บทนำ
ตามที่มีข่าวว่าแกนนำค.ป.ท.จะนำผู้ชุมนุมประท้วงบุกยึดสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยนั้น เป็นประเด็นที่มีความสำคัญยิ่งเพราะเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต โดยเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1979 นักศึกษาและประชาชนชาวอิหร่านที่ไม่พอใจการกระทำของรัฐบาลอเมริกันได้บุกรุกและทำลายทรัพย์สินของสถานทูตอเมริกาประจำกรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน รวมทั้งจับคณะผู้แทนทางทูตและประชาชนชาวอเมริกันอีกหลายร้อยคนเป็นตัวประกันเป็นเวลาหลายเดือน[1]การบุกยึดสถานทูตเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรงและทำให้สหรัฐอเมริกาฟ้องอิหร่านต่อศาลโลกมาแล้วจนเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกว่าเป็นคดีจับตัวประกัน (The Hostage case)
หากผู้ชุมนุมประท้วงมีการบุกยึดสถานทูตสหรัฐอมริกาประจำประเทศไทยจริง จะเป็นการละเมิดหลักความละเมิดมิได้ในสถานที่ของคณะผู้แทน(Inviolability of Mission Premises) อันเป็นหลักกฎหมายสำคัญของความสัมพันธ์ทางการทูตซึ่งได้รับการรับรองไว้ในอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต ค.ศ. 1961 (Vienna Convention on Diplomatic Relations) (ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีด้วย) ดังนี้
หลักความละเมิดมิได้ในสถานที่ของคณะผู้แทน(Inviolability of Mission Premises)
ประเทศไทยในฐานะรัฐผู้รับ (Receiving state) มีพันธกรณีตามข้อบทที่ 22 (2) ของอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต ค.ศ. 1961 ที่จะดำเนินการทั้งมวลที่เหมาะสม เพื่อคุ้มครอง “สถานที่ของคณะผู้แทน” (หรือที่คนทั่วไปเรียกว่าสถานทูต) ของประเทศสหรัฐอเมริกาในฐานะรัฐผู้ส่ง (Sending state) จากการบุกรุก หรือความเสียหายใด และที่จะป้องกันการรบกวนใดๆต่อความสงบสุขของคณะผู้แทน หรือการทำให้เสื่อมเสียเกียรติของคณะผู้แทน โดยหน้าที่คุ้มครองสถานที่ของคณะผู้แทนโดยรัฐผู้รับนี้แบ่งได้ออกเป็นสามกรณีใหญ่ๆคือ หน้าที่ป้องกันมิให้เกิดการบุกรุก (intrusion) การทำความเสียหาย และการรบกวนใดๆ(disturbance)
สำหรับตัวอย่างของการบุกรุก (intrusion) และการทำความเสียหายให้แก่สถานทูตนั้นที่รู้จักกันทั่วโลกได้แก่กรณีที่นักศึกษาและประชาชนอิหร่านได้บุกยึดสถานทูตอเมริกาประจำกรุงเตหะราน ประเทศอิหร่านและยังได้จับนักการทูตและประชาชนชาวอเมริกันหลายร้อยคนเป็นเวลาปีเศษ สหรัฐอเมริกาฟ้องต่อศาลโลกว่าอิหร่านได้ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต ศาลโลกได้ตัดสินว่าอิหร่านละเมิดอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต ที่น่าสนใจของคดีนี้ก็คือศาลโลกได้ตัดสินว่าแม้การกระทำดังกล่าวจะเกิดจากเอกชนหรือประชาชนก็ตามแต่เจ้าหน้าที่ของอิหร่านมิได้ทำการป้องกันอย่างเต็มที่ในอันที่จะมิให้เกิดความเสียหายขึ้น จึงมีผลเท่า กับว่าการทำลายสถานทูตและการจับนักการทูตถือเป็นการกระทำของรัฐบาลอิหร่าน อิหร่านจึงมีความผิดและต้องรับผิดชอบตามกฎหมายระหว่างประเทศ[2]ดังนั้น ประเทศไทยในฐานะรัฐผู้รับจึงต้องใช้มาตรการที่เหมาะสมที่จะต้องป้องกันมิให้กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงบุกยึดสถานทูตสหรัฐอเมริกาได้ มิฉะนั้นแล้ว ประเทศไทยอาจละเมิดข้อบทที่ 22 (2) ของอนุสัญญาเวียนนาและก่อให้เกิดความรับผิดในทางระหว่างประเทศได้
