ผู้เขียนจั่วหัวเช่นนี้ไม่ใช่เพราะว่าสนับสนุนให้มีการรัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญ ล้มระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรืออย่างที่ฝ่ายม็อบนกหวีดชูให้ทหารออกมานำโค่นระบอบทักษิณ
แต่มุ่งจะเตือนสติสถาบันทหารว่าหากยังคิดเรื่องนี้ มีโมเดลนี้อยู่ในใจ คงต้องวิเคราะห์ใคร่ครวญทบทวนว่า ยุทธศาสตร์ยึดอำนาจจะได้ผลสัมฤทธิสูงสุดในเวลาใดด้วย นอกไปเสียจากการระดมสรรพสมองวางแผนจัดการหลังการยึดอำนาจ (จะเรียกใครมาใช้บริการด้านกฎหมาย ใครจะเป็นตัวแทนกองทัพในฝ่ายบริหารที่ "อยู่มือ"จะจัดการเสียงต้านให้สงบราบคาบอย่างไร ฯลฯ)
เพราะการดิ้นตามกระแสเชี่ยวกรากของข่าวลือตอนนี้นั้น กองทัพเป็นฝ่ายเดียวที่มีแต่เสีย..กับ..เสีย
ใครเป็นผู้ได้ประโยชน์จากข่าวลือรัฐประหาร ???
คนทั่วไปอาจจะมองว่าฝ่ายนกหวีดของกำนันสุเทพย่อมบรรลุเป้าประสงค์ของการชุมนุมทันที การที่ทหารออกมาเดินเกมแทนน่าจะทำให้นกหวีดลงจากเวทีทันที เป็นทางลงที่ผ่อนเบาภาระทางคดีความที่แกนนำต้องรับหลังจากนี้ แต่น่าจะไม่ใช่เพียงแค่นั้น..
ฝ่ายแกนนำเสื้อแดงก็กำลังระส่ำอยู่ไม่น้อย ที่ผ่านมา สายน้ำของข่าวลือรัฐประหารมักจะเปิดก๊อกกันอยู่แถวนี้ และแต่ละครั้งคราวที่มีข่าวเช่นนี้ในวงน้ำชากาแฟ ก็ทำให้คนเสื้อแดงรวมตัวกันติดเหนียวหนึบขึ้นมาเป็นช่วงๆ การที่ฝ่ายปัญญาชนในหมู่เสื้อแดงเองมักจะตำหนิแกนนำ นปช.อยู่บ่อยๆ ว่าตามก้นนายใหญ่ไม่ลืมหูลืมตานั้น ไม่น่าจะเป็นจริงทั้งหมด ส่วนงานวางยุทธศาสตร์ของฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลนั้นคงไม่โง่พอที่จะดิ้นตามคนๆ เดียว แม้นายใหญ่จะออกมาชื่นชมปฏิบัติการสีขาวที่กำลังบูมแผ่กระเพื่อมไปทั่วอาณาบริเวณ ทั้งที่เริ่มจากคนเพียงไม่กี่สิบคน เห็นได้จากการที่แกนนำยิบย่อยต่างๆ พากันนำคนเสื้อแดง (จริงๆ ที่ถูกผู้เขียนควรจะเรียกว่า “..แกนนำตามคนเสื้อแดงมา..” มากกว่า ) มาร่วมจุดเทียนปล่อยลูกโป่งตามกระแส จนถูกตีกลับจากฝ่ายตรงข้ามโจมตีว่าเป็นพวก “แอ๊บขาว”...
