 3 ปี มีสัญญาณตรงไหนที่แสดงว่า ระบบของเราเริ่มเรียนรู้ และพบวิธีจัดการกับความขัดแย้งประเภทนี้โดยสันติและอย่างประชาธิปไตยบ้างหรือไม่
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ สื่อ (และสังคม) ต้องเผชิญกับความขัดแย้งประเภทนี้อย่างตรงไปตรงมา เราต้องช่วยกันหยุดกระบวนการลืมที่ซับซ้อน ซึ่งทำให้ความขัดแย้งเป็นเรื่องส่วนตัวไม่มีพื้นที่สาธารณะอีกต่อไป ในทางตรงกันข้าม ช่วยกันสร้างกระบวนการจำที่จะทำให้สังคมเข้มแข็งพอจะร่วมกันสร้างกลไกทางวัฒนธรรม, กฎหมาย, กติกาการเมือง, กติกาการบริหารรัฐ, สถาบันและกระบวนการระงับความขัดแย้ง (ประเภทนี้) ฯลฯ เพื่อให้เรามีชีวิตที่เป็นสุขในสังคมสมัยใหม่
และแน่นอนว่า ควรเลิกฝันถึงความสัมพันธ์อันราบรื่นของชุมชนหมู่บ้านได้เสียที เพราะนั่นคือการหลบเลี่ยงปัญหาจริงของปัจจุบันอย่างหนึ่ง ได้แก่การลืมความขัดแย้งที่เป็นสาธารณะและระหว่างกลุ่มคน
ที่มา:คอลัมน์กระแสทรรศน์ มติชน 22 เมษายน 2556