สำหรับกรณีของการป้องกันการรบกวนใดต่อความสงบสุขของคณะผู้แทน หรือการทำให้เสื่อมเสียเกียรติของคณะผู้แทนนั้น เป็นกรณีที่ผู้ชุมนุมประท้วงยังมิได้บุกรุกเข้าไปในสถานทูตแต่ทำการใดๆที่มีลักษณะเป็นการรบกวนหรือขัดขวางต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตัวแทนทางทูตหรือมีการกระทำใดอันเป็นการหมิ่นเกียรติของทูต ก็ถือว่าเป็นการละเมิดข้อบทที่ 22 (2) เช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ ประเทศไทยในฐานะรัฐผู้รับยังมีหน้าที่ที่จะต้องป้องกันมิให้กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วง ก่อความวุ่นวายหรือสร้างความรบกวนจนมีผลกระทบต่อการปฎิบัติหน้าที่หรือเป็นการหมิ่นเกียรติของตัวแทนทางทูตด้วยแม้ว่าจะมีการประท้วงบริเวณรอบๆสถานทูตด้วย
บทส่งท้าย
ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้องมีกฎหมายเกี่ยวกับการชุมนุมสาธารณะ (Public assembly) และการเดินประท้วง (Procession) ในหลายประเทศได้มีกฎหมายนี้ สำหรับกฎหมายเกี่ยวกับการชุมนุมในที่สาธารณะของต่างประเทศนั้นจะมีลักษณะการใช้บังคับที่ค่อนข้างเคร่งครัด กล่าวคือ มีการใช้ระบบอนุญาต ระบบการแจ้งล่วงหน้ามีมาตรการควบคุมการชุมนุมทั้งก่อนและระหว่างการชุมนุม โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐมีอำนาจออกกฎ ระเบียบ หรือคำสั่งในระหว่างการชุมนุมได้ หากเห็นว่าการชุมนุมนั้นอาจนำไปสู่ ความขัดแย้ง วุ่นวาย หรือไม่สงบเรียบร้อย รวมทั้งมีอำนาจในการสั่งให้ยุติการชุมนุมได้ด้วย นอกจากนี้ ยังมีมาตรการเกี่ยวกับเงื่อนเวลา เช่น ในบางประเทศมีการกำหนดให้บุคคลจะใช้เสรีภาพในการชุมนุมในที่สาธารณะได้ต้องเป็นภายหลังช่วงเวลาเร่งด่วน เช่น ภายหลัง 07.00-09.00นาฬิกา เป็นต้นไป บางประเทศก็กำหนดให้ชุมนุมได้ถึงเวลา 21.00-23.00 นาฬิกา เท่านั้น การที่ประเทศไทยยังขาดกฎหมายการชุมนุมและเดินประท้วงทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงอ้างสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญจนเกินขอบเขตและอาจนำไปสู่สภาวะความไร้ขื่อแปของกฎหมายในที่สุด
[1]สาเหตุของการเกิดวิกฤติการณ์การจับตัวประกันครั้งนี้เป็นผลมาจากการที่มีการปฎิวัติใหญ่ในประเทศอิหร่าน โดยมีการโค่นล้มระบอบการปกครองเเบบกษัตริย์ ซึ่งมีกษัตริย์ ชาห์ ปาเลวี (Muhammad Reza Shah Pahlevi) เป็นประมุข ซึ่งรัฐบาลสหรัฐอเมริกาให้การสนับสนุน หลังจากที่มีการโค่นล้มชาห์สำเร็จเเล้ว ชาห์ได้ลี้ภัยที่ประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งสร้างความไม่พอใจเเก่นักศึกษาอิหร่านเป็นอย่างมากจนนักศึกษาอิหร่านจำนวนมากบุกยึดสถานทูตอเมริกา ณ กรุงเตหะรานเเละจับนักการทูตเป็นตัวประกัน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในครั้งนั้น คือจิมมี่ คาร์เตอร์ พยามยามเเก้ไขวิกฤตการณ์ครั้งนี้ทั้งทางการทูตเเละการใช้กำลังโดยหน่วยคอมมมานโดเเต่ไม่ประสบความสำเร็จ โดยเฮลิคอปเตอร์สามลำได้ประสบอุบัติเหตุท่ามกลางพายุทะเลทรายเสียก่อน วิกฤตการณ์นี้คลี่คลายลงโดยคณะกรรมาธิการของสหประชาชาติ ซึ่งในนั้นมีนักการทูตชาวอัลจีเรียประจำสหประชาชาติอย่างท่าน Mohammed Bedjaoui อยู่ด้วย ต่อมาท่าน Bedjaoui ได้รับเลือกให้เป็นผู้พิพากษาศาลโลก
[2]See UNITED STATES DIPLOMATIC AND CONSULAR STAFF IN TEHRAN (UNITED STATES OF AMERICA v. IRAN), I.C.J. Report 1980, para. 95 (2)