จากสเตตัสเฟซบุ๊กนี้ของ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เขาเชื่อว่าการชุมนุมใหญ่ 13 มกราของม็อบสุเทพ "..ยัง "ห่าง"จากการ "ปิดกรุงเทพ"อย่างที่เคยให้ "ภาพ"ไว้.." ตามที่เขาเคยเสนอทำนองว่า ปฏิบัติการของมวลมหาประชาชนในคราวนี้ จะเทียบเท่าหรือเบาบางกว่าเหตุการณ์วันที่ 27 ธันวาคม 2556 ที่ผ่านมา
แม้จะมีเสียงต่างๆ ออกมาชี้ทางออกประเทศว่ามีอยู่ไม่กี่ทาง และสุดท้ายอาจต้องจบลงด้วยการควบคุมเบ็ดเสร็จโดยฝ่ายอำนาจเก่า และการเลือกตั้งแม้จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแต่ก็มีแนวโน้มว่าจะไม่มีผลรับรองอย่างเป็นทางการว่าจะได้รัฐบาลใหม่ที่สามารถยืนหยัดฝ่าฟันอุปสรรคเดิมๆ ได้ ไม่ต่างจากสถานการณ์ในวันนี้ แต่จากความเห็นของสมศักดิ์ข้างต้น น่าเชื่อว่าม็อบนกหวีดยังทำงานได้ไม่เสร็จดี ทั้งยังมีผู้คนจากทั้งสายแดงและไม่แดงออกมาส่งเสียงต้านเรียกหาสันติภาพเช่นนี้ ผู้เขียนจึงขอเสนอทางออกในสมมติฐานข้างล่างนี้ดูบ้าง
หากเป็นดังนั้น .. ม็อบกำนันจึงน่าจะยังไม่มีกำลังพอจะสร้างเงื่อนไขที่ "สุกงอม"จนกองทัพมี "ความชอบธรรม" (ถ้าอยากจะเรียกเช่นนั้น) เพียงพอที่จะเข้ามาเป็นผู้เล่นเต็มตัวได้
หากเป็นดังนั้น .. การที่ข่าวลือยิ่งหนาหูเช่นนี้ และหากปล่อยออกมาจากสายแดงพรรคเหมือนที่เคยเป็นมา ก็น่าจะด้วยเป้าเฉพาะสถานการณ์ที่เป็นสงครามชิงมวลชนภายในหมู่แดงทักษิณสายหลักกับแดงก้าวหน้าที่ถอยหนีออกจากเกม"ที่นี่มีคนตาย"ที่ฝ่ายแดงเคยใช้แล้วได้ผล และฝ่ายกำนันกำลังเจาะช่องหาโอกาสเข้ามาร่วมเล่นบ้าง
แต่หากกุนซือใหญ่ของกองทัพมองไม่เห็นจังหวะนี้แล้วพลาดทะเล่อทะล่าออกมาเข้าทางฝ่ายที่รอฉวยโอกาส ก็เสี่ยงที่จะกลายเป็นผลลัพธ์ผลลบที่ฟาดชิ่งแรงๆ ไปถึงสถาบันหลักต่างๆ อาทิเช่น ศาล หรือองค์กรอิสระ หรืออื่นๆ เป็นการเติมเต็มให้ข้อกล่าวหาของฝ่ายแดงก้าวหน้าอย่างนักวิชาการต่างๆ อย่างเช่นกลุ่มนิติราษฎร์ครบวงจร และกำลังต้านก็เตรียมพร้อมรับอยู่ทุกหัวระแหง ยากจนแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจัดการให้ "สงบราบคาบ" !
ไม่รอดพ้นตกเป็นเครื่องมืออันสมบูรณ์!!!
หากเป็นดังนั้น .. ที่เสนอว่าช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการทำรัฐประหารคือหลังเลือกตั้ง 2 กุมภาสักสองสามวันนั้น คือรอให้อุณหภูมิเย็นลงจนพ้นจุดวิกฤตเสียก่อน รอให้แต่ละฝ่ายได้ฉลองชัยชนะกันให้อิ่มหนำ แล้วค่อยเข้ามาแทรกก็ยังไม่สาย ทั้งยังมีข้อดีที่สำคัญคือได้เห็นปริมาณที่แท้จริงของผู้สนับสนุนแต่ละฝ่ายทั่วประเทศ เพราะอย่างไรเสียการเลือกตั้งครั้งนี้ก็มีความเสี่ยงที่จะถูกประกาศเป็นโมฆะหรือถูกถ่วงเวลาโดยกลไกเนียนๆ ของกกต.อยู่แล้ว
ไหนๆ ผู้หลักผู้ใหญ่จะลงมือทำการใหญ่เปลี่ยนประเทศขนาดนี้ทั้งทีก็อย่าให้ใครเขามาตั้งชื่อเห็นขำกันได้ว่าเป็น "รัฐประหารวันเด็ก" Children Day's Coupppppp!
.............